องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 769 มาถึงวังหลวงของปีกใต้
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 769 มาถึงวังหลวงของปีกใต้
ไม่นานทั้งสองฝ่ายก็เริ่มต่อสู้กัน ครั้งนี้ซูอู๋ซินอยู่ข้างหลัง ฉีเฟยอวิ๋นและเฟิ่งไป่ซูดูการต่อสู้ หนานกงเย่เพียงคนเดียวก็สามารถสังหารผู้บุกรุกได้ทั้งหมด ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกตกใจอย่างมาก
เธอเกือบเป็นลมหมดสติไป แต่ก็ดูออกว่า ซูอู๋ซินเป็นคนที่ไม่มีน้ำใจและรู้จักหลบเอาตัวรอดเพียงคนเดียว
คนเป็นจำนวนมากเช่นนี้ หนานกงเย่เป็นผู้สังหารทั้งหมด จะเป็นหรือตายไม่รู้ เขาในฐานะที่เป็นพ่อตา แต่กลับยืนหลบอยู่อีกฝั่ง โดยไม่มีความรู้สึกอยากช่วยเหลือเลยสักนิด คนประเภทนี้……ไม่รู้ว่าควรพูดถึงเขาอย่างไรดี
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกดูถูกซูอู๋ซินลึกๆ ในใจ
แต่ซูอู๋ซินกลับหัวเราะและพูดขึ้นมาว่า “ชายที่สามารถเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งได้นั้นทรงพลังมาก แต่ก็ไม่เสมอไปว่าเขาจะให้อเจ้าได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะชีวิต หาก……เขาทำได้ เช่นนั้นก็เป็นที่น่ายินดี!”
“นี่มันเวลาไหนแล้ว ยังมีหน้ามาพูดเรื่องเช่นนี้อีก?” ฉีเฟยอวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง หากหนานกงเย่เป็นอะไรไปเพราะปกป้องพวกเขา เธอจะไม่มีวันให้อภัยซูอู๋ซินได้เลย
หนานกงเย่หยุดลง ดาบในมือเกิดเสียงดังขึ้น และร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยเลือด
ฉีเฟยอวิ๋นรีบเดินเข้าไปจับเขาและตรวจสอบอาการให้เขา เมื่อมั่นใจว่าไม่เป็นอะไรเธอจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียหน่อย ตอนที่เดินมาออกมามองเห็นแอ่งน้ำแห่งหนึ่ง ท่านไปล้างเสียหน่อยเถอะเพคะ” หากต้องออกเดินทางเช่นนี้ ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกเป็นกังวล
จากนั้นทั้งหมดก็เดินทางไปที่แอ่งน้ำ โชคดีที่แอ่งน้ำนั้นน้ำใสสะอาด ฉีเฟยอวิ๋นตรวจสอบแล้วว่าในน้ำไม่มีอะไร จากนั้นจึงให้หนานกงเย่ลงไปชำระล้างร่างกาย เฟิ่งไป่ซูและซูอู๋ซินรอพวกเขาอยู่ไม่ไกลนัก
หนานกงเย่ล้างร่างกายเสร็จก็ออกมา ฉีเฟยอวิ๋นใส่เสื้อผ้าให้กับเขา จากนั้นทั้งสี่จึงออกเดินทางต่อ
หลังจากนั้นในแต่ละวันก็มักพบผู้ขัดขวางเพื่อจะจู่โจมระหว่างทาง แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผลสำเร็จ
ข้างหน้าก็จะถึงเมืองหลวงของปีกใต้แล้ว ยังไม่ทันที่จะเข้าไปก็ถูกสกัดกั้นอีกครั้ง
ครั้งนี้มาเพียงแค่สองคน อีกทั้งหน้าตาก็แปลกประหลาด รูปร่างเตี้ยหน้าตาอัปลักษณ์ ทุกคนต่างถือตะกร้าสานไม้ไผ่ ดูเหมือนกับเป็นคนตกปลา แต่เมื่อสังเกตอย่างละเอียดกลับไม่ใช่
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลกใจ “พวกเขาคือคนตกปลาหรือ?”
“น่าจะไม่ใช่”
หนานกงเย่ก็ดูคนทั้งสองคนนี้ไม่ออก ฉะนั้นจึงไม่พูดอะไร
ซูอู๋ซินกลับพูดว่า “ปีกใต้มีผู้อาวุโสหนอนพิษกู่สองคน พวกเขาเป็นพี่น้องที่เกิดมาพร้อมกันและสามารถสื่อสารกับหนอนพิษกู่ได้ตั้งแต่ตอนอายุหนึ่งขวบ เมื่ออายุสิบกว่าปีก็สามารถควบคุมและใช้หนอนพิษกู่ในการทำร้ายคนอื่นได้ ห้ามจับตะกร้าสานไม้ไผ่ในมือของพวกเขา หากไปโดนก็จะถูกหนอนพิษกู่เข้ามาในร่างกาย เจ้าลองดูสิ หากไม่ได้ค่อยลงไป”
ซูอู๋ซินพูดขึ้นมาเหมือนเป็นเรื่องง่ายราวกับการรับประทานอาหาร หนานกงเย่เหลือบไปมองเขา “ข้าไม่เข้าใจ ท่านลองด้วยตัวเองจะดีกว่า”
เฟิ่งไป่ซูหัวเราะขึ้นมา “เขาพูดเจ้าก็เชื่อหรือ จำไว้ หากพบหนอนพิษกู่เข้าห้ามลงมือทำอะไรทั้งนั้น จะมีคนคอยลงมือแทนเจ้า”
หนานกงเย่ครุ่นคิด ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกหน้าอกสั่นไหว จากนั้นเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินก็ออกมา
ไม่เจอกันหลายวัน เสี่ยวจินโตขึ้นมากและมีความเงาแววขึ้น แต่เสี่ยวเฮยก็ไม่เล็กเลย แถมยังตัวใหญ่กว่าเสี่ยวจินเล็กน้อย
หนอนพิษกู่ทั้งสองตัวเกาะอยู่ที่กระเป๋าและมองไปข้างนอก มีถั่วสีทองกลิ้งออกมาจากถุงอย่างช้าๆ ดูเหมือนถั่วจะอยากออกมาโดนแสงแดดและเกาะติดอยู่ที่ถุงหอมคล้องเอวเช่นนั้นอย่างเกียจคร้าน
เสี่ยวจินส่งเสียงร้องออกมาสองครั้ง จากนั้นจึงบินออกไป ส่วนเสี่ยวเฮยกลับดูการต่อสู้
ทันทีที่ชายชราเห็นชื่อจินจื่อพญาแมลงเข้าดวงตาของพวกเขาก็ลุกวาว หนึ่งในนั้นพูดเสียงดังว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีสิ่งที่น่าสนุกเช่นนี้ ในที่สุดก็ไม่ได้เปล่าประโยชน์เลยที่มาที่นี่!”
เสี่ยวจินบินเข้าไปในตะกร้าสานไม้ไผ่ หนึ่งในชายชราเปิดตะกร้าออกเพื่อให้เสี่ยวจินเข้าไปข้างในได้ เมื่อเสี่ยวจินโมโห จึงบินเข้าไปทางดวงตาของเขา ชายชรารู้สึกกลัวและหลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงรีบเรียกพญาแมลงชื่อจินจื่อทั้งสองตัวออกมาจากในตะกร้า แต่พญาแมลงชื่อจินจื่อแบ่งออกได้หลายชนิด เสี่ยวจินเป็นพญาแมลงชือจินจื่อสายพันธุ์ที่ดีที่สุด ดูได้จากสีและศีรษะก็รู้ได้ ถึงแม้ว่าสองตัวนั้นจะมีอายุมากแล้วและศีรษะก็ใหญ่เช่นกัน แต่สีกลับไม่สวยงาม
เมื่อเสี่ยวจินเห็นเหยื่อก็พุ่งเข้าไปทันที นางไม่กินสายพันธุ์เดียวกัน แต่นางกินสายพันธุ์เดียวกันที่เปลี่ยนเป็นหนอนพิษกู่
พูดให้ละเอียดคือ สำหรับเสี่ยวจินแล้วนั้น นอกจากราชาหนอนพิษกู่ นางไม่กลัวหนอนพิษกู่ตัวอื่นเลย เพียงแต่บางครั้งนางไม่มีแรงมากพอที่จะต่อสู้กับตัวอื่นได้
สองตัวนี้เข้ามาจู่โจมพร้อมกันเสี่ยวจินก็ไม่กลัว หากนางโมโหขึ้นมาจะยิ่งเก่งกาจโหดร้ายอย่างมาก ไม่นานเสี่ยวจินก็กินหนึ่งในชื่อจินจื่อนั้นเข้าไป
เมื่อชายชราเห็นเข้าก็รู้สึกเสียเปรียบ จากนั้นจึงให้พี่ใหญ่ที่ยืนข้างๆ เขาปล่อยหนอนพิษกู่ที่เก่งกาจยิ่งกว่าออกมา หนอนพิษกู่ตัวนั้นถึงแม้จะไม่ใช่ราชาหนอนพิษกู่ แต่ก็นับว่าต่อสู้ได้อย่างเก่งกาจมาก เมื่อปรากฏตัวออกมา เสี่ยวเฮยจึงจู่โจมพุ่งเข้าไป เมื่อเห็นว่ามันจะจู่โจมเสี่ยวจิน เสี่ยวเฮยจึงกัดแน่น และกัดจนหัวขาด
ชายชรารู้สึกโกรธ จากนั้นจึงปล่อยหนอนพิษกู่ที่เก่งกาจออกมาอีกสองตัว และเสี่ยวเฮยก็กัดจนหัวขาดทั้งหมด
เมื่อชายชราเห็นเข้าก็รู้สึกโมโหและดวงตาของเขาก็ลุกวาวราวกับเปลวไฟ จากนั้นจึงเขย่าตะกร้าในมือของเขา เพื่อต้องการให้ตัวอื่นๆ ออกมาต่อสู้ด้วยเช่นกัน และตอนนี้เสี่ยวจินก็กำลังกัดกินชื่อจินจื่ออีกตัวหนึ่ง
และกินจนอิ่ม
เสี่ยวเฮยปกป้องเสี่ยวจินไว้ เมื่อกัดขาไว้ได้จึงกลับเข้าไปในถุงหอมคล้องเอว เสี่ยวจินเข้าไปข้างใน จากนั้นเสี่ยวจินก็ส่งเสียงร้องเรียก หลังจากนั้นบริเวณรอบๆ ก็สั่นไหว
สองชายชรารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติและพวกเขาก็ถอยกลับ
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลกใจ “เสี่ยวเฮยรู้สึกโกรธหรือ?”
ระหว่างที่พูดนั้น สิ่งรอบๆ ตัวก็ลอยขึ้นและหลังจากนั้นก็เห็นเพียงเม็ดถั่วสีดำพุ่งเข้ามาสู่ชายชราทั้งสองคน จากนั้นชายชราทั้งสองก็กลายเป็นรูพรุนโดยตัวต่อและล้มลงกับพื้นโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว
ฉีเฟยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ มันน่ากลัวมาก
ซูอู๋ซินกล่าวว่า “ไปกันเถอะ”
เมื่อขึ้นหลังม้า ซูอู๋ซินจึงพาเฟิ่งไป่ซูออกเดินทางไปก่อน จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงรีบกระโดดขึ้นม้าและรีบออกจากที่นั้นพร้อมกับหนานกงเย่ และทนที่จะมองดูชายชราทั้งสองคนนั้นไม่ได้
ไม่นานทั้งสี่ก็เข้าสู่เมืองหลวง เมื่อพวกเขามาถึงก็ถูกต้อนรับอย่างดี ผู้ที่มาคอยต้อนรับคือเฟิงอู๋ชิง
“พี่รอง”
นานครั้งที่จะได้เห็นเฟิงอู๋ชิงริเริ่มที่จะพูดขึ้นก่อน และเป็นตอนที่อยู่กับซูอู๋ซินเท่านั้น
“เหนื่อยกันมามากแล้ว เข้าวังกันเถอะ”
ซูอู๋ซินออกเดินทางไปก่อนโดยขี่ม้าเข้าไป ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ตามอยู่ข้างหลังและยังกระซิบกันว่า “ไม่รู้ว่ามาทำไม?”
“เขามาเพื่อทำให้คนอื่นโมโห” หนานกงเย่พูดกระซิบข้างหูของฉีเฟยอวิ๋น ตอนนี้เขามีทุกอย่างแล้ว แต่กลับกันซูอู๋เฮิ่นกลับไม่มีอะไรเลย ครั้งก่อนลูกชายได้รับบาดเจ็บสาหัสและเกือบตาย เขามาเขาสามารถทำอะไรได้ ก็คงเพียงแค่มาเพื่อโอ้อวด
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบไปมองหนานกงเย่และรู้สึกดูถูกขึ้นมาในใจ ซูอู๋ซินช่างเป็นคนหยิ่งผยองและเผด็จการเช่นนี้ นับว่าเจ้าของร่างเดิมได้พบรากเหง้าของนางแล้ว อาจจะเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมก็เป็นได้ แต่สิ่งที่เกี่ยวข้องมากที่สุดคือไม่รู้สึกเกรงกลัวใดๆ เลย พ่อที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อยากเอาชนะคนอื่นโดยไม่คิดถึงชีวิตตัวเอง
เมื่อพูดถึงเจ้าของร่างเดิม จนถึงวันนี้นางก็ยังไม่ออกมา ตั้งแต่ที่รู้ว่านางไม่ต้องการยอมรับซูอู๋ซินและพวกเขา ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่บังคับให้นางออกมา
เมื่อเข้ามาในวัง ประตูวังถูกเปิดไว้ เหล่าข้าราชการและขุนนางต่างพากันยืนเรียงแถวต้อนรับตั้งแต่หน้าประตูแล้ว เมื่อลงจากหลังม้า ซูอู๋ซินยื่นมือไปให้เฟิ่งไป่ซูเพื่อให้นางลงจากหลังม้า ซูอู๋ซินจับมือของนางและพูดว่า “ข้าเคยสัญญากับเจ้าว่าสักวันหนึ่งข้าจะพาเจ้าเข้าไปจากตรงนี้ ให้ประชาชนของปีกใต้ได้เห็นเจ้า วันนี้ก็เป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปเปลี่ยนชุด ประเดี๋ยวค่อยออกมา”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามอยู่ข้างหลังและถอนหายใจ เดินทางมาไกลเช่นนี้โดยไม่สนใจความกังวลของข้าราชการขุนนางและประชาชนแคว้นเฟิ่ง ไม่สนใจว่าประชาชนของปีกใต้จะตกใจ เพียงเพื่อต้องการพาเฟิ่งไป่ซูมาให้ประชาชนของปีกใต้ได้เห็น ผู้ชายทำได้ถึงเช่นนี้นับว่าหาได้ยากมาก
ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ก็เดินตามไปที่ตำหนักของซูอู๋ซิน หลังจากที่รออยู่ที่นั่นพักหนึ่ง ซูอู๋เฮิ่นก็เข้ามาอย่างรีบร้อน และข้างหลังเขาก็มีซูมู่หรงที่หายเป็นปกติแล้ว
เมื่อซูมู่หรงมาถึงก็ได้เหลือบมองดูฉีเฟยอวิ๋นก่อน เห็นแล้วทำให้ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง
เมื่อพูดไปแล้วฉีเฟยอวิ๋นไม่ต้องการที่จะเห็นซูมู่หรงอีก ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พวกเขาไม่เจอกันจะดีกว่า
ซูมู่หรงไม่ได้เข้ามาใกล้ แต่ซูอู๋เฮิ่นยืนอยู่หน้าตำหนักด้วยความร้อนรน “เข้าไปรายงาน บอกว่าข้ามาหา ไปสิ”
ซูมู่หรงชะงักอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเหลือบมองซูอู๋เฮิ่นที่กำลังพูดกับเขา หากไม่ใช่เป็นเพราะเขาก็มีปัญหากับเรื่องความรัก เขาคงไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าจักรพรรดิรุ่นหนึ่งทำได้ถึงเพียงนี้
ซูมู่หรงก้าวไปข้างหน้า สำหรับฐานะของเขาในตอนนี้ นับว่าไม่มีใครกล้าขัดขวางเขาได้
ซูมู่หรงเข้าไปรายงานที่พระที่นั่งเฉียนคุน จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงเงยหน้าขึ้นมองตัวอักษรพระที่นั่งเฉียนคุน
พระที่นั่งทั้งสองต่างก็เหมือนกัน ซูอู๋ซินนับว่าหยิ่งผยองอย่างมาก