องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 766 เสนาบดีเหวยร้องเรียน
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 764 เสนาบดีเหวยร้องเรียน
ทันใดนั้นหนานกงเย่รู้สึกอับอายมาก แม้แต่สตรีคนเดียวก็ไม่สามารถเอาชนะได้
ซูอู๋ซินเหลือบมองและกล่าวว่า:“ราชบุตรเขย คดีนี้มอบหมายให้เจ้าจัดการ เในเมื่อเสนาบดีเหวยและคนอื่น ๆ คิดว่าบุรุษไร้ประโยชน์ เช่นนั้นเจ้าก็แสดงให้พวกนางเห็นได้เห็นว่าเจ้ามีประโยชน์หรือไม่”
หนานกงเย่ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด:“เหตุใดข้าต้องแสดงให้พวกนางเห็น?ประการแรกคือข้าไม่ใช่ขุนนางที่นี่ แม้ว่าจะเป็นราชบุตรเขย เขาก็ไม่ใช่ธุระอะไร เพียงแค่มาสู่ขอองค์รัชทายาทเท่านั้น ส่วนเรื่องจัดการคดี……คดีนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ยิ่งไปกว่านั้นพวกนางเคร่งกฎระเบียบ ข้าดูถูกเหยียดหยาม”
“ในเมื่อราชบุตรเขยต้องการจะสู่ขอองค์รัชทายาท เช่นนั้นก็ครึ่งหนึ่งก็เป็นคนแคว้นเฟิ่งแล้ว คดีนี้ใช้เวลามากเกินไป และเนื่องจากผู้ดูแลคดีในเมืองหลวงล้วนเป็นขุนนางสตรี แน่นอนว่าคดีนี้พิจารณาในด้านของภรรยา
ข้าเห็นว่าคดีนี้ใช้วิธีการทรมานมาแล้วสามครั้งแล้ว แม้ว่าจะไม่เคยพบสามีของช่างตีเหล็กมาก่อน แต่ตอนนี้เขาตายแล้วและถูกเลาะผิวหนัง
เจ้าก็ถือเสียว่าทำให้องค์รัชทายาทสบายใจ มิเช่นนั้นข้าจะหาทางไปตามหานาง และให้นางมารับช่วงต่อในคดีนี้”
ความหมายก็คือหากเจ้าไม่ไป องค์รัชทายาทก็ต้องไป
ทุกคนมองไปที่หนานกงเย่ อย่างที่ทราบกันดีว่าในตอนนี้องค์รัชทายาทกำลังยุ่งอยู่กับการเปิดสถานพยาบาลเพื่อรักษาโรคและช่วยชีวิตผู้คนในเมืองหลวง ว่ากันว่าฝีมือทางการแพทย์ขององค์รัชทายาทนั้นสามารถรักษาผู้ที่ใกล้ตายให้มีรอดชีวิตได้
หนานกงเย่ส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา และหันหลังเดินจากไป
“เอ๋าชิง เจ้าไปดูเขาหน่อย เกรงว่าเขาจะไม่ไป หากเขาไม่ไป เจ้าก็ไปเชิญองค์รัชทายาท” ซูอู๋ซินสั่ง และเอ๋าชิงก็ปฏิบัติตาม
ทุกคนไม่อยากจะเชื่อเลย หรือว่าอ๋องเย่แห่งแคว้นต้าเหลียงจะเกรงกลัวองค์รัชทายาท?
จากนั้นเฟิ่งไป่ซูก็ลุกขึ้นและเลิกประชุม ทั้งสองสามีภรรยาก็ไปพร้อมกัน
หลังจากที่หนานกงเย่ออกมาแล้ว เขาก็ตรงไปยังที่เกิดเหตุ เอ๋าชิงตามเขาไปพร้อมกับเสนาบดีเหวยและข้าหลวงประจำเมืองที่ยังอายุน้อย
เสนาบดีเหวยไม่พอใจ บุรุษไม่ได้สูงส่งเท่ากับสตรี และความฉลาดก็เช่นกัน
ข้าหลวงประจำเมืองเป็นผู้รับผิดชอบ
ระหว่างทางเอ๋าชิงนำสำนวนคดีมาให้หนานกงเย่ดู แต่ หนานกงเย่ไม่ดู
ไม่นานก็มาถึงสถานที่นั้น หนานกงเย่ตรวจสอบที่เกิดเหตุและสอบปากคำสามีของช่างตีเหล็ก
สามีของช่างตีเหล็กชื่อจูหน่ายซาน เขาเป็นคนซื่อสัตย์ รูปร่างสูงใหญ่ดูแข็งแรงบึกบึน มีเคราบนใบหน้า และแตกต่างจากคนอื่น ๆ ในแคว้นเฟิ่ง
จูหน่ายซานมีรอยแผลเป็นทั่วร่างกาย เขาเดินขาเป๋ ถูกใส่กุญแจมือและเท้า
เขาคุกเข่าลงและไม่พูดอะไร หัวใจของเขาเป็นเหมือนขี้เถ้า
หนานกงเย่ถามเขาว่า:“เจ้าคือจูหน่ายซาน?”
“ข้าเอง”
“เหตุใดเจ้าถึงฆ่าภรรยาของเจ้า?” หนานกงเย่ถาม และคนอื่น ๆ ก็นั่งลงข้าง ๆ จูหน่ายซานส่ายหัวและพยักหน้า และนานกว่าจะพูดว่าเขาไม่รู้
หนานกงเย่ถามว่า:“ใครบอกเจ้า?”
“น้องสาวภรรยา”
“ไปพาตัวมา”
ไม่นานน้องสาวของช่างตีเหล็กก็มาถึง เมื่อเห็นจูหน่ายซานคุกเข่าอยู่บนพื้น นางก็เข้าไปทุบตี หนานกงเย่ให้คนพาเสียงอวิ๋นน้องสาวของช่างตีเหล็กไปโบยสิบไม้
เมื่อเสนาบดีเหวยเห็นเช่นนั้นก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า:“ท่าราชบุตรเขย ท่านโบยคนที่ร้องเรียนเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“คดียังไม่สอบสวนอย่างชัดเจน จูหน่ายซานก็ถูกลงทัณฑ์แล้ว หากย้อนกลับไปนางคือผู้ที่ถูกเรียกตัวมา พอขึ้นมาแล้วนางก็จะทุบตีคน ยังเห็นราชบุตรเขยอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่?”
เสนาบดีเหวยนั่งลง ใบหน้าของนางซีดด้วยความโกรธ นางอายุสามสิบกว่า และโกรธจนตัวสั่น
หลังจากโบยเสียงอวิ๋นแล้ว หนานกงเย่ก็ถามว่า:“เพื่อนบ้านที่ลอบมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับพี่สาวของเจ้าอยู่ที่ไหน?เจ้ากับเขาลอบมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกันมานานแค่ไหนแล้ว?”
เสียงอวิ๋นปฏิเสธ:“ข้าไม่รู้”
“ข้าโบยเจ้าแล้ว เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ ใครก็ได้เอานางไปโบยเดี๋ยวนี้ โบยจนกว่านางจะรู้ อีกอย่าง……ข้าหลวงประจำเมือง เจ้าไปตามหาผู้ที่ลอบมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับช่างตีเหล็กมา หากนางยอมพูดก่อนก็หมายความว่าข้าหลวงประจำเมืองไร้ความสามารถ ควรถูกลงโทษโบยห้าสิบไม้ แต่หากข้าหลวงประจำเมืองพาคนมาก่อน เช่นนั้นนางก็จะรับโทษโบยห้าสิบแทน”
ข้าหลวงประจำเมืองสีหน้าเปลี่ยน:“ท่านราชบุตรเขย นี่เป็นการทรมานให้รับสารภาพหรือว่าเป็นจัดการคดีกันแน่?”
“ข้าหลวงประจำเมือง เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าก่อนหน้านี้เจ้าเคยลงทัณฑ์จูหน่ายซาน?”
สีหน้าของข้าหลวงประจำเมืองยิ่งแย่ลงไปอีก และทำได้เพียงหันหลังกลับไปตามหาผู้ที่ลอบมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับช่างตีเหล็ก
เสียงอวิ๋นยังไม่ยอมพูด หนานกงเย่สั่งให้คนโบยให้ตาย และไม่กล้าที่จะไม่เชื่อฟัง
โบยจนกระทั่งในที่สุดเสียงอวิ๋นก็กลัว นางจึงบอกว่าผู้ที่ลอบมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับช่างตีเหล็กอยู่ในบ้านของนาง และยังบอกอีกว่าพวกเขาฆ่าพี่สาวของนาง โดยบอกว่าเป็นความต้องการของคนผู้นั้น
เสนาบดีเหวยลุกขึ้นยืนและโกรธจนตัวสั่น
“ในเมื่อเจ้ารับสารภาพแล้ว ยังต้องถามให้ชัดเจนว่าใครเป็นผู้บงการ”
หลังจากนั้นผู้ที่ลอบมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับช่างตีเหล็กก็มา และถูกโบยอย่างโหดเหี้ยม โบยจนกระทั่งคนผู้นั้นร้องตะโกนอยู่บนพื้นว่าเป็นเสียงอวิ๋นที่ล่อลวงเขา และต้องการจะฆ่าช่างตีเหล็ก พวกเขาถูกจับได้ว่าเป็นลอบมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว ช่างตีเหล็กโกรธมากและต้องการจะฆ่าพวกเขา แต่กลับถูกเสียงอวิ๋นฆ่าเสียก่อน
คนผู้นั้นบอกว่าเขาไม่ได้ลงมือ เป็นเสียงอวิ๋นที่ทำคนเดียว และหลังจากนั้นเขาก็ช่วยวางแผนให้ร้ายช่างตีเหล็ก
“พวกเจ้าสองคนทำเรื่องไร้ศีลธรรมและฆ่าผู้อื่น มีโทษมหันต์ แคว้นเฟิ่งเป็นสถานที่ที่สวยงาม และสถานที่แห่งนี้ก็ถูกพวกเจ้าทำลาย พวกเจ้าควรถูกพิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิตและสับเป็นชิ้น ๆ”
หนานกงเย่ลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู
เอ๋าชิงลุกขึ้นและเดินออกไป:“ท่านราชบุตรเขยทรงรีบร้อนเกินไปหรือไม่?”
หนานกงเย่ประหลาดใจ:“ต้องการให้ข้าจัดการคดี แล้วบอกว่าข้ารีบร้อน ข้าควรทำอย่างไร?”
เอ๋าชิงพูดไม่ออกและไม่พูดอะไรอีก หนานกงเย่มองดูทั้งสองคนถูกตัดหัวและกล่าวว่า:“ศพของพวกเขาทั้งสองเปลือยเปล่า ร้อยกระดูกสะบักด้วยโซ่ เอาหัวพันกับแหจับปลา และแขวนไว้บนกำแพงเมืองเพื่อให้ผู้คนเห็นเป็นตัวอย่าง
อีกอย่างช่างตีเหล็กก็ไม่ซื่อสัตย์ ทรยศหักหลังสามี และยังจะเหยียดหยามสามีด้วย ตายไปก็ไม่สาสมกับความผิดที่กระทำ ขุดศพของนางออกจากหลุมฝังศพ ร้อยกระดูกสะบักด้วยโซ่เช่นเดียวกัน แล้วนำไปแขวนไว้ที่กำแพงเมือง
ทั้งสามคนจะต้องตากแดดจนแห้งแล้วจึงปล่อยลงมา”
สีหน้าของเสนาบดีเหวยซีดลงด้วยความโกรธ ข้าหลวงประจำเมืองไม่กล้ามองไปที่เอ๋าชิง:“เสนาบดีเอ๋าคิดเห็นอย่างไร?”
“ในเมื่อตี้จวินทรงทรงมอบหมายเรื่องนี้แล้ว ก็ให้ทำตามที่ท่านราชบุตรเขยกล่าว”
“ขอรับ”
ต่อมาในช่วงพลบค่ำ ฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นผู้คนมากมายบนถนนวิ่งที่ไปดูความครึกครื้นที่ประตูเมือง
เมื่อเรื่องต่าง ๆ ของฉีเฟยอวิ๋นเสร็จสิ้นแล้ว นางก็ไปดูด้วยเช่นกัน
หลังจากที่ไปถึงประตูเมืองแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นชัดเจนว่ามีศพสองศพที่แขวนอยู่บนประตูเมืองและศพก็เน่าเปื่อยแล้ว
เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็พะอืดพะอม นางจึงหันหลังกลับไป
เมื่อมาถึงหน้าประตูสถานพยาบาล นางก็เห็นหนานกงเย่มองไปรอบ ๆ ในสถานพยาบาล ฉีเฟยอวิ๋นจึงเดินไปหา:ท่านอ๋องกำลังมองมาที่หม่อมฉัน?”
“ไม่ได้หรือ?” หนานกงเย่จับมือของฉีเฟยอวิ๋นไว้และเดินเข้าไป
“เรื่องที่ประตูเมืองเป็นฝีมือของท่านอ๋องใช่หรือไม่เพคะ?”
“อืม”
ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ:“ท่านอ๋องทรงทำเช่นนี้ หวังว่าคนของแคว้นเฟิ่งจะเป็นเช่นนี้หรือเพคะ?”
“ไม่ใช่เช่นนั้น ราชวงศ์ในอดีตของแคว้นเฟิ่งก็เป็นเช่นนี้ ข้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่จากวันนี้เป็นต้นไปจะไม่มีใครมาหาเรื่องข้าอีก”
“อันที่จริงแล้ว ท่านอ๋องกำลังฆ่าคนเพื่อเป็นตัวอย่าง”
ตำหนักเฟิ่งซีของแคว้นเฟิ่ง
เฟิ่งไป่ซูนั่งอยู่ในห้องบรรทมอย่างเหม่อลอย ในขณะที่เสนาบดีเหวยฟ้องร้องอยู่ด้านล่าง โดยมีซูอู๋ซินกำลังนั่งดื่มชาอยู่ด้านข้างและเอ๋าชิงก็ยืนอยู่ข้าง ๆ
“ฝ่าบาท ข้าเป็นสตรีของแคว้นเฟิ่ง จะถูกปฏิบัติเช่นนี้ได้อย่างไร พระองค์ชอบชื่นชมดอกไม้ข้างนอกก็เพราะมีเหตุผลจำเป็น คิดว่าสตรีอ้างว้างหรือ ถึงได้ทำเช่นนี้”
“เสนาบดีเหวย วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว เรื่องนี้เจ้าคุยกับตี้จวินเถอะ”
เฟิ่งไป่ซูไม่สนใจและลุกขึ้นไปพักผ่อน จากนั้นเอ๋าชิงก็เดินตามออกไป
เมื่อกลับมาถึงห้องบรรทม เอ๋าชิงก็บอกเรื่องทั้งหมดกับเฟิ่งไป่ซู
และในขณะที่ด้านหน้า เสนาบดีเหวยกำลังร้องเรียนกับซูอู๋ซินอยู่