องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 748 ซูอู๋ซินบุกเข้าพระราชวังเฟิ่ง
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 746 ซูอู๋ซินบุกเข้าพระราชวังเฟิ่ง
ขณะที่ซูอู๋ซินออกมาคู่สามีภรรยากำลังนอนหลับ นั่งอยู่ก็นอนหลับไปเลย
ขณะนี้ฮั่วหลงได้เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านแล้ว
เมื่อมองเห็นซูอู๋ซินก็คำนับไปทางเขา แต่เพื่อไม่ให้เป็นการปลุกฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่ให้ตื่นเขาจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดและคนอื่นๆก็คุกเข่าอยู่
ในขณะนี้ซูอู๋ซินสวมเสื้อคลุมมังกรสีดำ ผมเผ้านั้นได้จัดการหวีเรียบร้อยแล้ว บนเข็มขัดหยกรอบเอวนั้นยังมีไข่มุกหยกสองสามเม็ดอีกด้วย
มองดูทั้งสองคนอยู่ครู่หนึ่งซูอู๋ซินก็กล่าวว่า: “ขึ้นสำรับ”
“พะย่ะค่ะ”
สวีกงกงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนหนานกงเย่ลืมตาขึ้นแล้วมองไปยังซูอู๋ซินจากนั้นก็มองไปยังฉีเฟยอวิ๋นซึ่งกำลังหลับอยู่ ก้มลงอุ้มคนขึ้นไปบนเตียงขึ้นจากนั้นห่มผ้าให้เรียบร้อยแล้วถึงลงจากเตียง
“ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์?”
หนานกงเย่เดินไปยังตรงหน้าซูอู๋ซิน ส่วนซูอู๋ซินนั้นขมวดคิ้วมองดูโดยละเอียด: “สำหรับข้านั้นไม่ค่อยพอใจเจ้าแต่ในเมื่ออวิ๋นชื่นชอบเจ้าข้าก็สามารถทำให้เจ้าสมหวังได้ เพียงแต่ว่าเมืองต้าเหลียงนั้นข้นแค้นเกินไป ข้าไม่ต้องการให้อวิ๋นอวิ๋นอยู่ที่นั่นไปตลอด แต่โชคดีที่เจ้าเป็นท่านอ๋องมิใช่ฝ่าบาท”
“ข้าจะไม่ทอดทิ้งเมืองต้าเหลียง ท่านคงต้องตายใจได้แล้ว”
หนานกงเย่ไม่ยอมถอยให้ ซูอู๋ซินหัวเราะขณะที่มองดูอย่างถี่ถ้วน: “เจ้าก็ยังไม่ได้รักนางมากมายเช่นนั้น”
“การรักนางและรักเมืองต้าเหลียงไม่ได้ข้องเกี่ยวกัน เรื่องระหว่างสามีภรรยาของเราคนนอกนั้นไม่สามารถยุ่งเกี่ยวได้”
“เช่นนั้นก็ไม่แน่ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นผู้ใด”
ดวงตาของซูอู๋ซินราบเรียบแต่กลับยิ้มทีหนึ่งซึ่งถือว่ายังพึงพอใจต่อหนานกงเย่ เขาไม่ชอบบุรุษอ่อนแอยิ่งไม่ชอบบุรุษผู้ไร้ซึ่งความมุ่งมั่น
เขายังชอบคำพูดของเขามากด้วย รักลูกสาวของเขาและรักเมืองต้าเหลียงนั้นไม่ข้องเกี่ยวกัน
เมื่ออาหารพร้อมแล้วซูอู๋ซินมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นยืนและยืนดูอยู่ฝั่งหนึ่งเป็นเวลานาน: “อวิ๋นอวิ๋น”
หนานกงเย่มองไปโดยที่สามารถเข้าใจได้ หากว่าเขามีลูกสาวเขาก็จะทำเช่นนี้ด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นนอนไปเป็นเวลานานจึงได้ตื่นขึ้นมา: “ท่านอ๋องหล่ะ?”
ซูอู๋ซินมองย้อนกลับไปยังหนานกงเย่และครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้กล่าวว่า: “เขาอยู่ด้านล่าง ข้ากำลังจะจัดการกับเขา”
ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินแล้วสีหน้าย่ำแย่ยิ่งนักจากนั้นจึงลุกขึ้นนั่ง: “ห้ามท่านทำร้ายเขา”
“แล้วหากว่าทำร้ายไปแล้วหล่ะ?”
“เช่นนั้นก็เอาคืนหรือไม่ก็ทำร้ายท่านเช่นเดียวกับเขา!” ความรู้สึกที่นางมีต่อซูอู๋ซินและแม่ทัพฉีนั้นแตกต่างกัน เช่นเดียวกับเจ้าของร่างเดิมที่ตอนนี้ยังไม่ออกมา ในใจของเจ้าของร่างเดิมไม่ยอมรับในตัวซูอู๋ซินผู้ซึ่งเป็นพ่อผู้นี้ เจ้าของร่างเดิมยอมรับเพียงแม่ทัพฉีเท่านั้น
นางก็เช่นเดียวกัน แม้ว่านางจะชอบซูอู๋ซินผู้เป็นพ่อผู้นี้สักเล็กน้อยแต่นางก็ใช่ว่าจะยอมรับแล้ว
ซูอู๋ซินหัวเราะ: “เจ้าเหมือนกับเสด็จแม่ของเจ้า นิสัยช่างวู่วามนัก คนอยู่ข้างล่างและทานอาหารแล้ว”
ซูอู๋ซินกล่าวจบก็หันหลังลงไปและเหลือบมองหนานกงเย่ซึ่งรู้สึกตกอยู่ในภวังค์ด้านล่างจากนั้นเดินไปนั่งลงหยิบตะเกียบคีบเนื้อปลาทานเล็กน้อย
ฉีเฟยอวิ๋นลงมาก็รู้สึกว่าทำสิ่งใดไม่ถูก คิดไม่ถึงว่าจะถูกหลอกให้งุนงงได้ง่ายดายเช่นนี้
นางแต่งตัวค่อนข้างซับซ้อนจึงไม่คุ้นชินนักจึงถอดปิ่นปักผมบนศีรษะลงมาทั้งหมดแล้วถอดเสื้อผ้าที่สวมอยู่ด้านนอกออกและนั่งลงพร้อมด้วยเสื้อคลุมด้านใน
หนานกงเย่นั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง ทั้งสามคนกินอาหารกลางวันกัน
อาหารมื้อนี้ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ยินซูอู๋ซินพูดคุย เขาคีบอาหารให้ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ตลอด ทว่าฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจที่คีบแต่อาหารที่นางชอบทั้งนั้น
ฉีเฟยอวิ๋นกินอิ่มแล้วลุกขึ้นไปดูฮั่วหลง: “เจ้ากินแล้วหรือยัง?”
ฮั่วหลงรีบคุกเข่าข้างหนึ่งลง ฉีเฟยอวิ๋นประคองเขา: “เจ้าไม่ต้องคุกเข่าแล้ว ร่างกายเพิ่งหายดีเว้นไปเถอะ”
“ขอบพระทัยพระชายา” ฮั่วหลงมองฉีเฟยอวิ๋นด้วยความเขินอายเล็กน้อย ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขบขำ
“เจ้ากินแล้วหรือยัง?”
“กินแล้ว ก่อนมาก็กินแล้ว ไม่ได้กินข้าวมานานแล้วจึงกินไปมากมาย นายท่านไม่ได้กิน เขาเป็นห่วงพระชายาจึงไม่กินเลย
“อืม”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดคุยครู่หนึ่งถึงได้รู้ว่าฮั่วหลงยังไม่ได้แต่งงานจึงรู้สึกว่าเสียเวลาไปแล้ว แต่ว่าอายุก็ยังใช้ได้ยังมีโอกาสอยู่
“กลับไปแต่งภรรยาเถอะ แต่งภรรยาแล้วมีคนเคียงหมอน เจ้าเกิดเหตุใดขึ้นมาก็สามารถรู้ได้เร็วหน่อย”
“……”ฮั่วหลงทำสิ่งใดไม่ถูกจนกล่าวไม่ออก
ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้กลับไปเนื่องจากเหนื่อยยิ่งนักและก็ต้องการพักผ่อน
กลับถึงบนเตียงไม่นานก็นอนหลับไปเสียแล้ว
หนานกงเย่กินข้าวแล้วลุกขึ้นไปดูฉีเฟยอวิ๋น นั่งลงแล้วก็ไม่ได้คิดที่จะลุกขึ้น
ซูอู๋ซินนั่งลงข้างๆและถามเรื่องเกี่ยวกับจักรพรรดินีเฟิงไป่ซู
“นางเป็นเช่นไรบ้าง?”
หนานกงเย่เหลือบมองซูอู๋ซิน: “นางก็ถูกพิษเช่นกัน ในร่างมีหนอนพิษกู่ซึ่งมีพิษด้วยและเป็นการยากที่จะจัดการ พวกเรามาปีกใต้ก็เพื่อค้นหาวิธีถอนหนอนพิษกู่ หาฮั่วหลงนั่นเป็นเรื่องของข้า”
“อืม ข้ายังต้องใช้เวลาอีกสองวันเนื่องจากร่างกายยังต้องพักฟื้น หากว่ากลับไปให้พระนางเห็นเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าพระนางจะเจ็บปวดใจมากเช่นไร?” ซูอู๋ซินลุกขึ้นแล้วจากไป
ฉีเฟยอวิ๋นอาศัยได้สองวัน ในช่วงสองวันนี้ทุกเรื่องของหนานกงเย่อยู่ในตำหนักของไท่ซ่างหวง ซูอู๋ซินจะออกมาดูฉีเฟยอวิ๋นทุกๆวัน ที่เหลือก็จะกินและพักผ่อน แต่ว่าเขาฟื้นตัวได้เร็วนัก แม้จะซูบผอมแต่ก็ฟื้นตัวได้เร็วกว่าคนปกติทั่วไป
ฉีเฟยอวิ๋นต้องการไปตรวจดูร่างกายให้เขา แต่เห็นว่าร่างกายของเขาดีกว่าหนานกงเย่จึงไม่ได้สนใจเรื่องของผู้อื่นมากนัก
วันนี้งานเลี้ยงจักรพรรดิปักใต้ได้เชิญฉีเฟยอวิ๋นพ่อลูกไปซึ่งสติของฉีเฟยอวิ๋นสะดุ้งขึ้นทีหนึ่ง ก่อปัญหากันเช่นนี้แล้วยังจะกินข้าวร่วมกันได้อีกก็นับว่าแปลกประหลาด
“เข้าใจแล้ว”
ซูอู๋ซินถือว่ารับปากแล้ว แต่เมื่อถึงตอนบ่ายซูอู๋ซินก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและพาฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ออกจากวัง
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งอยู่บนหลังม้าโดยมีหนานกงเย่กอดเอาไว้ ซูอู๋ซินรีบเร่งไปทางแคว้นเฟิ่งและปีกใต้โดยไม่พาผู้ใดไปด้วย
หนานกงเย่ก็ไม่มีเวลาคุยในระหว่างทาง หากว่าเขาไม่เร่งความเร็วหน่อยก็จะอยู่ด้านหลังเสียแล้ว
ซูอู๋ซินอายุสี่สิบปีแล้วแต่เขาผู้ซึ่งอายุยี่สิบต้นๆกลับตามเขาไม่ทันเช่นนั้นถึงจะเสียหน้า
ม้าสองตัวเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ถึงสามวันก็มาถึงทางแยกของแคว้นเฟิ่งและปีกใต้
คนของเฟิงอู๋ชิงได้รับจดหมายจากนกพิราบบินตั้งแต่แรกแล้ว ซูอู๋ซินถึงแล้วก็ไม่ได้ขวางเอาไว้เปิดประตูเมืองให้เข้าไปโดยตรง
ในตอนนี้ฉีเฟยอวิ๋นถึงได้รู้ว่าโชคดีเพียงใดที่มีท่านพ่อผู้มีอำนาจ
ไม่ต้องกล่าวถึงเมืองต้าเหลียงเกรงว่าทั่วแคว้นทุกสารทิศก็ปล่อยให้ไปไม่ขัดขวางเลย
ทั้งสามคนเร่งม้าผ่านแคว้นเฟิ่งไปอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็มาถึงด้านนอกวังของแคว้นเฟิ่ง
เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าซูอู๋ซินจะเข้ามาในวังตอนดึก แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อเขามาถึงประตูวังก็ให้คนไปส่งข่าวว่าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของปีกใต้ซูอู๋ชิงมาแล้ว
ยามเฝ้าประตูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและพยายามที่จะจับซูอู๋ซิน แต่เขาถูกแรงยับยั้งของซูอู๋ซินทำให้ตกใจจนไม่กล้ากระทำพลการ จากนั้นกลับไปกราบทูลและผู้ที่ออกมาก็คือเอ๋าชิง
“เจ้าก็คือซูอู๋ซิน?” เอ๋าชิงแต่งกายด้วยชุดสีแดงพร้อมถือดาบเล่มยาวยาวอยู่ในมือและยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาเสมือนมีดเช่นนั้น แตกต่างจากเอ๋าชิงที่ฉีเฟยอวิ๋นเห็นในคืนนั้นอย่างสิ้นเชิง เอ๋าชิงในวันนี้มีรังสีของการสังหารหนึ่งอยู่ซึ่งทำให้คนละสายตาไปไม่ได้
ซูอู๋ซินมองไปยังเอ๋าชิง เพียงแค่มองละเอียดครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า: “หลีกไป ในเมื่อเจ้าเป็นคนข้างกายนางข้าก็จะไม่ทำร้ายเจ้า แต่หากว่ายืนกรานที่จะตายงั้นข้าก็ทำได่เพียงลงมือส่งเสริมให้”
ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ฝั่งหนึ่งโดยรู้สึกเศร้าเล็กน้อย บุรุษผู้นี้หยิ่งผยองอยู่ตลอด เห็นได้ชัดว่ามาเพื่อชิงคนแต่เขากล่าวราวกับว่ามีเมตตากรุณามากมายเช่นนั้น
เอ๋าชิงหัวเราะ: “ข้าจะสังหารเจ้าตอนนี้ฝ่าบาททรงไม่รู้ ฝ่าบาทก็ยังทรงเป็นของพวกเรา”
“ใช่หรือ?”
ซูอู๋ซินยิ้มอย่างอ่อนโยน: “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าฝ่าบาทของเจ้าไม่รู้ว่าข้ามาแล้ว?”
เอ๋าชิงชะงักครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็หันไปมองยังด้านหลัง จักรพรรดินีเดินออกมาจากในวังแล้ว