องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 757 ราวกับเป็นพ่อลูกแท้ๆ
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 757 ราวกับเป็นพ่อลูกแท้ๆ
ออกจากประตูไปแล้วหนานกงเย่ก็เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างโกรธจัด ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขบขัน: “ข้ายังไม่ได้กล่าวสิ่งใดท่านอ๋องก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว”
“ข้าดูว่าผู้ใดจะกล้าเอ่ยเรื่องแต่งสวามีรองให้อวิ๋นอวิ๋นอีก?”
“ข้าก็ไม่ได้ต้องการแต่ง”
“……” หนานกงเย่กุมมือของฉีเฟยอวิ๋นไว้แน่น: “เดิมทีคิดว่าผ่านคืนนี้ไปก็จะจากไป แต่ตอนนี้เห็นผู้ป่วยเหล่านั้นของเจ้าแล้วไม่สามารถตัดสินใจได้ในเวลาแค่ชั่วครู่ชั่วยาม ข้าเองก็ไร้วิธีที่จะพาเจ้าจากไป
นับแต่วันนี้ไป นอกจากดูอาการผู้ป่วยห้ามไปที่อื่น”
“อืม”
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์แล้วชี้: “ท่านอ๋องดูสิ”
หนานกงเย่เงยหน้าขึ้น: “มีสิ่งใดน่าดู มิใช่ดวงจันทร์ของเมืองต้าเหลียงสักหน่อย?”
“ท่านอ๋อง นั่นเป็นดวงจันทร์ดวงหนึ่ง!”
“แม้ว่าข้าจะวางแผนและต้องการพิชิตใต้หล้าแต่ข้าไม่ชอบดวงจันทร์ของเมืองอื่นแน่นอน”
“ท่านอ๋องคิดถึงเรือนหรือ?”
“……”
หนานกงเย่ไม่ตอบ จากนั้นมองลงมายังฉีเฟยอวิ๋นแล้วมองดูดวงจันทร์ต่อ
ในครึ่งเดือนต่อไปชื่อเสียงด้านการรักษาของฉีเฟยอวิ๋นได้แพร่กระจายไปในเมืองหลวงของแคว้นเฟิ่งแล้ว
เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นคิดที่จะจากไปแต่คิดไม่ถึงว่าผู้คนที่มาหานางยิ่งอยู่ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และก็ลากไปเป็นเวลานาน
วันนี้ออกจากวังมีคนวิ่งออกมาคุกเข่าอ้อนวอนให้นางไปดูร่างกายของมารดาชราโดยที่ร้องไห้อย่างหนัก เป็นลูกกตัญญูผู้หนึ่ง
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ไปดูสักหน่อยก็ไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วเป็นอาการปวดศีรษะและก็เป็นนิ่วในไต ฉีเฟยอวิ๋นจนปัญญาจึงต้องฝังเข็มเพื่อรักษาอาการปวดศีรษะและจะต้องจัดการสลายนิ่ว
ครั้งนี้ก็จะทำให้ช้าลงไปอีก
ฉีเฟยอวิ๋นดูอาการป่วยด้วยความเหม่อลอย
“ท่านอ๋อง กลับไปไม่ได้แล้วใช่หรือไม่?” ฉีเฟยอวิ๋นคิดถึงเจ้าห้าและเด็กๆที่รักทั้งหลายของนางแล้ว
แม่ทัพฉีได้จัดสัมภาระเรียบร้อยแล้วและตัดสินใจจะกลับในวันนี้แล้ว นางนั้นไม่วางใจอยู่แล้วเช่นนี้จึงจากไปไม่ได้เสียแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นมาที่นี่เป็นเวลานานเช่นนี้ ไม่เคยรู้สึกทรมานใจมากเช่นนี้มาก่อน
เช่นนี้ต่อไปจะต้องถึงเมื่อใดกัน?
“ข้าไม่รีบร้อนอวิ๋นอวิ๋นรีบร้อนสิ่งใด?” หนานกงเย่รู้ว่านางรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อคืนในความฝันก็เรียกชื่อของเจ้าห้า
แม่ทัพฉีเก็บของเรียบร้อยแล้วและกำลังจะจากไป นางก็ยิ่งทนรอไม่ไหวแล้ว
เดิมทีคุยกันแล้วว่าจะกลับพร้อมกัน แต่ตอนนี้เกรงว่าจะต้องรออีกครึ่งเดือนแล้ว
อาการปวดศีรษะและนิ่วในไตชัดเจนแล้วว่าต้องใช้เวลาครึ่งเดือนถึงจะรักษาหายได้
“ไม่ร้อนใจได้หรือ? ออกมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว”
“ไม่เป็นไร เช่นไรก็ได้กลับไป”
ฉีเฟยอวิ๋นร้อนใจอยู่บนใบหน้าแต่หนานกงเย่ร้อนอยู่ในใจซึ่งเขาไม่ได้แสดงออกมา
จากไปไม่ได้ ฉีเฟยอวิ๋นนั้นทำได้เพียงแค่รอ
แต่นางก็รู้ว่ารออยู่เฉยๆไม่ใช่หนทางจึงได้หารือกับหนานกงเย่ว่าจะจัดคนมาสองสามคนเพื่อเปิดสถานพยาบาลแห่งหนึ่ง
หนานกงเย่ได้ยินว่าเปิดสถานพยาบาลจึงได้เลือกสถานที่หนึ่งในเมืองหลวงเพื่อเปิดสถานพยาบาล ในเวลาเพียงไม่กี่วันก็มีท่านหมอที่เก่งกาจหลายคนเร่งมาแล้วยังเป็นหญิงทั้งสิ้น
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจว่าในเมืองหลวงของแคว้นเฟิ่งผู้คนเหล่านี้สามารถระดมพลได้อย่างรวดเร็ว จัดตั้งร้านค้าร้านหนึ่งและมีการขนส่งประเภทต่างๆครบถ้วน นอกจากหนานกงเย่ก็มีเพียงซูอู๋ซินแล้ว
ความเก่งกาจของซูอู๋ซินนั้นไม่อาจคาดการณ์ได้ แม้ว่าฉีเฟยอวิ๋นจะไม่ได้มีรู้ทั้งหมดแต่ซูอู๋ซินผู้เดียวกล้าท้าปีกใต้และแคว้นเฟิ่งตัวต่อตัว
คนผู้หนึ่งท้าสองแคว้นตัวต่อตัวกัน
ไม่กล่าวถึงหนานกงเย่แต่ความมีอำนาจเช่นนี้เขาคงจะอิจฉาหล่ะสิ
สถานพยาบาลใช้เวลาเพียงแค่สามวันก็เปิดได้แล้ว ฉีเฟยอวิ๋นกราบทูลต่อเฟิ่งไป่ซูแล้ว เฟิ่งไป่ซูออกพระราชโองการให้นางเปิดสถานพยาบาลในแคว้นเฟิ่งด้วยพระนางเอง
สถานพยาบาลเปิดทำการผู้คนมาเป็นจำนวนมาก ฉีเฟยอวิ๋นได้สั่งการลงไปแล้วว่าวันนี้นางไม่ตรวจรักษา ให้คนของหนานกงเย่ตรวจรักษาแล้วนางก็อยู่ช่วยเหลืออยู่ฝั่งหนึ่ง
วันหนึ่งลงมาดูอาการป่วยไปแล้วเจ็ดแปดสิบคน โรงเก็บยาสมุนไพรนั้นแทบจะว่างเปล่า ฉีเฟยอวิ๋นก็ตกใจอยู่ตรงนั้น เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นโดยที่ความรู้สึกเหมือนสถานพยาบาลเปิดโรงทาน
รอจนกระทั่งยามค่ำฉีเฟยอวิ๋นถึงได้ตระหนักว่าเก็บเงินจนมืออ่อน
สามีภรรยานั่งดูเงินที่กองออกมาอยู่ในสถานพยาบาล แคว้นเฟิ่งนั้นร่ำรวยจริงๆ
“ท่านอ๋อง ข้าต้องการให้หมอประจำจวนโจวมาและให้หมอเทวดามากับเขาท่านว่าเช่นไร ข้าจะอยู่ที่นี่อีกครึ่งเดือนก็พอแล้ว ครึ่งเดือนนี้ข้าจะสอนทักษะทางการแพทย์ให้ผู้คนที่นี่ เรื่องอื่นๆรอให้หมอประจำจวนโจวมาที่นี่แล้วเขาจะดูแลจัดการที่นี่”
ฉีเฟยอวิ๋นคิดเรื่องนี้มาหนึ่งวันแล้วและนี่เป็นวิธีการเดียว
หนานกงเย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง: “หมอประจำจวนโจวมาใช่ว่าจะไม่ได้ เพียงแต่ว่าที่นี่คือแคว้นเฟิ่ง เป็นสตรีอยู่ที่นี่จะเป็นการดีที่สุด ฐานะดูสูงส่งกว่าและง่ายต่อการจัดการ”
“ก็ดี เช่นนั้นก็ให้ทางด้านหมอประจำจวนโจวอยู่ที่นี่ซักระยะ มีผู้ที่ทำได้คล่องมือดังใจคิดแล้วค่อยจากไป”
“ก็ได้” วันนี้หนานกงเย่ก็เหนื่อยมากแล้วยืนมาทั้งวันแล้ว
จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ให้คนไปจัดเก็บเงินทอง ทั้งสองคนกลับไปพระราชวังไกลไปหน่อยแล้วยังเหนื่อยยากด้วยจึงพักอยู่ในเรือนหลังของสถานพยาบาล
วันรุ่งขึ้นแม่ทัพฉีเดินทางกลับเมือง ทั้งสองคนจึงได้กลับวัง
วันนี้แม่ทัพฉีตื่นแต่เช้า ซูอู๋ซินและเฟิ่งไป่ซูออกมาจากพระราชวังด้วยกันกับเขา ทั้งสามคนแต่งตัวในชุดลำลองและรอฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่ตรงหน้าประตูวัง
คนสองสามคนพบเจอกันฉีเฟยอวิ๋นจึงได้เดินเข้าไป: “ท่านพ่อ ท่านผู้เดียวต้องระวังตัวด้วย เกิดเรื่องใดขึ้นนั้นชีวิตสำคัญที่สุด”
แม่ทัพฉีจากไปเพียงผู้เดียว ฉีเฟยอวิ๋นมีความกังวลเป็นร้อย
แม่ทัพฉีกลับไม่สนใจ: “พ่อเดินทางเหนือจรดใต้จนคุ้นเคยแล้วที่เจ้าไม่รู้ยังมีอีกมากมาย นอกจากนี้ครั้งนี้พ่อไม่ได้กลับไปผู้เดียว อ๋องเย่ก็จะคุ้มครองเป็นการลับก็ไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว”
“อืม”
ฉีเฟยอวิ๋นจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแก่แม่ทัพฉี: “ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องเร่งรีบเดินทางในระหว่างทาง หากว่ามีสถานที่ที่ชอบก็ดูได้ เดิมทีข้าตั้งใจจะพาท่านไปดูคิดไม่ถึงว่าจะไม่สามารถกลับไปได้ง่ายๆจึงล่าช้าอยู่ตรงนี้ ท่านพ่อนั้นก็ดูๆได้”
“เด็กโง่ พ่อออกมาก็เห็นตั้งนานแล้วไม่จำเป็นต้องดูให้มากมาย ในเรือนมีเรื่องราวมากมาย แม้ว่าจะไม่ได้เป็นกังวลในความวุ่นวายของทั่วทุกสารทิศ แต่เด็กๆทั้งหลายไม่สามารถละเลยได้ พ่อต้องรีบกลับไปดูจึงจะได้”
“เช่นนั้นท่านพ่อระวังตัวด้วย!”
ฉีเฟยอวิ๋นดึงและรั้งไว้อาลัยอาวรณ์ที่จะให้แม่ทัพฉีจากไป แม่ทัพฉีก็ถูกกระตุ้นให้อาลัยอาวรณ์ด้วย เขามองไปยังฉีเฟยอวิ๋นเป็นเวลานานก่อนที่จะฝากฝังว่า: “พ่อไม่อยู่ต้องดูแลตนเองให้ดี มีเรื่องใดกลับไปค่อยพูดคุยกัน ยังมีอีก…..หากว่าเขารังแกเจ้ารอกลับไปแล้วพ่อจะไม่ปล่อยเขาไว้”
“ข้ารู้”
แม่ทัพฉีมองไปยังเฟิ่งไป่ซู: “น้องพี่ พี่ใหญ่ไปแล้ว ต่อไปหากมีโอกาสพวกเจ้าก็ไปเที่ยวที่เมืองต้าเหลียง แม้ว่าเมืองต้าเหลียงจะไม่ร่ำรวยแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเช่นที่พวกเจ้าคิด ต้องมีสักวันที่เมืองต้าเหลียงจะอยู่เหนือทั่วทุกสารทิศและเป็นอันดับหนึ่ง”
“พี่ใหญ่พูดเล่นแล้ว ที่จริงแล้วรวยหรือจนนั้นไม่มีความแตกต่าง สำหรับพวกเราแล้วที่นั่นช่างดีนักเนื่องจากที่นั่นมีพี่ใหญ่และมีเด็กๆทั้งหลายอยู่
พี่ใหญ่ระวังตัวด้วย! ”
“อืม”
แม่ทัพฉีกระโดดขึ้นบนม้าแล้วมองย้อนกลับไปยังฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นมองไปยังเฟิ่งไป่ซูแล้วหันหลังกลับจากไป
ฉีเฟยอวิ๋นมองดูแม่ทัพฉีไปไกลแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโศกเศร้า ก่อนที่จะมาเป็นห่วงอวิ๋นจิ่นและในตอนนี้เป็นกังวลต่อท่านพ่อของนาง
จักรพรรดินีมีผู้ที่ชอบพอในใจและพ่อของนางก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยว แม่ทัพฉีรับใช้บ้านเมืองและราษฎรมาทั้งชีวิต ท้ายที่สุดแล้วอีกครึ่งชีวิตนั้นไร้ที่พึ่งพิงแล้วควรทำเช่นไร?
หากว่านางสามารถกลับไปด้วยก็เป็นเรื่องดีทว่ากลับไปไม่ได้
ฉีเฟยอวิ๋นรอจนกระทั่งม้าของแม่ทัพฉีลับตาไปนางจึงได้หันไปมองเฟิ่งไป่ซูกับซูอู๋ซิน: “พวกเรายังต้องไปที่สถานพยาบาลจึงไม่กลับไปที่พระราชวังแล้ว”
“เจ้าลูกคนนี้ สองสามวันนี้เสด็จแม่ของเจ้าคิดถึงเจ้าอยู่ตลอด แต่เจ้านั้นกลับดีสินะ ดูเหมือนว่าลูกสาวที่ออกเรือนแล้วราวกับน้ำที่ราดออกไป คำกล่าวนี้ไม่ผิดเลย” ซูอู๋ซินบ่นจนทำให้ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้จะทำเช่นไรดี
ซูอู๋ซินกล่าวเช่นนี้ราวกับว่าพวกเขาเป็นพ่อลูกแท้ๆกันจริงๆ