องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 770 ข้าไม่ได้พาใครติดตามมาด้วย
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 768 ข้าไม่ได้พาใครติดตามมาด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวลาจักรพรรดินีแคว้นเฟิ่งและคนอื่นๆ จากนั้นขึ้นไปบนรถม้าที่ดูเหมือนเป็นรถม้าเดินทางกลับเมืองต้าเหลียง บนรถม้าไม่ได้พาอะไรไป แต่ก็มีกล่องที่ใส่เครื่องประดับอัญมณีอยู่จำนวนหนึ่ง ฉ๊เฟยอวิ๋นและหนานกงเย่นั่งอยู่บนรถม้ามาเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆ โดยไม่หยุดพัก เมื่อสั่งคนว่าให้แสร้งทำเป็นว่าพวกเขาจะเดินทางไปทางเมืองต้าเหลียง แต่จริงๆ แล้วพวกเขาเดินทางไปที่ปีกใต้
หนานกงเย่ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการที่ปีกใต้ ฉะนั้นทั้งสองจึงต้องไปที่นั่นก่อน
เดินทางมาแล้วเป็นเวลาสองวัน ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่จึงเดินทางมาถึงเขตชายแดน หลังจากพักผ่อนอยู่หนึ่งวัน ทั้งสองก็เริ่มออกเดินทางข้ามเขตแดนอีกครั้ง
เพิ่งออกมาก็ได้พบกับคนสองคน ซูอู๋ซินแต่งกายเหมือนคนธรรมดาทั่วไปและจูงม้าตัวใหญ่ ม้ามีสีแดงพุทธา และบนหลังม้าก็ยังมีสิ่งของที่พวกเขานำออกมาด้วย
เฟิ่งไป่ซูมองของเล่นที่อยู่ข้างทาง จากนั้นซูอู๋ซินก็หยิบเงินขึ้นมาเพื่อซื้อสิ่งนั้น นับไปนับมาก็ได้ห้าอันพอดี เฟิ่งไป่ซูเก็บอย่างดีและวางไว้ในกระเป๋าผ้าบนหลังม้า และเผยให้เห็นรอยยิ้มที่พอใจ ดูเหมือนว่านางจะไม่วางใจและหยิบออกมาหนึ่งชิ้น จากนั้นจึงถามซูอู๋ซินว่า “ท่านว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ดีมาก เจ้าดูอยู่หลายครั้งแล้ว หากยังดูต่อไปเช่นนี้คงต้องหาที่นอนพักค้างคืนที่นี่เสียแล้ว” ซูอู๋ซินพูดขึ้นมาเชิงหยอกล้อ จากนั้นเฟิ่งไป่ซูจึงเก็บเข้าไปและเตรียมตัวเดินทางต่อ
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกซาบซึ้ง หากจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้ สองเดือนที่ผูกพันกันมา เธอก็สามารถรับรู้ได้ว่า เฟิ่งไป่ซูดีกับเธอมาก
หนานกงเย่จูงม้าเช่นกัน ทั้งสองขี่ม้าตัวเดียวกัน เช่นนี้แล้วจะปลอดภัยและเร็วกว่าด้วย
เมื่อหันกลับไปเฟิ่งไป่ซูเห็นฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ ถึงแม้ทั้งสองจะแต่งกายอย่างเรียบง่ายธรรมดา แต่เฟิ่งไป่ซูก็สามารถรู้ได้ตั้งแต่แวบแรกว่าเป็นพวกเขา
ก็เหมือนกับฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ก็สามารถรู้ได้ตั้งแต่แวบแรกว่าเป็นเฟิ่งไป่ซูและซูอู๋ซินเช่นกัน
ทั้งสี่จ้องตากัน ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มเข้าไปทักทายเฟิ่งไป่ซูก่อน “ท่านแม่”
“เจ้าเรียกข้าว่าแม่จะดีกว่า ที่นี่คือปีกใต้ ต่างก็เรียกกันเช่นนี้” ดวงตาของเฟิ่งไป่ซูซีดมากและตอนนี้ก็มองใบหน้าได้ไม่ชัดเจน สิ่งที่สามารถมองเห็นได้ตอนนี้ก็คืออารมณ์ความรู้สึกที่ส่งผ่านทางสายตา แต่อารมณ์ความรู้สึกของนางในตอนนี้ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเช่นนั้น ฉะนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงรู้สึกว่า นี่ก็เป็นเพียงกำหนดของเวลาเท่านั้น
“เจ้าค่ะ แม่”
ซูอู๋ซินที่อยู่ข้างๆ ก็นับว่าเป็นตัวของตัวเอง “พืชพรรณของปีกใต้ที่นี่นับว่าอุดมสมบูรณ์ดีและอากาศค่อนข้างชื้นจึงเหมาะแก่การที่แมลงต่างๆ จะอาศัยอยู่ และด้วยเหตุนี้มักมีคนเลี้ยงแมลง เมื่อนานไป มีคนต้องการใช้แมลงในการทำร้ายผู้คน จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ทุกคนต่างสามารถใช้หนอนพิษกู่ได้
แต่เมื่อยี่สิบปีก่อน อดีตจักรพรรดิได้ออกราชโองการห้ามไม่ได้ประชาชนทั่วไปใช้หนอนพิษกู่ อีกทั้งยังสั่งห้ามการใช้เวทมนตร์คาถาอีกมากมาย และเพื่อลดสงครามและความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในปีกใต้”
“เรื่องนี้ข้าเคยได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับองค์ชายรอง เพราะองค์ชายรองไม่ชอบให้ผู้คนต่างใช้หนอนพิษกู่ในการทำร้ยาซึ่งกันและกัน ดังนั้นเมื่อถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพครบรอบสิบเจ็ดปีปีนั้น จึงได้รายงานเรื่องนี้กับอดีตจักรพรรดิ หลังจากนั้นก็เริ่มมีการก่อจลาจลขึ้นและมีผู้คนล้มตายจำนวนมาก และได้เริ่มสงบลง” หนานกงเย่ก็เคยได้ยินเรื่องนี้ แต่ก็เกิดความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้นมากมายว่าหรือเป็นเพราะองค์ชายรองต้องการเป็นที่โดดเด่น และไม่ต้องการให้คนอื่นฝึกซ้อมหนอนพิษกู่ขึ้น
ซูอู๋ซินพยักหน้า “เป็นเรื่องจริง หลังจากนั้นอดีตจักรพรรดิก็ทนแรงกดดันไม่ได้ จึงตรัสว่าหากต้องการจะฝึกซ้อมหนอนพิษกู่ก็ให้เริ่มเข้าทดสอบตั้งแต่ยังเล็ก หากทดสอบผ่านก็จะสามารถฝึกซ้อมคาถาวิชาหนอนพิษกู่ได้”
“ในครั้งแรกนั้นมีเพียงคนเดียวที่ผ่านการทดสอบ” หนานกงเย่กล่าว
“เจ้ารู้ไม่น้อยเลยทีเดียว”
“คนคนนั้นคือจักรพรรดิ?” หนานกงเย่ถาม
ซูอู๋ซินพยักหน้า “เจ้าคิดว่าเป็นความตั้งใจใช่หรือไม่?”
หนานกงเย่ส่ายหน้า “หากตั้งใจคงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อมีการควบคุมที่จำกัดที่เคร่งครัด เพียงแต่คนเหล่านั้นที่ต้องการเรียนรู้ ก็คงจะแสดงออกอย่างตั้งใจ แต่วิชาคาถาหนอนพิษกู่นั้น เรียนรู้ได้ง่ายดาย เพียงแค่ควบคุมได้ดีเท่านั้น แต่ตอนที่ทดสอบตอนนั้นอาจจะไม่ได้ควบคุมอย่างดี”
“เป็นเช่นนั้นจริง ตอนนั้นมีการทดสอบความใจดีของผู้คน ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นผู้เสนอให้มีการเลิกใช้ แต่คำถามของการทดสอบกลับออกมาจากคนอื่น เป็นเสด็จพ่อที่ตัดสินใจ เขาให้คนคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้น บนร่างกายของคนคนนั้นมีหนอนพิษกู่อยู่ตัวหนึ่ง หนอนพิษกู่ตัวนี้มองไปแล้วธรรมดาทั่วไปมาก แต่กลับเป็นตัวที่เก่งกาจมากที่สุด และหนอนพิษกู่ตัวนี้หากต้องการจุดึงออกมา มันจะเข้าไปสู่ร่างกายของคนอีกคนหนึ่ง
คนที่อยู่บนพื้นนั้นไม่ใช่คนอื่นไกล เขาคืออาจารย์คนหนึ่งของตำหนักหนานอี้ในตอนนั้น เขาเป็นคนที่สอนหนังสือตำราในทุกๆ วัน
คนคนนี้ดีกับพวกข้ามาก และคนที่เข้าทดสอบล้วนแล้วแต่เป็นราชวงศ์และลูกขุนนางเป็นส่วนใหญ่
ซูอู๋เฮิ่นก็เข้าทดสอบด้วยเช่นกัน
ทุกคนผ่านการทดสอบในการละขั้นตอน และสุดท้ายก็ไปถึงขั้นตอนสุดท้าย
อาจารย์แทบจะทนไม่ไหว หนทางเดียวที่จะสามารถเอาชีวิตรอดก็คือการหลอกล่อหนอนพิษกู่ให้ออกมา และใครจะเป็นผู้หลอกล่อก็เป็นปัญหาขึ้น
ทุกคนต่างไม่กล้าเอาตัวเองเข้าเสี่ยง ยกเว้นเพียงคนเดียว”
“คาดว่าคนคนนั้นก็คือจักรพรรดิ ฉะนั้นสุดท้ายแล้วคนที่ผ่านบททดสอบก็มีเพียงแค่จักรพรรดิคนเดียว”
หนานกงเย่คาดเดาถึงเหตุการณ์ตอนนั้นได้อย่างง่ายดาย
ซูอู๋ซินไม่ได้พูดอะไร ทั้งสี่มุ่งหน้าไปข้างหน้าพร้อมกัน เดินทางมาทั้งวันและเดินเล่นมาก็ทั้งวัน จากนั้นจึงหาโรงเตี๊ยมเพื่อพักผ่อน เมื่อพักผ่อนแล้วหนึ่งคืน วันต่อมาก็ออกเดินทางอีกครั้ง
ทั้งสี่เดินเล่นไปพลางและชื่นชมทิวทัศน์พลาง และหนานกงเย่ก็ได้จัดการเรื่องในปีกใต้ไปด้วยในขณะเดียวกัน
เมื่อเวลาค่ำมาถึง มีคนจำนวนหนึ่งกระโดดลงมาจากหลังโรงเตี๊ยม
“พยายามหาพวกเขาให้เจอก่อนที่ข้าจะกลับไปและฆ่าสังหารพวกเขาทิ้งที่ปีกใต้นี้” หนานกงเย่สั่งออกไป จากนั้นคนที่อยู่ที่พื้นรับคำสั่งเสร็จก็จากไป
หนานกงเย่หันหลังและเดินกลับไป และฉีเฟยอวิ๋นก็ยืนอยู่ข้างหลัง
“ท่านอ๋องมาที่นี่เพื่อต้องการหาตัวจงชินอ๋องและคนอื่นๆ อย่างนั้นหรือเพคะ?”
“หากไม่กำจัดจงชินอ๋องเสีย ข้าคงไม่มีทางอยู่อย่างเป็นสุข ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องกำจัดเขา”
หนานกงเย่กลับไป ฉีเฟยอวิ๋นก็ตามเขากลับไปเช่นกัน
“แต่ท่านอ๋องจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจงชินอ๋องอยู่ที่นี่ และจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะถูกท่านอ๋องฆ่าสังหาร หากเขารู้ว่าท่านอ๋องมาที่นี่ เขาต้องหนีไปก่อนอย่างแน่นอน อีกอย่าง……หม่อมฉันรู้สึกมาโดยตลอดว่า คู่ต่อสู้ของเขาไม่ใช่ท่านอ๋อง แต่กลับเป็นอีกคนหนึ่ง”
เป็นเพียงสัญชาตญาณของผู้หญิงกระมัง ฉีเฟยอวิ๋นมีความรู้สึกเช่นนี้ ถึงแม้ว่าทุกครั้งจงชินอ๋องจะพยายามฆ่าเธอ เพียงแค่ได้รับข่าวว่าพบตัวเธอแล้ว จงชินอ๋องจะต้องรีบส่งคนมาไล่ล่าฆ่าเธอ
แต่ความเป็นจริงแล้ว คนที่จงชินอ๋องเป็นห่วงมากที่สุดกลับเป็นอวิ๋นหลัวฉวนจึงจะถูก
หนานกงเย่เพียงแค่ยิ้มขึ้นมา “เขาอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพี่รอง เพียงแต่ก่อนที่ข้าจะต้องเผชิญหน้าต่อสู้กับเขานั้น ข้าจำเป็นต้องกำจัดเขาทิ้งเสียก่อน”
“……ท่านจะรู้ได้อย่างไรเพคะว่าท่านอ๋องตวนไม่อยากลงมือกระทำด้วยตัวเอง ท่านอ๋องอย่าลืมนะเพคะ บางเรื่องหากคนอื่นทำไปแล้วก็อาจไม่มีความสุขก็ได้ มีเพียงแค่ลงมือทำด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะมีความหมาย”
“ปล่อยให้พี่รอง เขาคงคิดว่าเสียเวลา อีกอย่างก็เป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา”
หนานกงเย่มสีหน้าเคร่งขรึม เขาไม่ชอบที่ฉีเฟยอวิ๋นรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ชอบฟังเรื่องเหล่านี้ แต่กลับพูดออกมา หากเธอไม่พูด เขาก็สามารถรู้ได้
ทั้งสองเข้าไปพักผ่อนเพื่อจะออกเดินทางอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
ตอนเที่ยงทุกคนก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในหมู่บ้านคึกคักมากเป็นพิเศษ มีการแสดงการเล่นกลอยู่ในหมู่บ้าน ฉีเฟยอวิ๋นและเฟิ่งไป่ซูจึงไปดูการแสดงกล หนานกงเย่และซูอู๋ซินจึงซื้อของเล็กๆ น้อยๆ
หลังจากที่แยกกัน หนานกงเย่จึงพูดขึ้นมา “มีคนตามพวกข้ามา”
“ไม่ใช่คนของเจ้า?” ซูอู๋ซินก็สังเกตได้ อีกทั้งติดตามมาเป็นเวลากว่าสองชั่วยามแล้ว
หนานกงเย่ส่ายหน้า “ไม่ใช่ ข้าไม่ได้พาคนของข้ามาด้วย”
“อืม”
ทั้งสองหาสถานที่เพื่อพักผ่อนหลังจากรับประทานอาหารก็กลับเข้าห้องเพื่อพักผ่อน
เป็นเวลากลางคืนทั้งสี่จึงลุกขึ้นมาเพื่อออกเดินทางอีกครั้ง
เมื่อผ่านป่าทึบแห่งหนึ่ง มีคนออกมาจากข้างในนั้น พวกเขามีเพียงสี่คน แต่อีกฝ่ายกลับออกมาหลายสิบคน
ฉีเฟยอวิ๋นจึงรู้ได้ว่าทำไมถึงออกเดินทางตอนกลางคืน จะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน
ในหมู่บ้านไม่สามารถลงมือได้ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนประชาชนในหมู่บ้าน พวกเขาจึงเตรียมที่จะลงมือในป่าทึบแห่งนี้ อีกทั้งบรรดาผู้ที่ต้องการเผชิญหน้าก็คิดถึงสถานที่แห่งนี้ได้เช่นกัน นับว่าเป็นเรื่องที่บังเอิญอย่างมาก!