องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 747 ตอนนี้โกหกหรือไม่ก็ไม่สำคัญ
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 747 ตอนนี้โกหกหรือไม่ก็ไม่สำคัญ
พระนางสวมใส่ในชุดลวดลายหงส์สีแดงเดินไปพลางและมองไปที่ซูอู๋ซิน
เห็นได้ชัดว่าห่างออกไปไกล แต่จักรพรรดินียืนอยู่ตรงนั้นดูเหมือนห่างกันใกล้มาก ซูอู๋ซินยิ้มขึ้นมาและก้าวเท้าออกไปหาจักรพรรดินี
เอ๋าชิงรีบลงมือทันที บริเวณรอบๆ ก็มีคนปรากฏตัวออกมาราวสิบกว่าคนออกมาเพื่อขัดขวางซูอู๋ซิน
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าคนเหล่านั้นมีความผิดปกติเล็กน้อย ต่างก็สวมใส่เสื้อผ้าอย่างดี อีกทั้งแต่งเนื้อแต่งตัวดีเทียบเท่ากับเอ๋าชิง
ซูอู๋ซินกล่าวขึ้นมา “หนานกงเย่ ปกป้องอวิ๋นอวิ๋น”
“ข้ารู้ ท่านก็ระมัดระวังตัวด้วย!” หนานกงเย่อยู่ข้างกายของฉีเฟยอวิ๋น
คนจำนวนสิบกว่าคนล้อมรอบซูอู๋ซินและเริ่มลงมือต่อสู้กัน ฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่เป็นกังวล ถึงแม้จะไม่รู้จักซูอู๋ซินดีนัก แต่ระดับความเย่อหยิ่งของเขานั้น ก็สามารถแสดงถึงความสามารถของเขาได้ หากไม่มีความสามารถจะกล้าเย่อหยิ่งอันธพาลได้อย่างไร
ในเวลานี้ ราวกับเทพธิดาที่โปรยดอกไม้ไปรอบๆ ทุกคนล้มลงกับพื้น แต่ซูอู๋ซินยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่ได้รับอันตราย
ราชองครักษ์ของราชวังต่างพากันออกมา มีคนจำนวนกว่าพันคนเผชิญหน้ากับเขา
เขาไม่ได้สนใจและมองไปที่จักรพรรดินี จากนั้นจึงก้าวเท้าเดินไปตรงหน้าของจักรพรรดินี
ไม่มีใครกล้าขัดขวาง เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เอ๋าชิงก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว
ซูอู๋ซินเดินไปถึงตรงหน้าของจักรพรรดินี จักรพรรดินีไม่ได้ร้องไห้ พระนางเพียงแต่มองไปที่ซูอู๋ซิน ซูอู๋ซินยิ้ม “อึ้งไปเลยหรือ?”
“ข้าฝันไปหรือไม่?” เฟิ่งไป่ซูยื่นมือออกไปจับใบหน้าของซูอู๋ซิน ซูอู๋ซินจับมือของเฟิงไป่ซูไว้และจูบลง
“หากเป็นความฝันแล้วจะเป็นเช่นไร?”
เฟิ่งไป่ซูน้ำตาไหลออกมา “หากเป็นความฝัน ท่านจะทำร้ายพวกเขาได้อย่างไร? ท่านเคยพูดไว้ว่าท่านจะไม่ทำร้ายคนของข้า”
“พวกเขาก็ไม่ได้บาดเจ็บ เพียงแต่ล้มลง”
“ท่านโกหกข้า!”
เฟิ่งไป่ซูดึงมือออก “ข้า……”
“มีข้าอยู่ เจ้ายังจะต้องการอะไรอีก?”
เฟิ่งไป่ซูมองซูอู๋ซินโดยไม่พูดอะไร ซูอู๋ซินก้มตัวลงไปอุ้มเฟิ่งไป่ซูขึ้น จากนั้นจึงหันหลังเดินออกไปทางนอกเรือนของตำหนักเฟิ่ง
ผู้คนในเรือนต่างไม่กล้าขัดขืน เอ๋าชิงและคนอื่นลุกขึ้นมายืนดู ซูอู๋ซินยิ้มออกมาและทำตัวปกติไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร
“ทำตามร่างราชโองการของข้า”
ขันทีไม่กล้าขัดราชโองการ ถึงอย่างไรเสียตอนนี้จักรพรรดินีก็อยู่ในอ้อมแขนของซูอู๋ซิน
ขันทีคุกเข่าลง คนอื่นๆ ก็ต่างคุกเข่าลงด้วยความงุนงง
เอ๋าชิงและคนอื่นไม่ได้คุกเข่าลง พวกเขาเพียงแค่มองซูอู๋ซิน และจนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่อยากยอมแพ้
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลก “จะได้รับโทษประหารชีวิตหรือไม่นะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ถึงความสามารถของซูอู๋ซิน เขาสามารถฆ่าคนเหล่านั้นได้ ในเมื่อเขากล้าบุกเข้ามา เช่นนั้นเขาก็มั่นใจได้ว่าสามารถควบคุมตำหนักเฟิ่งได้
“จักรพรรดินีเคยแต่งงานเป็นภรรยาขององค์ชายรองแห่งปีกใต้ เพราะปีกใต้ไม่ยอมรับจึงถูกไล่ล่าฆ่าฟัน องค์ชายรองบาดเจ็บสาหัสจากการปกป้องภรรยาและลูกในครรภ์ จากนั้นจึงถูกนำตัวไปกักขังที่สุสานหลวง
และวันนี้ได้กลับออกมาแล้ว”
ซูอู๋ซินก้มหน้ามองจักรพรรดินี “พระนางจะพระราชทานยศและแต่งตั้งอย่างไรดีหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้า……” จักรพรรดินีไม่รอให้พูดจบจึงตรัสแทรกขึ้นทันที
ซูอู๋ซินเงยหน้าขึ้น “ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าขอแต่งตั้งให้เอ๋าชิงเป็นหัวหน้าราชสำนัก เขาสามารถเข้าร่วมการเข้าเฝ้าและการปกครองได้ ส่วนเรื่องวังหลังก็ยกให้เป็นหน้าที่ของเอ๋าชิงในการจัดการดูแล ทุกตำหนักตั้งแต่วันนี้ไป จะไม่ได้รับคำสั่งให้มาเป็นสนม และให้เปลี่ยนชื่อตำหนักเป็นชื่อเจ้านายที่อยู่ ยกตัวอย่างเช่น เอ๋าชิง เปลี่ยนให้เป็นตำหนักเอ๋า
ส่วนเรื่องของจักรพรรดินีนั้นไม่มีเปลี่ยนแปลง
จักรพรรดินียังคงอาศัยอยู่ในตำหนัก และข้าจะสร้างตำหนักเฉียนคุนขึ้น
และพระราชทานแต่งตั้งฉีเฟยอวิ๋นให้เป็นมกุฎราชกุมาร และสืบทอดบัลลังก์หลังจากจักรพรรดินีในร้อยปีต่อมา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีรีบตอบรับ จากนั้นเอ๋าชิงจึงคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “เอ๋าชิงขอบพระทัยฝ่าบาท”
และคนอื่นๆ ก็ต่างพากันคุกเข่าลง
ซูอู๋ซินไม่ได้ให้ความสำคัญว่าเอ๋าชิงจะขอบคุณใคร เขาเพียงแต่เหลือบมองทุกคนที่อยู่ในตอนนี้ “เอ๋าชิง เจ้าพาคนออกไปคุ้มกันภายในตำหนัก ข้าจะกำจัดหนอนพิษกู่บนร่างกายของซูซูออก”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เอ๋าชิงและคนอื่นรีบลุกขึ้นและเข้าไปยังตำหนักเฟิ่งฉี ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ก็เดินตามเข้าไปด้วย
ไม่นานในวังก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ ร่างกายของเฟิ่งไป่ซูนั้นอ่อนแอมาก ไม่ได้เจอเพียงไม่กี่วันก็ดูโทรมลงมาก
ขณะนี้แม่ทัพฉีเพิ่งจะออกมาจากในวัง ฐานะของเขาพิเศษ เพื่อเมืองต้าเหลียงแล้วเขาไม่สามารถออกมาได้โดยพลการ
เฟิ่งไป่ซูมองไปที่แม่ทัพฉี “ท่านพี่ใหญ่อัน”
“นี่คือสามีของเจ้า?” นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ทัพฉีเห็นซูอู๋ซิน แต่หากไม่ได้เจอก็ยังพอมีความคาดหวังกับเมืองต้าเหลียง แต่เมื่อพบเข้าความหวังต่างๆ ก็ได้พังทลายลงทั้งหมด
ความยิ่งใหญ่แข็งแกร่งของซูอู๋ซินนั้น เป็นที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเมืองต้าเหลียงไม่มีวันเอาชนะได้
ซูอู๋ซินโอบกอดเฟิ่งไป่ซูไว้ในอ้อมแขน และเฟิ่งไป่ซูก็แนบชิดไปที่อ้อมแขนของเขา ซูอู๋ซินไม่สามารถลุกขึ้นได้ แต่กลับสงบลงมาก จากนั้นจึงมองไปที่แม่ทัพฉีและพูดอย่างเกรงใจ “คารวะพี่ใหญ่”
“……”
เมื่อพูดจบ ทุกคนต่างพากันเงียบกริบ
และรวมไปถึงแม่ทัพฉีก็เงียบไปด้วยเช่นกัน
ถึงแม้จะเป็นการพบกันครั้งแรก แต่ทัศนคติของซูอู๋ซินที่มีต่อแม่ทัพฉีนนั้น แสดงให้เห็นว่าสองสามีภรรยาให้ความสำคัญกับแม่ทัพฉีอย่างมาก
แม่ทัพฉีกล่าวด้วยเสียงเรียบ “ท่านก็เช่นกัน”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปที่ข้างกายของแม่ทัพฉีและหยุดลง เธอรู้สึกแปลกว่าทำไมเจ้าของร่างเดิมไม่ออกมา และก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า
“พี่ใหญ่ ข้าต้องการเอาหนอนพิษกู่บนร่างกายของซูซูออกมา หนอนพิษกู่ของนางจะเจ็บปวดอย่างบ้างเล็กน้อย แต่การโยกย้ายมาที่ร่างกายของข้าก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแต่ระหว่างการดำเนินการนั้นห้ามให้ใครรบกวน เอ๋าชิงก็ได้รับบาดเจ็บ ข้ารู้ว่าร่างกายของพี่ใหญ่มีพละกำลังที่แข็งแรง ข้าหวังว่าพี่ใหญ่จะช่วยข้าได้”
“ท่านพูดมาเถอะ”
แม่ทัพฉีตอบตกลง ไม่มีทางที่เขาจะไม่สนใจเรื่องของเฟิ่งไป่ซู
“การนำหนอนพิษกู่ที่มีความรู้สึกออกเช่นนี้ ต้องใช้อารมณ์ที่ลึกซึ้ง และต้องใช้เวลานาน แต่ซูซูเป็นเช่นนี้เกรงว่าจะไม่มีเรี่ยวแรงกำลังภายใน เมื่อสักครู่ข้าได้ใช้กำลังภายใน แต่ก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง ฉะนั้นจึงต้องรบกวนท่านพี่ใหญ่เสียแล้ว”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
แม่ทัพฉีเดินไปข้างกายของเฟิ่งไป่ซู จากนั้นจึงปิดตาลงและเริ่มใช้กำลังภายใน เพื่อให้กำลังภายในเคลื่อนย้ายออกไปในร่างกายของเฟิ่งไป่ซู
ผ่านไปครึ่งชั่วยามแม่ทัพฉีจึงลืมตาขึ้นมา “ข้ามีเพียงแค่นี้แล้ว”
“พอแล้ว เอ๋าชิง เจ้าพาแม่ทัพฉีไปพักผ่อนก่อน และดูแลปรนนิบัติเป็นอย่างดี เขาต้องการเวลาพักผ่อนเพื่อพักฟื้นร่างกาย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เอ๋าชิงรีบพาแม่ทัพฉีไปพักผ่อน ฉีเฟยอวิ๋นนั่งรออยู่ข้างๆ เพราะคิดว่ายังมีเรื่องของเธอและหนานกงเย่
และสุดท้าย……
“หนานกงเย่……”
“มีอะไรหรือ”
“เจ้ารับผิดชอบขัดขวางเสด็จอาและคนอื่นๆ ของแคว้นเฟิ่งไม่ให้เข้ามาก่อเรื่องอาละวาด เอ๋าชิงและคนอื่นๆ ถึงแม้จะจงรักภักดีต่อซูซู แต่พวกเขาก็เป็นคนที่เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่เลือกเข้ามา โดยเฉพาะเอ๋าชิง เขาเป็นคนของจวนเสนาบดี ไม่สามารถประจันหน้ากับกองทัพทหารของจวนเสนาบดีได้ แต่สำหรับเจ้าแล้วต่างกัน”
“ข้ารู้แล้ว หากข้าเคลื่อนย้ายคนภายในตำหนัก พวกเขาจะฟังข้าหรือ?”
“ใช่ นี่คือป้ายคำสั่งของจักรพรรดินี พวกเขาเห็นเข้าก็จะเชื่อฟังโดยปริยาย เจ้าเป็นพระสวามีของมกุฎราชกุมารและจักรพรรดินีในอนาคต เจ้าควรจะรู้ว่าควรทำเช่นไร?”
ซูอู๋ซินโยนป้ายคำสั่งมาที่ในมือของหนานกงเย่ ทั้งสองจ้องตากัน จากนั้นหนานกงเย่จึงมองไปรอบๆ
ป้ายคำสั่งอยู่ที่เอว คนอื่นๆ ต่างพากันคุกเข่าลงทันที
“อวิ๋นอวิ๋น คนของจักรพรรดิปีกใต้ก็มาแล้ว เจ้าระวังตัวด้วย เจ้าเผชิญหน้ากับพวกเขา ข้าคิดว่าคงไม่กล้าทำอะไร เพียงแค่ต้องการทำลายเรื่องการที่ข้ามาช่วยเหลือเสด็จแม่ของเจ้าในครั้งนี้ พ่อรับรู้ได้ว่าครั้งนี้พวกเขาได้นำหนอนพิษกู่มาด้วย เจ้าลองคิดหาวิธีขัดขวางไว้ชั่วคราว ราชาหนอนพิษกู่ยังต้องใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วยาม หากเขาออกมาจะไปช่วยเหลือเจ้า!”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากตอบตกลง ฉีเฟยอวิ๋นก็ออกไปข้างนอกพร้อมกับหนานกงเย่ จากนั้นซูอู๋ซินจึงสั่งให้ทุกคนถอยออกไป และสั่งให้คนลดม่านเตียงลง
จากนั้นจึงอุ้มเฟิ่งไป่ซูไปที่วางบนเตียง เฟิ่งไป่ซูรู้สึกเจ็บปวดและทำสีหน้าบิดเบี้ยว “ท่านมีเรื่องอะไรที่กำลังโกหกข้าใช่หรือไม่?”
“ถึงเวลานี้แล้ว ต่อให้โกหกก็ไม่สำคัญแล้ว”
ใบหน้าของเฟิ่งไป่ซูแดงก่ำ แต่เสื้อผ้าของนางถูกปลดออก และเขาก็มาโถมตัวลงมา