องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 752 ปล่อยเลือดเพื่อถอนพิษ
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 750 ปล่อยเลือดเพื่อถอนพิษ
ฉีเฟยอวิ๋นไม่สนใจ เขาดีใจที่เธอมีความผูกพันและเข้าข้างต่อเมืองต้าเหลียง
“คนเหล่านี้ไม่ได้เป็นคนที่คู่ควรเลย แต่ทำไมเมืองต้าเหลียงกลับล้าหลังกว่าทั้งสี่เมืองนี้ด้วยนะ?” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกสับสน
“พวกเขามีสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่อุดมสมบูรณ์ ปีกใต้มีแมลง อู๋โยวมีเสบียงอาหาร มีแร่ธาตุ มีอุตสาหกรรมเกลือ และการพัฒนาความเป็นอยู่ของผู้คนก็ง่ายมาก และทั้งสี่ฤดูของแคว้นเฟิ่งก็เหมือนกับเป็นฤดูใบไม้ผลิ ความหมายของทั้งสี่ฤดูเหมือนฤดูใบไม้ผลินั้นก็คือ พวกเขายังผลผลิตทางการเกษตรมากกว่าของเรา พวกเขาสามารถเริ่มเพาะปลูกได้ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูหนาวในหนึ่งปี ผ้าไหมและชาที่พวกเขามีนั้นมีความโดดเด่นเกินกว่าใครจะเทียบได้ ไม่เพียงเท่านั้น ที่ดินพื้นที่ของพวกเขาก็กว้างใหญ่อดีตจักรพรรดินีและจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันก็มีพรสวรรค์ความสามารถในด้านการปกครอง เมื่อมารวมกันแล้วจะไม่ให้เป็นแคว้นที่ร่ำรวยที่สุดก็คงเป็นไปไม่ได้”
หนานกงเย่เห็นได้ละเอียดชัดเจน ฉีเฟยอวิ๋นกลับรู้สึกลำบากใจแทนเขา
“หากท่านพูดเช่นนี้ เมืองต้าเหลียงไม่มีอะไรจริงๆ เช่นนั้นก็มีเพียงแค่สามสี่คนสิเพคะ”
“นั่นก็ยังมีที่สูญหายไปอีก เดิมทีข้าคิดว่าสร้างโรงพยาบาลโรงเรียนขนาดใหญ่ขึ้นมาเช่นนั้นก็คงเป็นความคิดที่ไม่เลว เรื่องเกิดแก่เจ็บตายใครก็ไม่อาจปฏิเสธห้ามได้ แต่ตอนนี้……อวิ๋นอวิ๋นกลับไม่ใช่เป็นของข้าคนเดียวอีกต่อไปแล้ว”
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันก็คือคนของท่านนะเพคะ ขอเพียงแค่ท่านอ๋องไม่ได้ทำเรื่องที่ผิดต่อหม่อมฉัน หม่อมฉันก็เป็นของท่านอ๋องตลอดไป ท่านอ๋องอยู่ที่ปีกใต้ หม่อมฉันก็จะอยู่ที่ปีกใต้กับท่านอ๋อง ท่านอ๋องไปที่แคว้นเฟิ่ง หม่อมฉันก็จะติดตามท่านอ๋องไปแคว้นเฟิ่ง การมาครั้งนี้มีภารกิจสองอย่างคือ เรื่องแรกคือช่วยเจ้าของร่างเดิมตามหาท่านแม่ของนาง ส่วนอีกเรื่องคือการตามหาฮั่วหลง และตอนนี้ก็ทำสำเร็จแล้วทั้งสองเรื่อง รอให้จักรพรรดินีถอนพิษเสร็จ เราก็จะเดินทางกลับ หม่อมฉันคิดถึงเจ้าห้าและเด็กๆ แล้วเพคะ”
“ข้ามไ่รู้ว่าควรจะพูดอะไร แต่ข้าก็ไม่อยากทำให้อวิ๋นอวิ๋นต้องตกใจ เพราะข้าคือสามีของอวิ๋นอวิ๋น เมื่อออกเรือนแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะลำบากสักแค่ไหน ก็ต้องรู้จักปรับตัวอยู่กับสามีและครอบครัวสามีให้ได้ คำนี้อวิ๋นอวิ๋นต้องจำเอาไว้”
“เพคะ ท่านอ๋องพูดถูก” เขาพูดเช่นนั้นแล้ว เธอจะพูดอะไรได้อีก
เมื่อตกดึก ซูอู๋ซินเดินออกมาจากข้างใน และได้เปลี่ยนเป็นชุดคลุมสีดำเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงเรียกฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่เข้าไป
ทั้งสามเดินเข้าไปที่ตำหนักเฟิ่งฉี อันที่จริงฉีเฟยอวิ๋นเป็นกังวลแม่ทัพฉีมากที่สุด แต่ขณะนี้แม่ทัพฉีปลอดภัยดีและไม่เป็นอะไรแล้ว และกำลังนั่งอยู่ในท้องพระโรงของตำหนักเฟิ่งฉี
เมื่อเห็นว่าแม่ทัพฉีไม่เป็นอะไร ฉีเฟยอวิ๋นจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ม่านมุ้งที่เตียงถูกเปิดออก จักรพรรดินีเฟิ่งไป่ซูกำลังนั่งอยู่บนเตียง ขณะนี้สวมใส่ชุดลวดลายหงส์สีแดง ถึงแม้จะกำจัดหนอนพิษกู่ไปแล้ว แต่เมื่อมองไปแล้วก็ยังดูซีดเซียวอยู่มาก
แม่ทัพฉีถาม “อวิ๋นอวิ๋น เจ้าสามารถถอนพิษได้ เจ้าลองดูว่าพิษของท่านแม่ของเจ้าสามารถกำจัดได้หรือไม่?”
“เจ้าค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นมอบไปบริเวณโดยรอบ เอ๋าชิงก็อยู่ด้วย
“คนรอบข้างได้โปรดถอยออกไปก่อน”
เป็นไปไม่ได้ที่ฉีเฟยอวิ๋นจะปล่อยเลือดออกมาต่อหน้าเอ๋าชิงและคนอื่นๆ
ในฐานะที่เป็นหมอ ฉีเฟยอวิ๋นกลับต้องใช้เลือดของตัวเองมาเพื่อทำการรักษาคนป่วย หากพูดออกไปก็อาจขายหน้าเอาได้
เอ๋าชิงและคนอื่นต่างถอยออกไปโดยไม่รีรอ ขันทีต่างก็ถอยออกไปทั้งหมด
ตอนนี้มีเพียงแค่ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ ซูอู๋ซินและแม่ทัพฉี จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงงเดินไปตรงหน้าเฟิ่งไป่ซูและนั่งลง และจับมือของเฟิ่งไป่ซู จากนั้นจึงทำการตรวจจับชีพจรให้นาง
เมื่อตรวจวัดชีพจรเสร็จ ฉีเฟยอวิ๋นจึงปล่อยมือลงและหันกลับไปมองหนานกงเย่ “ท่านอ๋อง ท่านเฝ้าหน้าประตูไว้ หม่อมฉันจะทำการรักษาให้พระนางเพคะ”
“ระมัดระวังด้วย!”
ถึงแม้ว่าหนานกงเย่จะไม่ค่อยเต็มใจ แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเขาก็ไม่สามารถเป็นผู้ตัดสินใจได้ จากนั้นเขาจึงเดินไปหน้าประตูและหันหลังให้กับห้องบรรทม
ซูอู๋ซินพอจะรู้ได้บ้างว่าฉีเฟยอวิ๋นต้องการจะทำอะไร ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมเลือดในร่างกายของฉีเฟยอวิ๋นสามารถช่วยชีวิตคนได้ แต่เพื่อให้จักรพรรดินีหายดีเป็นปกติ เขาจึงยอมทำตามในครั้งนี้
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบมีดขึ้นมา เฟิ่งไป่ซูไม่ได้รู้สึกกลัว เพียงแต่มองลูกสาวยกมีดขึ้นมาและนางก็ให้ความร่วมมืออย่างดีโดยยกแขนขึ้นมาและยื่นออกไป ในใจของนางเต็มไปด้วยความคิดที่ว่าจะต้องปล่อยเลือดออกมาจึงจะสามารถถอนพิษออกไปได้
แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ฉีเฟยอวิ๋นกลับพูดขึ้นมาว่า “ท่านพ่อ ท่านช่วยหยิบถ้วยมาให้หนึ่งใบได้หรือไม่”
แน่นอนว่าแม่ทัพฉีรู้สึกเป็นห่วงและไม่สามารถอยู่เฉยๆ โดยไม่ช่วยอะไรได้ อีกทั้งคนคนนี้คือเฟิ่งไป่ซู
แม่ทัพฉีลุกขึ้นและหยิบถ้วยให้หนึ่งใบ จากนั้นจึงส่งให้กับฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นกรีดข้อมือและปล่อยเลือดออกมา เฟิ่งไป่ซูรู้สึกตกใจอย่างมาก
นางดูข้อมือของลูกสาวที่ถูกกรีดและรู้สึกหายใจลำบาก
“เจ้ากำลัง?”
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทดื่มเลือดถ้วยนี้นะเพคะ หม่อมฉันจะดูว่าสีเปลี่ยนไปหรือไม่ ในร่างกายของหม่อมฉันมีพิษอยู่ โดยปกติแล้วหมอมักใช้พิษในการถอนพิษออกมา และเลือดของหม่อมฉันก็สามารถช่วยชีวิตคนให้กลับมามีชีวิตได้ ก่อนหน้านี้ที่หม่อมฉันไม่ได้ทำเช่นนี้นั้น ก็เป็นเพราะได้นำเลือดหล่อเลี้ยงให้กับหนอนพิษกู่โดยเปล่าประโยชน์ไปเพคะ”
ถึงอย่างไรเสียเฟิ่งไป่ซูก็เป็นจักรพรรดินี นางไม่ได้เป็นเหมือนผู้หญิงคนอื่นที่ไม่รู้อะไรเลย ถึงแม้จะสงสาร แต่ก็ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นที่เอาแต่ผลักไสและปฏิเสธ เมื่อมองไปที่เลือดที่ยังมีความอุ่นอยู่ เฟิ่งไป่ซูยกขึ้นมา จากนั้นจึงดื่มลงไป
ฉีเฟยอวิ๋นจับข้อมือของเฟิ่งไป่ซูและเริ่มทำการตรวจวัดชีพจรใหม่อีกครั้ง
เป็นเวลานานกว่าจะปล่อยมือลง “ดูแล้วยังต้องดื่มเข้าไปอีก ถึงแม้จะกำจัดไปได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังมีอยู่เพคะ”
พิษได้ถูกกำจัดออกไปแล้ว เพียงแต่ร่างกายของเฟิ่งไป่ซูนั้นค่อนข้างอ่อนแอและจำเป็นต้องใช้เวลานานในการฟื้นฟู แต่ระยะเวลานานที่ว่านั้นก็เทียบไม่ได้กับเลือดหนึ่งถ้วยของฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นกรีดแผลที่ประสานกลับเข้าที่แล้วอีกครั้งและปล่อยเลือดออกมาให้เฟิ่งไป่ซู
เฟิ่งไป่ซูมองไปที่ซูอู๋ซิน จากนั้นจึงมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น “ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้าไม่ควรปล่อยเลือดออกมาอีก เลือดถ้วยนี้อาจทำให้เจ้าต้องพักฟื้นอยู่นาน เจ้าดูเขาสิ ร่างกายแข็งแรงกำยำเช่นนั้น เขากลับไม่กล้าหันมามองข้า อาจจะเพราะสงสาร และอาจเพราะเคยดื่มไปไม่น้อย”
“ปล่อยออกมาแล้ว ฝ่าบาทดื่มเข้าไปจะเป็นประโยชน์ต่อฝ่าบาทเพคะ สามวันหลังจากนี้ในเวลาช่วงเช้า หม่อมฉันยังคาดหวังว่าจะได้เห็นคนเหล่านั้นที่คิดจะเข้ามาทำการก่อกบฏวังหลวง หม่อมฉันเชื่อว่าฝ่าบาทเป็นคนที่ไม่ธรรมดาและสามารถจัดการกับคนเหล่านั้นได้เพคะ”
เฟิ่งไป่ซูยกเลือดขึ้นมาดื่มและวางถ้วยลงข้างๆ จากนั้นจึงพูดเรื่องที่จะนอนลง
ฉีเฟยอวิ๋นประคองเฟิ่งไป่ซูนอนลง เฟิ่งไป่ซูสังเกตฉีเฟยอวิ๋น “ข้ามักคิดเสมอว่าเจ้ามีบางสิ่งที่พิเศษ เหมือนกับเพื่อนมาก แต่เจ้ากลับเป็นลูกสาวที่ข้าให้กำเนิดออกมา ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เจ้าก็คือลูกสาวของข้า ข้าได้ยินท่านพี่ใหญ่อันพูดว่า ลูกสาวของข้าไม่ค่อยสู้คนและอ่อนแอ ก่อนหน้านั้นที่ร้องไห้น่ะใช่ แต่เจ้ากลับไม่ใช่
แต่ข้าดูแววตาของท่านพี่ใหญ่อันเวลาที่จ้องมองเจ้านั้น กลับมีแต่ความอ่อนโยน
อาจเป็นเพราะพวกเจ้าใกล้ชิดและผูกพันกันมานาน ท่านพี่ใหญ่อันก็คงแยกไม่ออกแล้วกระมัง?”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกโศกเศร้าและไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
แต่ซูอู๋ซินเดินมาข้างหน้าและกล่าวขึ้น “นางเหนื่อยแล้ว ให้นางไปพักผ่อนเถอะ ไม่เช่นนั้นละก็ คนที่ยืนอยู่หน้าประตูคนนั้นจะต้องโมโหอย่างแน่นอน นิสัยของเขานั้นไม่เหมือนข้าหรอก”
ซูอู๋ซินจับมือของเฟิ่งไป่ซูแน่น และมองฉีเฟยอวิ๋นด้วยความรัก “พวกเจ้าไปพักผ่อนที่เรือนด้านข้าง คืนนี้จะมีคนอื่นมาเฝ้าดูแลที่นี่ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเฝ้าแล้ว”
“เพคะ”
จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงเดินจากไป
แววตาของซูอู๋ซินที่มองลูกสาวของเขานั้น อาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ของคนนี้ เขาไม่เชื่อเรื่องเจ้าของร่างเดิม แต่เรื่องที่แม่ทัพฉีพูดขึ้นมานั้นจะไม่เชื่อก็ไม่ได้ แต่ก็ไม่สามารถเชื่อได้ทั้งหมด
สิ่งที่เขาเชื่อมั่นนั่นก็คือฉีเฟยอวิ๋นเป็นลูกสาวของเขา ส่วนคนอื่นนั้นเขาไม่อาจรู้ได้
จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงไปหาแม่ทัพฉี และถามแม่ทัพฉี “ท่านพ่อ ท่านก็กำลังพักผ่อนหรือเจ้าคะ?”
“อืม”
จากนั้นแม่ทัพฉีจึงลุกขึ้น สองพ่อลูกออกไปพร้อมไป ฉีเฟยอวิ๋นเดินออกมาจากประตูและจับข้อมือของแม่ทัพฉีไว้ เมื่อตรวจสอบแล้วว่าได้ฟื้นฟูกลับคืนมาแล้ว เธอจึงรู้สึกวางใจ
ทั้งสามเดินไปที่เรือนด้านข้างเพื่อพักผ่อน
เอ๋าชิงที่ยืนอยู่หน้าประตูเมื่อเห็นพวกเขาทั้งสามคนก็ทักทายขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ มกุฎราชกุมาร”
ฉีเฟยอวิ๋นเพียงแค่พยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นทั้งสามก็เดินไปที่เรือนด้านข้างพร้อมกัน