องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 758 มิเป็นการดีที่จะสังหารราชบุตรเขย
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 756 มิเป็นการดีที่จะสังหารราชบุตรเขย
มองดูพวกเขาทีละคนแล้วฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวว่า: “พวกเขาไม่มีปัญหาทั้งสิ้น ปัญหาอยู่ที่ใต้เท้า เพียงแต่ว่าโรคนี้มีสาเหตุมาจากร่างกายและมีผลจากทางจิตใจของใต้เท้าและทุกๆท่าน นอกจากนี้ก็คือควบคุมเวลาได้ไม่ถูกต้อง”
“เวลาหรือ?”
เฟยอวิ๋นประหลาดใจ
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “อสุจิของบุรุษนั้นมีทุกวัน แต่ไข่ของสตรีมีจำนวนจำกัดทุกเดือนซึ่งไม่มากนัก”
เฟยอวิ๋นและผู้คนอื่นๆนั้นไม่เข้าใจฉีเฟยอวิ๋นจึงได้เปรียบเทียบอย่างละเอียดว่า: “เจ้าเคยเห็นกาน้ำชาหรือไม่ สิ่งที่อยู่ตรงกลางคือสิ่งของที่อยู่ในร่างกายของสตรีและสิ่งที่อยู่โดยรอบเหล่านี้คือสิ่งของของบุรุษ พวกมันจะต้องประสานกันจึงจะเกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นซึ่งก็คือเด็ก แต่ของสิ่งนี้จะต้องอยู่ในเวลาที่เหมาะสมถึงจะตั้งครรภ์ได้
บุรุษมีทุกวัน แต่เวลาของสตรีคือ……”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้กล่าวโดยตรงส่วนเฟยอวิ๋นนั้นรู้ว่าเป็นเช่นไรแล้ว
“พวกเจ้าถอยไปก่อน”
เฟยอวิ๋นให้สามีเอกอยู่เพียงผู้เดียวและคนอื่นๆก็ไม่เต็มใจออกไปเสียแล้ว ตันเฟิ่งเหยี่ยนผู้นั้นรออยู่ตรงหน้าประตูและถูกสามีเอกเห็นเข้า
“เจ้าอยากถูกโบยหรือ?”
“ฮึ่ม!” คนโปรดก็คือไม่เหมือนกันแล้วเดินออกไปอย่างไม่พอใจ
“องค์รัชทายาท ราชบุตรเขยทำให้ขบขันแล้ว” เฟยอวิ๋นกล่าวอย่างละอายใจ
ฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่ได้คิดว่าถูกต้องจึงได้กล่าวว่า: “ใต้เท้าอาการหนักแล้ว ใต้เท้าร่างกายของท่านจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูจริงๆ ประการแรกคือเลือดลมไม่พอเพียง หากข้าเดาไม่ผิดตอนนี้ร่างกายของท่านว่างเปล่านักซึ่งเกี่ยวข้องกับอยู่บนเตียงทุกวันอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเรื่องของชายหญิงจะรื่นเริงแต่สำหรับใต้เท้าแล้วไม่สามารถดื่มด่ำมากเกินไป ร่างกายของสตรีก็เป็นเช่นนี้จึงสามารถเกิดเรื่องขึ้นได้
หากพลังอิ๋นเสียหายก็จะตั้งครรภ์ได้ยากรวมถึงร่างกายมีความเย็นมากก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก
หากเป็นเรื่องบนเตียงแล้วใช้วิธีการที่ไม่ควรใช้ก็จะเปลืองไข่สองสามฟองเปล่าๆ”
สีหน้าของเฟยอวิ๋นดูไม่ได้เลยแต่สามีเอกถามอย่างหนักแน่นว่า: “เช่นนั้นองค์รัชทายาทมีวิธีใดบ้าง?”
“อันดับแรกต้องฟื้นฟูร่างกายก่อนจากนั้นต้องมีสภาพแวดล้อมที่ไร้ซึ่งความกังวล ขออภัยที่กล่าวตามตรงเรือนหลังของใต้เท้าไม่สงบสุข ใหญ่โตเช่นนี้ก็น่ากังวลเช่นกัน กลับทำให้เกิดความกดดันเป็นอย่างมาก
มีคำกล่าวว่ายิ่งเร่งยิ่งช้า ยิ่งเร่งยิ่งวิตกกังวลก็ยิ่งไม่สามารถมีได้
ไม่เช่นนั้นใต้เท้าคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมแล้วย้ายไปลานเล็กอันเงียบสงบเพื่อพักฟื้นชั่วระยะเวลาหนึ่ง คนไม่จำเป็นต้องมากมาย เหลือเพียงแค่สามีที่เตรียมพร้อมจะให้กำเนิดบุตรเท่านั้นก็พอ”
“โอ้!”
เฟยอวิ๋นตระหนักในทันใด จากนั้นมองไปยังสามีเอกแล้วกล่าวว่า: “เช่นนั้นสามีเอกจัดการเถอะ พวกเราไปที่อื่นกัน”
“อืม”
ฉีเฟยอวิ๋นสั่งยาทันทีแล้วมอบให้แก่ทั้งสองคน
“ใต้เท้าบอกวันให้แก่ข้าข้าจะคำนวณวันและจะได้ระมัดระวังในสองวันนั้นให้มากขึ้นเล็กน้อย”
“ได้!”
ดูเรียบร้อยแล้วที่เรือนของเฟยอวิ๋นก็มืดลงแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่สามารถไปที่อื่นได้อีก ดังนั้นจึงตามหนานกงเย่ออกจากจวนของเฟยอวิ๋นและเฟยอวิ๋นก็ส่งพวกเขาด้วยตนเอง
ระหว่างทางฉีเฟยอวิ๋นบอกเฟยอวิ๋นว่า: “ชายผู้นั้นที่ชื่อตันเฟิ่งเหยี่ยนร่างกายของเขาแย่ที่สุด เดิมทีข้าไม่ควรยุ่งแต่เขาไม่เหมาะกับการให้กำเนิดบุตรจริงๆ ดังนั้นข้าถึงบอกว่าต้องหาผู้ที่ชำนาญ”
“เช่นนี้นี่เอง ข้ารู้แล้ว”
เฟยอวิ๋นส่งถึงหน้าประตูวังจึงได้จากไป ขณะที่จากไปรู้สึกกังวลใจนัก
ฉีเฟยอวิ๋นตามหนานกงเย่เข้าไปในวัง
“อวิ๋นอวิ๋น จริงหรือที่ชายที่ชื่อตันเฟิ่งเหยี่ยนผู้นั้นไม่ไหวในเรื่องนั้น?” เรื่องนี้ก็สามารถมองออกได้หนานกงเย่ก็ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าใดนัก
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “ไม่เพียงแต่เขาไม่ไหวเท่านั้น ข้าดูแล้วร่างกายของเขาย่ำแย่ยิ่งนัก แต่ข้าก็สงสัยว่าเขาได้รับความโปรดปรานจากเฟยอวิ๋นได้เช่นไร ตามหลักแล้วเขาไม่ไหวเช่นนั้นไม่น่าจะทำให้เฟยอวิ๋นพึงพอใจได้ แต่ข้าคิดว่าในหมู่ผู้คนเหล่านี้มีเขาเพียงคนเดียวที่หยิ่งผยอง เช่นนั้นในวันปกติเฟยอวิ๋นต้องชื่นชอบเขามากที่สุด”
“อวิ๋นอวิ๋นไม่เข้าใจเป็นธรรมดา ยิ่งเป็นคนเช่นนั้นก็ยิ่งสามารถหาวิธีเอาใจให้คนชื่นชอบได้อยู่แล้ว”
“อืม”
ยังพอมีเวลาทั้งสองคนกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบไปร่วมงานเลี้ยง
งานเลี้ยงเพิ่งเริ่มขึ้น แม่ทัพฉี ซูอู๋ซิน เฟิ่งไป่ซูและเอ๋าชิงกำลังรอพวกเขาอยู่
เมื่อเห็นทั้งสองคนซูอู๋ซินจึงได้หยิบตะเกียบและคีบอาหารให้แก่เฟิ่งไป่ซู
“พวกเรามาสายแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นเดินมาก็กล่าวขึ้น
“กลับมาก็ดีแล้ว ยังคุ้นชินอยู่ไหม ขนบธรรมเนียมพื้นบ้านของแคว้นเฟิ่งแตกต่างไปบ้างเล็กน้อย พวกเจ้าจะต้องใช้เวลาสักพักเพื่อคุ้นเคย” ขณะที่ซูอู๋ซินกล่าวก็ให้สัญญาณหนานกงเย่กับฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงข้างๆเขา
วันนี้จัดโต๊ะกลมตัวหนึ่งไว้ ที่นั่งของฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่อยู่ด้านล่างของซูอู๋ซิน ลงไปอีกก็คือเอ๋าชิง ส่วนเฟิ่งไป่ซูนั้นอยู่ถัดจากแม่ทัพฉี ทั้งสองจะได้พูดคุยกันได้ง่ายหน่อย
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงซูอู๋ซินจึงคีบอาหารให้ฉีเฟยอวิ๋น
ระหว่างงานเลี้ยงฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้กล่าวสิ่งใดนักและเอ๋าชิงนั้นไม่ได้พูดมาก ซูอู๋ซินถามฉีเฟยอวิ๋นเป็นครั้งคราวและฉีเฟยอวิ๋นก็ตอบ ในขณะที่เฟิ่งไป่ซูมีเรื่องที่พูดคุยกับแม่ทัพฉีไม่รู้จบ
ทานอาหารเรียบร้อยแล้วก็ไปชมจันทร์ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกง่วงสักเล็กน่อยแล้ว
จึงได้ตามหนานกงเย่กลับไปพักผ่อน
พักผ่อนแล้วตอนเช้าฉีเฟยอวิ๋นก็ลุกขึ้นมาเตรียมพร้อมที่จะไปพบคนป่วยคนอื่น เช่นไรนางก็รับปากเอาไว้แล้ว
ปรากฎว่าออกไปก็เป็นเวลาหนึ่งวัน
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นกลับมาก็มีคนมาหา
ฉีเฟยอวิ๋นจึงเปิดสถานที่ตรวจตรงตำหนักด้านข้างทางโน่นเลย
เป็นเวลาติดต่อกันสองวัน ในวันที่สามพระราชวังเฟิ่งได้จัดงานเลี้ยงเชิญข้าราชบริพารเพื่อเฉลิมฉลองการมาของฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นถูกจัดให้อยู่ด้านข้างของเฟิ่งไป่ซู ซูอู๋ซินั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง หนานกงเย่และแม่ทัพฉีนั่งอยู่ด้านล่างและฝั่งตรงข้ามคือเอ๋าชิงและเจ้าของตำหนักผู้หนึ่งในวัง
บรรเลงดนตรีและเต้นรำอยู่ก็มีคนกล่าวขึ้นด้วยความรอบคอบว่า
“ฝ่าบาท องค์รัชทายาทได้ผ่านพ้นอายุของการแต่งพระสวามีรองแล้ว ตามธรรมเนียมของบรรพบุรุษแห่งแคว้นเฟิ่งของเราถึงเวลาที่จะแต่งงานกับพระสวามีรองอีกสองคนแล้ว”
มือของฉีเฟยอวิ๋นสั่นขึ้นจนเกือบจะเขวี้ยงตะเกียบในมือเสียแล้ว นางเพียงแค่คิดว่าลูกชิ้นนั้นไม่เลว กินมากไปสักสองสามลูกจะเป็นการทำให้ผู้ใดขุ่นเคืองหรือ?
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังหนานกงเย่ซึ่งอยู่ด้านล่าง ไม่ได้นั่งด้วยกันเขาก็อัดอั้นตันใจด้วยความไม่พอใจอยู่แล้ว เช่นนี้ในตอนนี้เกรงว่าเขาจะยิ่งไม่พอใจมากขึ้นเสียแล้ว
จริงตามนั้น ไม่รอให้เฟิงไป่ซูกล่าวสิ่งใดหนานกงเย่ก็วางตะเกียบลง เขาวางลงด้วยความแรงโครมเสียงหนึ่งทำให้ผู้คนรอบข้างมองมายังเขาในทันที
ไม่รอให้เฟิ่งไป่ซูและซูอู๋ซินกล่าวสิ่งใดหนานกงเย่ก็ได้ยืนขึ้นมาแล้วเลิกคิ้วขึ้นมองไปยังฉีเฟยอวิ๋น: “อวิ๋นอวิ๋น ข้าดื่มมากไปคงจะเมาเสียแล้ว กลับกันเถอะ”
“ได้!”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นย่อกายถวายความเคารพต่อเฟิ่งไป่ซูและซูอู๋ซิน กล่าวลาด้วยธรรมเนียมของเมืองต้าเหลียงจากนั้นหันหลังกลับไปหาหนานกงเย่
บอกว่าเมาแล้วแต่ฉีเฟยอวิ๋นเพิ่งผ่านไปก็ถูกหนานกงเย่คว้ามือเอาไว้
หันหลังกลับแล้วหนานกงเย่ก็ย่างก้าวใหญ่ออกไปด้วยใบหน้าอันเย็นชา ขณะที่เดินไปนั้นอีแปะพวงหนึ่งที่เขาถือไม่รู้ว่าถูกสะบัดออกไปเมื่อใดกระแทกเข้ากับศีรษะของผู้ที่กล่าด้วยความรอบคอบขึ้นโดยตรงจนผมของนางเปิดออก ทำให้นางตกใจกลัวแทบยืนไม่อยู่จนเกือบจะล้มลง
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท!”
ทุกคนมองไปยังหนานกงเย่กับฉีเฟยอวิ๋นสองคนและทั้งสองก็ได้ออกไปแล้ว
เฟิ่งไป่ซูจึงได้กล่าวว่า: “เรื่องนี้ไม่รีบร้อน เมืองต้าเหลียงต่างกับแคว้นเฟิ่งของเรา พี่ใหญ่อันเคยบอกข้าว่าหนานกงเย่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งเมืองต้าเหลียง แต่เพื่อองค์รัชทายาทแล้วเขาไม่ยอมแต่งพระชายารอง คิดว่าองค์รัชทายาทก็จะไม่ยอมแต่งพระสวามีรองง่ายดายถึงจะถูก พวกเจ้าก็อย่าได้เป็นกังวลไปราวกับว่าเป็นตัวนางเช่นนั้น
หนานกงเย่เป็นอ๋องเย่แห่งเมืองต้าเหลียงแต่เขามีชื่อเสียงเรียงนามตั้งแต่เยาว์วัย เขานั้นเป็นแม่ทัพผู้กวาดล้างทหารนับพัน
ทางที่ดีพวกเจ้าอย่าได้ทำให้เขาขุ่นเคือง แม้ว่าเมืองต้าเหลียงของพวกเขาจะไม่ร่ำรวยแต่เขาไม่เห็นข้าอยู่ในสายตานับประสาใดกับพวกเจ้า
คิดว่าหากเมื่อครู่เขาสังหารเจ้าไปแล้วและองค์รัชทายาทขอร้องข้าแล้วข้าจะทำเช่นใดได้? มิเป็นการดีที่จะสังหารราชบุตรเขย? จะก่อสงครามระหว่างสองแคว้นขึ้นหรือ? ”
ผู้ที่กล่าวด้วยความรอบคอบตกใจกลัวไม่น้อยจนไม่กล้ากล่าวแม้แต่คำเดียว
จากนั้นเอ๋าชิงก็ลุกขึ้นดื่มคารวะบรรเทาความรู้สึกขัดเขินทำสิ่งใดไม่ถูก เรื่องนี้จึงได้ผ่านพ้นไป