องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 745 จักรพรรดิที่แข็งแกร่งทรงพลัง
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 745 จักรพรรดิที่แข็งแกร่งทรงพลัง
เมื่อเข้าไปถึงในวังหลวงของปีกใต้ จักรพรรดิของปีกใต้ได้สั่งให้ทุกคนถอยออกไป เหลือเพียงองค์ชายสามซูมู่หรงอยู่ข้างกายของเข้า
จักรพรรดิปีกใต้สวมใส่ในชุดสีเหลืองเด่นชัดและยืนอยู่หน้าท้องพระโรงในตำหนัก ดวงตาของเขาราวกับเปลวเพลิงจับจ้องมองฉีเฟยอวิ๋นและซูอู๋ซินที่กำลังเดินเข้ามา
ซูอู๋ซินหยุดชะงักลง ทั้งวังหลวงราวกับป่าช้า เฟิงอู๋ชิงสวมเสื้อคลุมของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เดินมาจากอีกฝั่งหนึ่ง ในมือของเขายังถือดาบสีเหลืองทองไว้อีกด้ามหนึ่ง
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่านี่เป็นสถานการณ์ที่กดดันเป็นพิเศษและไม่เคยคาดฝันว่าจะมีวันนี้
เธอเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งและปรากฏตัวอยู่ที่วังหลวงของปีกใต้ และได้เผชิญหน้ากับสามคนผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปีกใต้
ใบหน้าของจักรพรรดิปีกใต้ดูเย็นชา “เจ้าออกมาแล้วหรือ?”
“พี่ใหญ่รู้สึกแปลกใจหรือ?” ใบหน้าของซูอู๋ซินเย็นชา เฟิงอู๋ชิงที่เดินเข้ามาก็ทำได้เพียงมองเขาอย่างเหม่อลอย
ซูมู่หรงมองไปหันฉีเฟยอวิ๋น และแววตาของเขาก็ยิ่งไม่ยอมรับ
“ข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าจะออกมา แต่เจ้าไม่ควรออกมา เจ้าเคยให้สัญญากับข้า ขอเพียงแค่ข้าปล่อยแคว้นเฟิ่งไป ปล่อยจักรพรรดินีแค้วนเฟิ่ง เจ้าก็จะไม่ออกมา”
“เจ้าทำได้จริงหรือ? เจ้าปล่อยแคว้นเฟิ่งไปหรือ? เจ้าปล่อยซูซูไปจริงหรือ?”
“ข้าไม่ได้ปล่อยหรือ?”
ทั้งสองเผชิญหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ซูอู๋ซินไม่ต้องการพูดอะไรมาก “เรื่องที่ผ่านมาแล้วข้าไม่ต้องการพูดถึงอีก ตำแหน่งจักรพรรดินี้ข้าก็ไม่อยากได้ เจ้าอยากจะทำอะไรก็เรื่องของเจ้า”
“เจ้าบุกมาถึงวังหลวงของข้า แต่บอกว่าไม่อยากได้อะไรเลย ใครจะไปเชื่อเจ้า?”
“ข้าจะไม่เรียกร้องอะไรกับเจ้า ข้าต้องการไปพบซูซู หากซูซูไม่เป็นอะไรก็แล้วไป หากซูซูเป็นอะไรละก็ เราเห็นดีกัน”
“เจ้าทำเพื่อนาง จนตอนนี้แทบไม่เป็นผู้เป็นคน แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่านางมีผู้ชายมากน้อยเพียงใด นางมีสามตำหนักหกเรือนเจ็ดสิบสองสนม เจ้ารู้หรือไม่?
นางลืมเจ้าไปตั้งนานแล้ว ขนาดลูกของเจ้าและนางยัง……”
เมื่อพูดถึงลูก จักรพรรดิปีกใต้หันไปมองฉีเฟยอวิ๋นและคิดขึ้นได้ “นางเป็นลูกสาวของเจ้า?”
“เจ้าดูไม่ออกหรือ? ใบหน้าของนางเหมือนกับซูซูมากเพียงใด!”
จักรพรรดิปีกใต้จ้องมองฉีเฟยอวิ๋น “จริงด้วย เหมือนมาก!”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไม่ค่อยชอบจักรพรรดิปีกใต้เท่าไรนัก หลังจากที่จักรพรรดิอวี้ตี้ปรากฏขึ้นมาในสมองของเธอ เธอก็ไม่มีความคิดรู้สึกดีอะไรกับจักรพรรดิอีกเลย
จักรพรรดิปีกใต้มองฉีเฟยอวิ๋น “ตอนนั้นเจ้าและข้าได้เจอกับซูซู เดิมทีซูซูชอบพอกับข้า เป็นเจ้า……แย่งนางไปจากข้า”
“เช่นนั้นแล้วจะทำไม? ซูซูไม่ชอบเจ้า นางชอบข้า เจ้าทำอะไรได้? เจ้าจับข้าแต่กลับไม่กล้าฆ่าข้า เจ้ากลัวว่าราชาหนอนพิษกู่จะฆ่าเจ้า
เจ้ามีความกล้าแต่กลับไร้จิตวิญญาณ ซูซูจึงไม่ชอบเจ้า”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่ซูอู๋ซิน เขาเป็นคนที่ทำให้คนอื่นโมโหโดยไม่รักชีวิต เห็นได้ชัดว่าครั้งนั้นทั้งสามคนพบกัน เขาและจักรพรรดินีได้พบกันแล้ว แต่เขากลับบอกว่านั่นเป็นการพบกันครั้งแรกของทั้งสามคน และบอกว่าแย่งจักรพรรดินี จักรพรรดิปีกใต้ช่างโง่เขลา แค่นี้ก็เชื่อ หากไม่รู้สึกโกรธก็คงแปลก
จักรพรรดิปีกใต้โมโหจนหน้าขาวซีด “ซูอู๋ซิน เจ้าคิดจะทำเช่นนี้ใช่หรือไม่?”
“ใช่ เจ้าจะทำไม? ข้าไม่เพียงแต่ได้ครอบครองซูซู ข้าและซูซูยังมีลูกด้วยกัน ลูกสาวของข้าฉลาดอย่างมาก เจ้าล่ะ? เจ้ามีอะไร? เจ้ามีผู้หญิงเป็นสิบ พวกนางรักเจ้าจริงๆ หรือไม่? มีคนไหนบ้างที่ไม่ได้รักความยิ่งใหญ่ของเจ้า ก็ดี นับเป็นลิขิตของสวรรค์”
ฉีเฟยอวิ๋นยิ่งรู้สึกว่าซูอู๋ซินพูดจาได้น่าทำให้คนอื่นโมโหอย่างมาก!
จักรพรรดิปีกใต้สูดหายใจเข้า “ข้าไม่อยากจะพูดกับเจ้ามาก ข้าแยกพวกเจ้าออกจากกันมาสิบเจ็ดปีแล้ว นางได้ทรยศหักหลังเจ้าไปแล้ว วังหลวงของนางมีคนนับร้อยและไม่น้อยไปกว่าข้าน้อย เจ้ากลับไปได้จริงหรือ?”
“กลับได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องของข้า แต่เจ้า……ตั้งแต่วันนี้ไปจะมีมีดเล่มหนึ่งที่คอเจ้า และสามารถปลิดชีวิตของเจ้าได้ทุกเมื่อ”
ซูอู๋ซินมองไปที่เฟิงอู๋ชิง “อู๋ชิง”
“พี่รอง”
“เผยแพร่ราชโองการออกไป องค์ชายสองแห่งปีกใต้ซูอู๋ซิน ถูกใส่ร้ายให้ต้องถูกกักขังอยู่ในสุสานหลวงเป็นเวลาสิบเจ็ดปีและวันนี้ได้กลับออกมาพบเห็นแสงสว่างของโลกภายนอกอีกครั้ง และมีลูกสาวชื่อหลิงอวิ๋น จากนั้นพระาชทานยศและแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิง หลังจากนี้ไปร้อยปีจักรพรรดิปีกใต้ องค์หญิงจะขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์และครอบครองตำแหน่งเป็นจักรพรรดิ”
ฉีเฟยอวิ๋นตกใจอยู่ชั่วขณะหนึ่งและมองไปที่ซูอู๋ซิน “ข้าไม่ชอบ”
“ซูอู๋ซินเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และผู้สำเร็จราชการแทนในวังหลวง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิปีกใต้หัวเราะ “ซูอู๋ซิน เจ้าอย่าบ้าคลั่งและรังแกผู้อื่นมากเกินไป”
“ข้าบ้าคลั่งหรือ? ตอนที่เจ้านำชือจินจื่อมาใส่ในตัวของข้า ข้ายังไม่บอกว่าเจ้าบ้าคลั่งเลย เจ้าทำตัวเสเพลอยู่ในวังหลังข้าก็ไม่ได้บอกว่าเจ้าบ้าคลั่ง แต่วันนี้เจ้ากลับบอกว่าข้าบ้าคลั่ง เด็กคนนี้หน้าตาเหมือนกับฉิงเอ๋อร์ หรือว่าเราไม่ใช่ลูกของฉิงเอ๋อร์กับเจ้าหรอกหรือ?
ถ้าอยากรู้ ตอนนั้นฉิงเอ๋อร์เป็นว่าที่เจ้าสาวของข้า นางยังเป็นว่าที่เจ้าสาวจะมีลูกได้อย่างไร?”
ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจ นี่มันเรื่องอะไรกัน นี่มันอะไรกัน!
ซูมู่หรงมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นโดยไม่รู้สึกเสียใจ แต่กลับยิ้มออกมา ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร เพราะถึงอย่างไรก็เป็นครูฝึกของเธอ
จักรพรรดิปีกใต้หัวเราะ “เจ้าก็ได้รับรู้รสชาติของการถูกแย่งชิง เจ้ารู้หรือไม่ ตั้งแต่เล็กจนโตเจ้าแย่งจากข้าไปแล้วเท่าไร?”
“เจ้าไร้ความสามารถเอง โทษข้าหรือ?”
จักรพรรดิปีกใต้โมโหจัด “ซูอู๋ซิน ข้าควรจะฆ่าเจ้าไป!”
“ถ้ากล้าเจ้าก็ฆ่าข้า”
ซูอู๋ซินหันกลับไปมองเฟิงอู๋ชิง “หากไม่มีคำสั่งของข้า ห้ามใครหน้าไหนเข้าใกล้สุสานหลวงเป็นอันขาด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองเฟิงอู๋ชิง ช่างเชื่อฟังดูเหลือเกิน
ซูอู๋ซินก้าวเท้าเดินเข้าไปในวังและเรียกฉีเฟยอวิ๋น “ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปดูที่ประทับของเสด็จพ่อของข้า อู๋ชิง เจ้าไปตามหนานกงเย่ เชิญให้เขามาพบข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงอู่ชิงหันหลังกลับและเดินจากไป ฉีเฟยอวิ๋นรีบเดินตามซูอู๋ซินเข้าไปในตำหนักของพระอัยกา และตลอดระยะทางไม่มีใครคอยขัดขวาง
จักรพรรดิปีกใต้ก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นมา
ในตำหนักของพระอัยกามีคนอยู่ เมื่อเห็นสองพ่อลูกก็ต่างรีบคุกเข่าลงคารวะ เมื่อซูอู๋ซินเดินเข้าประตูมาก็มีขันทีอาวุโสคนหนึ่งเดินเข้ามาและร้องไห้ฟูมฟาย
ฉีเฟยอวิ๋นไม่คิดเลยว่า ซูอู๋ซินที่ไม่ได้กลับมาสิบเจ็ดปีแล้ว จะมีคนในวังที่ยังนึกถึงเขาเช่นนี้
ยังมีคนในตำหนักพระอัยกาที่ยังคงรอคอยเขากลับมาเยอะเช่นนี้
ฉีเฟยอวิ๋นกลับรู้สึกว่า หากไม่ใช่เป็นเพราะจักรพรรดิปีกใต้แย่มากจริงๆ เช่นนั้นก็คงเป็นเพราะซูอู๋ซินเก่งกาจอย่างมาก
“นี่คือลูกสาวของข้า อวิ๋นอวิ๋น ต่อไปนี้คือองค์หญิง”
ซูอู๋ซินกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงเรียบ นางกำลังเงยหน้าขึ้นมองฉีเฟยอวิ๋นและรีบคารวะฉีเฟยอวิ๋น จนทำให้ฉีเฟยอวิ๋นไม่เป็นตัวของตัวเองเลย
ซูอู๋ซินกล่าว “พวกเจ้าพาองค์หญิงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน ข้าจะไปพักผ่อนและอาบน้ำ และเตรียมรับประทานอาหาร ประเดี๋ยวท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จะพาสามีขององค์หญิงมาที่นี่”
“เพคะ”
ซูอู๋ซินหันหลังไปเหลือบมองฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นจึงเดินเข้าไปข้างใน
มีคนเข้ามาดูแลปรนนิบัติฉีเฟยอวิ๋น “องค์หญิง เชิญมากับหม่อมฉันเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นทำสีหน้างุนงงและเดินตามนางไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า มีนางกำนัลคอยดูแลเธอแปดคน เธอรู้สึกไม่คุ้นชินเอาเสียเลย
เมื่ออาบน้ำเสร็จออกมาก็มีคนคอยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอ ฉีเฟยอวิ๋นสวมใส่ในชุดสีเหลืองลวดลายหงส์และรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ราวกับกำลังฝันไป
จากนั้นก็เดินตามนางกำนัลออกมา ฉีเฟยอวิ๋นนั่งอยู่บนเก้าอี้หงส์ด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
หนานกงเย่เดินเข้ามาจากนอกวัง และมีฮั่วหลงติดตามมาด้วย
เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นหนานกงเย่ก็รู้สึกตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าฉีเฟยอวิ๋นจะสวมชุดสีเหลือง
หนานกงเย่ก้าวเท้าเดินตรงไปที่ฉีเฟยอวิ๋น สวีกงกงรีบเดินไปข้างหน้าเพื่อขัดขวาง “ห้ามเสียมารยาท”
หนานกงเย่มองออกไปด้วยสายตาที่เย็นชา ถึงแม้ว่าสวีกงกงจะกลัว แต่ก็ไม่ถอย
ฉีเฟยอวิ๋นพูดขึ้นมา “ให้เขาเข้ามา”
จากนั้นสวีกงกงจึงถอยออกไป หนานกงเย่ก้าวเท้าเดินไปตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋น หนานกงเย่ยื่นมือออกไปจับคางของฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นสวีกงกงจึงรีบขัดขวาง “กล้าเสียมารยาทกับองค์หญิงหรือ”
ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะ “เขาเป็นสามีของข้า”
เมื่อสวีกงกงได้ยินเข้าจึงรีบคุกเข่าลง “ข้าน้อยไม่ทราบว่าเป็นสามีขององค์หญิง ได้โปรดลงโทษข้าน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่ไม่ได้สนใจ จากนั้นจึงนั่งลงและจับมือของฉีเฟยอวิ๋นไว้ “ข้าตกใจหมดเลย”
ฉีเฟยอวิ๋นแนบพิงไปที่ไหล่ของฉีเฟยอวิ๋น “หม่อมฉันก็เหมือนกันเพคะ”
หนานกงเย่ยกมือขึ้นมาโอบไหล่ของฉีเฟยอวิ๋น ทั้งสามีภรรยาหลับตาลง จากนั้นจึงพักผ่อนลง
นางกำนัลที่กำลังก้มหน้าอยู่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างระมัดระวัง สามีภรรยาต่างพากันหลับสนิทเสียแล้ว