องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 764 ฉินฝูโยวกับกระบี่จูซิน
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 762 ฉินฝูโยวกับกระบี่จูซิน
โลงศพขนาดใหญ่ สามารถนอนลงได้ถึงสองคน
ฉีเฟยอวิ๋นมองพิจารณาอย่างละเอียด กล่าวว่า“ตอนที่ผู้หญิงถูกฝังนั้นคือตาย มือของนางยังถูกกอบกุมไว้ แต่มือของนางค่อนข้างแข็งทื่อ ชัดเจนว่านางตายแล้ว
ผู้ชายแตกต่าง เขาน่าจะเข้ามาทีหลัง ท่านอ๋องดูมือของเขาก็รู้แล้ว เล็บมือของเขายาวมาก น่าจะหลังจากที่ผู้หญิงตายได้แล้วเขายังมีชีวิตอยู่ในนี้สักพักหนึ่งถึงได้เป็นแบบนี้”
ฉีเฟยอวิ๋นตรวจสอบอย่างละเอียด บริเวณรอบโลงศพมีสิ่งของมากมาย คล้ายดั่งเป็นสิ่งของที่ตอนผู้หญิงมีชีวิตอยู่ชื่นชอบ แล้วยังมีหมอนคู่เป็ดแมนดารินด้วย เพราะว่าสถานที่แห่งนี้เก็บดูแลอย่างดีถึงไม่ผุกร่อน
“ท่านอ๋อง ที่นี่คือกระบี่เพคะ”ฉีเฟยอวิ๋นชี้ไม้ชี้มือ ก็คืออยู่ด้านหลังของชายคนนั้น มีกระบี่วางอยู่ เพราะมันบางเลยถูกรั้งไว้
หนานกงเย่โค้งเอวหยิบขึ้นมาดู เป็นกระบี่ที่ดูแล้วธรรมดา แต่พอเขาเคลื่อนไหว กระบี่ได้ปรากฏเสียงของมังกรครางออกมา
ฉีเฟยอวิ๋นตกใจแทบแย่ หนานกงเย่เก็บกระบี่ไว้ข้างเอว ปลอกมันกำลังพอดีเลย
ฉีเฟยอวิ๋นชำเลืองมองอย่างต่อเนื่อง ข้างกายของผู้หญิงยังมีฉินเจ็ดสายอยู่
ฉีเฟยอวิ๋นทอดถอนหายใจออกมา กล่าวว่า“ท่านอ๋อง คือฉินเพคะ”
“อืม”
หนานกงเย่ถือคบเพลิงเดินไป ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มฉินอย่างระมัดระวัง เสียงของฉินไพเราะอย่างมาก
หนานกงเย่ถึงได้กล่าวว่า“เอาไปด้วย”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไป กล่าวว่า“ท่านอ๋องไม่ใช่รู้สึกว่าเอาไปไม่ได้หรือเพคะ?”
“ชอบแน่นอนว่าจะต้องเอาไปด้วย”
พูดจบหนานกงเย่เลยมองไปในโลงศพ กล่าวขึ้นว่า“ขอบพระทัยทั้งสองท่านที่มอบให้”พูดจบหนานกงเย่เลยปิดฝาโลง หมุนตัวหยิบกล่องกระบี่และกล่องฉินวางไว้ในโลงอีกอันหนึ่ง แล้วผลักโลงขึ้น จากนั้นพาฉีเฟยอวิ๋นออกไป
ทั้งสองคนออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ถึงด้านนอก
ซูอู๋ซินเห็นทั้งสองคนออกมา เลยได้ประคองเฟิ่งไป่ซูที่กำลังพักผ่อนอยู่ลุกขึ้น
“ไปกันเถิด”เฟิ่งไป่ซูเหลือบมองเห็นฉีเฟยอวิ๋นอุ้มฉินเจ็ดสาย เลยออกมาก่อนก้าวหนึ่ง
ทั้งสี่คนปิดประตูสุสานเดินออกมา แล้วกลับพร้อมกัน
ฉีเฟยอวิ๋นเดินมาถึงทางด้านป่าไม้ รอว่าซูอู๋ซินจะไปอย่างไร ไม่รู้ว่าซูอู๋ซินท่องบ่นพึมพำอะไร พวกงูมันเลยถอยไปอีกด้าน พวกเธอเลยเดินออกจากตรงนั้น
พอมาถึงบริเวณแม่น้ำ ซูอู๋ซินยังคงท่องอะไรเหมือนเดิม หลังจากนั้นได้อุ้มเฟิ่งไป่ซูขึ้นแล้วหันข้ามฝั่งแม่น้ำผ่านบนผืนน้ำไปอย่างรวดเร็ว
ตามด้วยหนานกงเย่อุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นไป ทั้งสองใกล้กันมาก ปลาที่อยู่ด้านหลังมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาพวกเขาก็ถึงทางด้านป่าไม้แล้ว
ซูอู๋ซินรีบเดินทางต่ออย่างรวดเร็ว หนานกงเย่คล้ายดั่งตามไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว
ทั้งสองมาถึงสถานพยาบาล ฟ้าก็สางแล้ว
ซูอู๋ซินกวาดมองบนร่างกาย มองหนานกงเย่แล้วกล่าวขึ้นว่า“กระบี่จูซินอ่อนมาก แต่ทว่าความอันตรายของเขากลับไร้จิตวิญญาณความรู้สึก ดาบเล่มนี้ของข้าคือดาบไร้ใจของแท้ เดิมเป็นคู่กันกับกระบี่จูซิน
ข้าเคยคิดจะเอากระบี่จูซินออกมา แต่เอาออกมาไม่ได้ พอข้าเคลื่อนไหวก็กวัดแกว่ง ถึงได้เก็บไว้อย่างนั้นไม่ได้เคลื่อนไหว ดูแล้วพวกเจ้ามีลิขิตต่อกัน นี่ก็เป็นของพวกเจ้าแล้วล่ะ
พลานุภาพของฉินอันนี้ก็ไม่ธรรมดา มันชื่อฉินฝูโยว
อีกชื่อหนึ่งของจักรพรรดิณีจ่งหลีชื่อว่าฝูโยว ตามตำนานเล่าว่าครั้งหนึ่งนางตกหน้าผา มีหมู่บ้านที่ซื่อสัตย์เล็กๆ อยู่ใต้หน้าผา มีครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้าน ครอบครัวนี้มีนายน้อยชื่อเฟิ่งไจ้เทียน
ทั้งสองได้พบกัน คนรู้ว่าจ่งหลีคือใคร เลยเรียกนางว่าฝูโยว
ต่อมาทั้งสองอยู่ด้วยกันคบหานาน เกิดมีความรู้สึกดีๆต่อกัน เลยกลายเป็นสามีภรรยากัน
ค่ำคืนของการเป็นสามีภรรยาฝูโยวเล่าประสบการณ์ชีวิตที่ได้ประสบมา ทั้งสองคนออกจากหมู่บ้าน และได้ไปหาศัตรูเพื่อแก้แค้น และช่วงเวลานี้ทั้งสองได้พบว่ามีความแตกต่างทางความคิด ทำให้ฝูโยวเกือบจะแต่งงาน เพื่อที่จะจดจำความผิดนี้ เฟิ่งไจ้เทียนได้สั่งคนสร้างฉินฝูโยวขึ้นมา และได้สร้างเพลงแนวคิดสำหรับปลุกอาณาประชาราษฎร์ที่ทำความผิด แต่บทเพลงได้หายไปแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นมองฉินฝูโยวที่อยู่ในอ้อมกอด เธอชอบมาก
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่มอบให้เพคะ”
“ขอบพระทัยเสด็จแม่เจ้าเถิด เป็นนางที่ตัดสินใจมอบแก่พวกเจ้า ดาบเล่มนี้เอาให้เจ้าด้วย”
ซูอู๋ซินเตรียมดาบไร้ใจในเมื่อเพื่อมอบแก่ฉีเฟยอวิ๋น กลับถูกฉีเฟยอวิ๋นปฏิเสธ
“สิ่งนี้หม่อมฉันไม่เอาหรอกเพคะ หม่อมฉันชอบฉินฝูโยว ดาบไร้ใจท่านพ่อเก็บไว้ใช้เถิด เอาไว้ที่หม่อมฉันก็ไม่เกิดประโยชน์”
ซูอู๋ซินเก็บดาบไว้ กล่าวขึ้นว่า“ในเมื่อเจ้าไม่เอา เช่นนั้นเอาไว้ที่นี่ก่อน รอเมื่อไหร่ที่เจ้าต้องการแล้วค่อยมาเอา”
ซูอู๋ซินพาเฟิ่งไป่ซูไปพักผ่อน ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มฉินกลับห้อง ครั้งนี้เหนื่อยมากทั้งสองเลยนอน
ฉีเฟยอวิ๋นตื่นมาหนานกงเย่ก็ไม่อยู่แล้ว พอออกมาดู เห็นหนานกงเย่กำลังยืนอยู่ในเรือน
“จักรพรรดิณีไปแล้ว?”
ฉีเฟยอวิ๋นยังไม่คุ้นชินกับการมีพ่อแม่เป็นจักรพรรดิณี มีบางช่วงเวลาที่ยังแก้ไขการเรียกไม่ได้
หนานกงเย่หมุนตัวมา กล่าวว่า“น่าจะไปตั้งแต่เช้าวันนี้แล้ว ข้านอนอยู่”
“วันนี้คนเยอะหรือไม่เพคะ?”
“เยอะ กำลังดู”
“เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปดู ดูเสร็จแล้วค่อยกลับมากินข้าว”
ฉีเฟยอวิ๋นออกไปดู คนไม่น้อยเลยจริงๆ
ฉีเฟยอวิ๋นยุ่งทั้งวัน ตอนเย็นกลับเรือนถึงได้เริ่มฝึกซ้อมฉินฝูโยว หนานกงเย่ก็ฝึกกระบี่ในเรือนเช่นกัน
มีบางคนที่นอนไม่หลับได้ออกมา ฉีเฟยอวิ๋นเลยเก็บไว้ไม่ได้เล่นอีก
ฉินฝูโยวคล้ายดั่งนุ่นที่นุ่มนวล แต่มีพลังไม่รู้จบ เมื่อเธอเล่นด้วยนิ้วของเธอ เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างที่เธอไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นทุกครั้งที่เธอต้องการออกแรงเธอก็หยุดเก็บมันแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นเลยจะหาโอกาส ทดลองมันดู
ค่ำคืนนี้นานมากกว่าที่ทั้งสองคนจะนอน ฉีเฟยอวิ๋นถามเกี่ยวกับเรื่องของแม่ทัพฉี ยังไม่ถึงสถานที่ตำแหน่งเลย ระหว่างการเดินทางได้เจอคนสกัดไว้ ไม่อยากให้แม่ทัพฉีกลับไป แต่ล้วนได้ตายคามือของคนชุดเกราะไปเสียแล้ว
“ท่านอ๋อง ว่าตามหลักเหตุผลข้ากับท่านอ๋อง เวลานี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จงชินอ๋องจะลงมือ เหตุใดถึงไม่ปรากฏตัวเลยเพคะ?”
“เขากล้าปรากฎตัวหรือ?จักรพรรดิณีแคว้นเฟิ่งเขาก็เคยติดต่อ น่าเสียดายถูกปฏิเสธ จักรพรรดิณีไม่ใช่คนที่จะกลั่นแกล้งได้อย่างง่ายดาย เขาเป็นคนเช่นนั้น จักรพรรดิณีไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาหรอก ยังห้ามเขาไม่ให้เข้ามาในแคว้นเฟิ่งแม้แต่ครึ่งก้าวด้วย หากว่าเขามาก็อย่าให้เขามาแล้วกลับไปได้อีกเชียวล่ะ”
“ท่านอ๋องรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรเพคะ?”
“ข้ารู้หมดแหละ”
“ชิ!”
หนานกงเย้ทำหน้าเศร้าสลดมองฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นถอดชุดออกแล้วลุกขึ้น….
ฉีเฟยอวิ๋นทำตามพร้อมใจและกล่าวถามว่า“อย่างนี้จงชินอ๋องไม่กล้ามาแคว้นเฟิ่ง เพราะว่ากลัวจักรพรรดิณี วันนี้ท่านพ่อไปเร็ว เพิ่งจะออกจากแคว้งเฟิ่งเขาก็ทนไม่ไหวลงมือแล้ว?”
“อือ”
“เช่นนั้นพวกเราก็รับสั่งให้เขาออกจากเมืองต้าเหลียงไป หากเขาเข้ามาในต้าเหลียงก็ทำให้เขาออกไปไม่ได้สิเพคะ”
“เขาตายอยู่ที่ต้าเหลียงนานแล้ว”
“……….”
ดึกมากทั้งสองคนถึงได้นอน ตอนเช้าตื่นขึ้นมายังต้องตรวจโรค ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ที่สถานพยาบาลคนเดียว หนานกงเย่ออกไปทำธุระด้านนอก
วันนี้ซูอู๋ซิได้นำเอาเขาไป ตอนที่ไปเขามีความอืดอาดยืดยาดสักครู่หนึ่ง
เข้าพระราชวังเดิมช่วงเช้าควรที่จะกลับมา ผลสรุปรอทั้งเช้าก็ไม่กลับมา ฉีเฟยอวิ๋นเลยออกไปดูหนานกงเย่ด้านนอก
ไม่เห็นคนกลับมาเลย
หนานกงเย่ก็คิดไม่ถึงว่าซูอู๋ซินจะให้เขามาเข้าเฝ้าเพื่อจัดการเรื่องนี้ สองในสามคนของคนบนราชสำนักเป็นผู้หญิง อีกทั้งกำลังจ้องมองเขาอยู่
เอ๋าชิงอยู่ข้างกายเขา ทั้งสองคนล้วนเป็นจุดเด่น
เอ๋าชิงเป็นคนของจักรพรรดิณี คนเลยจ้องมองไม่มาก แต่เขาแตกต่างออกไป คนจ้องมองเขาค่อนข้างมาก
หลายคนล้วนคิดว่าเพียงแค่องค์รัชทายาทเบื่อหน่ายแล้ว หรือว่าเอารางวัลเขาลงแล้ว
“กราบทูลฝ่าบาท ตี้จวิน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ร้านตีเหล็กแห่งหนึ่งในเมือง ช่างตีเหล็กในเรือนหลังนี้เสียชีวิต และสามีของนางบอกไม่ทราบเรื่องนี้ แต่ตรวจสอบแล้ว บุคคลนั้นถูกวางยาพิษและกินสารหนูขาว
น้องสาวของช่างตีเหล็กบอกว่าสามีของช่างตีเหล็กได้ทำอันตรายร่วมกับคนอื่น ๆทำร้ายคน แต่ช่างตีเหล็กไม่ยอมรับ ตอนนี้เรื่องนี้ได้รับการตรวจสอบเป็นเวลาหนึ่งเดือนและหลายคนกำลังพูดถึงเรื่องนี้ซึ่งมีผลกระทบอย่างมาก ”
ข้าหลวงประจำเมืองคือขุนนางหญิง นางอายุสิบแปดปี แต่กลับไปคนที่มีความสามารถในการทำงาน แล้วเรื่องนี้ไม่สามารถตรวจสอบได้เลยว่าเป็นใครที่เป็นนักสังหาร หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะต้องปลุกเร้าความคับแค้นใจของอาณาประชาราษฎร์แน่แล้ว นี่ถึงได้มาบนราชสำนัก