องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 772 ง้างปากขึ้นป้อนยาด้วยตนเอง
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 770 ง้างปากขึ้นป้อนยาด้วยตนเอง
ซูมู่หรงขึ้นไปดูฉีเฟยอวิ๋น ถึงได้ไปที่พระตำหนักเฉียนคุน พอเข้ามาซูมู่หรงเห็นซูอู๋ซินเลยกล่าวด้วยความเคารพว่า“ซูมู่หรงถวายบังคมท่านลุงรอง”
แม้ซูมู่หรงจะเป็นคนยุคปัจจุบัน แต่เขามาที่นี่หลายปีแล้วเลยค่อยๆกลมกลืนปรับตัวสู่สภาวะแวดล้อมของที่นี่แล้ว
ปีกใต้เป็นสถานที่ที่ให้ความสำคัญแก่องค์จักรพรรดิ มารยาทในพระราชวังก็ไม่สามารถลืมได้
เวลานี้ซูอู๋ซินสวมใส่ชุดสีเหลืองกำลังเตรียมจะพาเฟิ่งไป่ซูออกไปแล้ว
พอเห็นซูมู่หรงก็ไม่ได้มีความโกรธอะไร กลับกล่าวถามว่า“มีธุระอันใดหรือ?”
“เสด็จพ่ออยู่ด้านหน้าต้องการเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ”
ซูมู่หรงรู้ว่าซูอู๋ซินอยู่ที่ปีกใต้นั้นมีความหมายลึกซึ้งแฝงไปด้วยอะไร อีกอย่างเขาเป็นพ่อของฉีเฟยอวิ๋น หากได้รับความเชื่อใจจากเขา อย่างน้อยอยู่ที่ปีกใต้ อยากจะแย่งชิงฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่มีคนรั้งหรอก
“พวกเราออกไปกัน”
ซูอู๋ซินจูงมือเฟิ่งไป่ซูออกไปด้านนอก เฟิ่งไป่ซูสวมใส่ชุดที่ซูอู๋ซินเตรียมไว้เมื่อหลายปีมาแล้ว ด้านหลังของชุดลากพื้นยาวมาก เลยมีนางกำนัลคอยดูแลอยู่ทางด้านหลัง ทั้งสองฝ่ายต่างสบประสานตากันแล้วเดินออกจากพระตำหนักเฉียนคุณ
ซูอู๋เฮิ่นยืนอยู่ด้านนอกมองหญิงสาวที่กำลังนึกถึงอยู่ด้วยความชะงักงัน ร่างกายสั่นไหวเอนเอียงเล็กน้อย แทบจะล้มลงบนพื้น
หญิงสาวที่เขารักใคร่ มาแล้วหรือ?
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจทันที คนคลั่งรักเป็นยังไง?
เป็นนางจริงหรือ?
เวลานี้องค์จักรพรรดิปีกใต้คล้ายดั่งเด็กน้อย ในแววตาของเขาคล้ายกับว่ามีน้ำตาคลอ ตัวเป็นองค์จักรพรรดิ เป็นบุคคลที่ควบคุมกองทัพทหารด้วยความสง่า มือกอบกุมการสังหารและชีวิตอยู่เท่าไหร่ แต่ทว่ากลับมีแผนถวิลหาหญิงคนหนึ่งตลอดชีวิต พูดอย่างชัดเจนคือทุกอย่างนั้นทำเพื่อหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้นเอง
น่าเสียดายสุดท้ายเขานั้นก็ไม่ได้รับอะไรเลย
แต่ช่วงกาลเวลาผ่าน เขาอาจจะเข้าใจเหตุผลแล้ว ไม่มีอะไรที่สวยงามไปกว่าการได้เห็นหญิงผู้นี้
แรกเริ่มเขาคิดว่าเป็นสิ่งที่ได้รับที่ดีที่สุด เริ่มต้นเขาคิดว่าจะแข็งแกร่งกว่าซูอู๋ซินด้วย แต่ต่อมาเขารักผู้หญิงคนนี้จริงๆแล้ว
“ซูซู”
ซูอู๋เฮิ่นอยากจะเข้าใกล้ เฟิ่งไป่ซูเลยมองเขาจากนั้นกล่าวว่า“องค์จักรพรรดิปีกใต้หรือ?”
“ซูซูยังจำข้าได้หรือ?”องค์จักพรรดิปีกใต้หันเดินไปทางเฟิ่งไป่ซู ซูอู๋ซินสุขุมนุ่มลึกอย่างนี้ เขาไม่ได้ห้ามปราม คล้ายดั่งว่าผู้ชายคนไหนอยู่ตรงหน้าเขา เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ
องค์จักรพรรดิปีกใต้หยุดลง เปิดเผยรอยยิ้มเหมือนตอนสมัยยังหนุ่มออกมากล่าวตรัสว่า“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
“เป็นพระกรุณาธิคุณที่องค์จักรพรรดิปีกใต้ห่วงใยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ตายในกำมือขององค์จักรพรรดิปีกใต้ ”พอเฟิ่งไป่ซูพูดออกมา สีหน้าขององค์จักรพรรดิปีกใต้ดูไม่ได้ทันที
แต่ไม่นานเขาก็คืนสู่สภาพปกติ กลับทำสีหน้าเศร้าสร้อยกล่าวตรัสว่า“เมื่อสมัยนั้นหากว่าเจ้ายินยอมละก็ ข้าก็ไม่มีทางทำเช่นนั้น เป็นข้าที่อยากจะทำให้เจ้าตกใจ เจ้าดันกินมันลงไป”
“พระองค์ใช้แคว้นเฟิ่งมาข่มขู่หม่อมฉัน หม่อมฉันมีสิทธิไม่กินมันลงไปได้ด้วยหรือ?”เฟิ่งไปซูนึกขึ้นได้ รู้สึกว่ามันน่าตลกมาก สรุปว่ามันเป็นความผิดของผู้ใดกัน
“แต่ข้าก็พูดแล้ว เพียงแค่เจ้าพยักหน้า ข้าก็ยอมเชื่อฟัง”
“เช่นนั้นพระองค์คิดว่าหม่อมฉันคุกเข่าขอคืนความสงบ อาณาประชาราษฎร์จะมองหม่อมฉันอย่างไรเพคะ?”
องค์จักรพรรดิปีกใต้จุกจนพูดไม่ออก เฟิ่งไป่ซูเหลือบมองซูอู๋ซิน แล้วกล่าวว่า“พวกเราไปกันเถิด”
ซูอู๋ซินเลยได้พาเฟิ่งไป่ซูขึ้นไปบนศาลาบนประตูเมือง ทั้งสองปรากฎกายบนศาลาประตูเมือง ตอนที่มองปีกใต้จากด้านบนไปด้านล่าง ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่านั่นคือการดูถูกถากถาง เป็นการดูถูกถากถางองค์จักรพรรดิปีกใต้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีความรู้สึกค่อนข้างสงสารสมเพชองค์จักรพรรดิปีกใต้
ไม่ว่าจะน่าสงสารสมเพชหรือไม่ นั่นไม่ใช่เกี่ยวอะไรกับเธอ
อย่างดีฉีเฟยอวิ๋นก็เป็นแค่คนดูอยู่ด้านข้าง
เฟิ่งไป่ซูกับซูอู๋ซินยืนอยู่หลายชั่วยาม องค์จักรพรรดิปีกใต้ก็อยู่เป็นเพื่อนหลายชั่วยาม ส่วนซูมู่หรงอยู่เป็นเพื่อนข้างกายฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่
ด้านล่างยังมีคน ถึงอย่างไรมกุฎราชกุมารคนเดิมได้กลับมาแล้ว ก่อนที่จักรพรรดิสูงสุดเสด็จสวรรคต พระองค์ตรัสว่าราชบัลลังก์ตกมอบแก่มกุฎราชกุมารผู้นี้ แต่ตอนนี้พูดไม่ได้แล้ว แน่นอนว่าทุกคนก็ไม่กล้าดูแคลน เหล่าขุนนางเสนาบดีต่างพากันมาไม่น้อย แต่ล้วนไม่กล้าเข้าใกล้ จักรพรรดิปีกใต้ก็เป็นคนที่โดดเด่นเช่นกัน ตอนนี้เขาเป็นองค์จักรพรรดิ ผู้ใดก็มิกล้าทำให้ไม่พอใจ
ทุกคนต่างคุกเข่าอยู่บนนั้น จนกระทั่งซูอู๋ซินกล่าวว่า“ในเมื่อข้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แน่นอนว่าข้าจะสามารถเข้าร่วมงานราชสำนักได้ แต่เรื่องอื่นข้าไม่อยากยุ่ง ส่วนเรื่องของมกุฎราชกุมารี ข้าได้ตัดสินใจแล้วว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ
ส่วนฝ่าบาท พระองค์อยากจะทำอะไรข้าไม่มีสิทธิก้าวก่าย วันนี้กลับมา เพียงแค่พาพระชายาของผู้สำเร็จราชการแทนมาดูเมืองหลวงปีกใต้ว่าเจริญรุ่งเรืองแค่ไหนเท่านั้นเอง
พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกตกใจเป็นการใหญ่ รอผ่านไปไม่กี่วัน ข้าจะไปต้าเหลียงเพื่อทำการเคารพท่านพี่ใหญ่เมืองต้าเหลียง”
คนด้านล่างจะกล้าพูดอะไรที่ไหนกัน ผู้สำเร็จราชการแทนเป็นอย่างไรพวกเขาต่างรับรู้กันดี
อารมณ์ของเขาไม่ดีตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ได้ยินมาว่าสังหารคนไม่แม้แต่หลุบเปลือกตาขึ้นเชียว
ซูอู๋ซินบอกกล่าวเสร็จเลยพาเฟิ่งไป่ซูลงมาจากศาลาด้านบน คนจำนวนหนึ่งกลับพระราชวังองค์จักรพรรดิปีกใต้ได้จัดงานเลี้ยงด้านในพระราชวังขึ้น แค่เฟิ่งไป่ซูได้กล่าวปฏิเสธ
กลับถึงพระตำหนักเฉียนคุณเลยกลับไปพักผ่อน ไม่พบเจอผู้ใดเลย
องค์จักรพรรดิปีกใต้รออยู่ที่พระตำหนักเฉียนคุณรอจนถึงดึกดื่นก็ไม่กลับไป
ฉีเฟยอวิ๋นนอนตื่นขึ้นมา เขายังอยู่ด้านนอก เสด็จพ่อก็ยืนอยู่ด้านนอก ลูกชายก็ไปไหนไม่ได้ ซูมู่หรงเลยยืนอยู่เป็นเพื่อนทางด้านนอก
ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ตรงหน้าต่างมองออกไปด้านนอก นับถือจริงๆ องค์จักรพรรดิปีกใต้ยืนอยู่อย่างนี้ รอรับการอภัยอยู่ด้านนอก ไม่กลัวคนหัวเราะเยาะเลย
เมื่อเทียบกับองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ ไม่รู้ว่าดีกว่าเท่าไหร่กัน
หนานกงเย่เข้ามาที่ปีกใต้มักจะมีคนมาหาเขา แต่ค่ำคืนนี้ตรงกันข้ามมันค่อนข้างสงบ
องค์จักรพรรดิปีกใต้ยืนอยู่ด้านนอกพระตำหนักเฉียนคุณทั้งคืน แต่ค่ำคืนนี้พระองค์นั้นไม่ได้รับการให้อภัยเลย ตอนเช้าฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นมา กำลังเตรียมจะออกไปดู ใครจะรู้ว่าองค์จักรพรรดิปีกใต้ล้มลงกับพื้น คนก็มาแล้ว
เธอแปลกใจเลยออกมาดู ซูมู่หรงร้อนรน ฉีเฟยอวิ๋นเห็นเลยรีบวิ่งไป ฉีเฟยอวิ๋นกอบกุมที่มือของพระองค์เพื่อจับแมะชีพจรถึงได้รู้ว่าองค์จักรพรรดิปีกใต้มีภาวะหัวใจล้มเหลว
ฉีเฟยอวิ๋นเตรียมยาบนตัวไว้ เธอเลยรีบหยิบยาออกมายัดเข้าปากองค์จักรพรรดิปีกใต้ ซูมู่หรงรู้ว่านั่นคล้ายกับยาที่ช่วยเรื่องหัวใจ เลยไม่ถามมาก
องค์จักรพรรดิปีกใต้นอนราบอยู่ด้านนอกพระตำหนักเฉียนคุณ ซูอู๋ซินกับเฟิ่งไป่ซูรู้นานแล้ว วันนี้ทั้งสองคนเลยแกล้งออกมา แต่งตัวอย่างสง่างาม เดินไปดูองค์จักรพรรดิปีกใต้แล้วเดินจากไป
ซูมู่หรงอยากจะให้พวกเขาอยู่เลยตามไป ซูอู๋ซินไม่ได้สนใจ เขาได้พาเฟิ่งไป่ซูออกไปเลย เรียกคนไปหา ก็หาคนไม่เจอเลย
ฉีเฟยอวิ๋นคุกเข่าอยู่บนพื้นได้ทอดถอนหายใจออกมา โชคร้ายที่สุด รู้ก่อนหน้าพวกเขาก็ไปก่อนตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
เวลานี้เป็นเวลานาทีชีวิต ต่อให้ติดปีกบินไปก็ไปไม่ได้แล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นอยู่รักษาโรคให้องค์จักรพรรดิปีกใต้ ซูมู่หรงกลับมาได้สั่งให้คนนำพระองค์กลับไปพักที่พระตำหนักของพระองค์ดีๆ
ฉีเฟยอวิ๋นคิดเผื่อองค์จักรพรรดิปีกใต้ เธอเลยตามไปด้วย
พอเข้ามาพระตำหนัก องค์จักรพรรดิปีกใต้ลืมตาตื่นขึ้นมาช้าๆ และถามถึงเฟิ่งไป่ซู ได้ยินว่าออกจากพระราชวังกันแล้ว ก็ไม่กินข้าวกินปลาไม่พูดไม่จา
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้พกหีบยาติดตัว ไม่สามารถฉีดยาได้ ไม่กินข้าวดื่มน้ำไม่นานก็ต้องตายแล้ว
ภาวะหัวใจล้มเหลวโดยพื้นฐานแล้วต้องระวังเรื่องโภชนาการ ยิ่งผลไปทางลบโอกาสที่จะเกิดเรื่องขึ้นยิ่งมาก และตอนนี้ในสายตาของฉีเฟยอวิ๋น องค์จักรพรรดิปีกใต้ไม่ห่างไกลความตายเลย
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปเดินมาในห้องบรรทม กลัดกลุ้มใจคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี
ซูมู่หรงก็อยู่ด้านข้างด้วยตลอดเวลา
“หากไม่ได้ล่ะก็ง้างปากเถิด อย่างนี้ก็สามารถกินได้”ฉีเฟยอวิ๋นก็คิดวิธีอื่นไม่ออกแล้ว
แต่ใครจะกล้าทำเช่นนี้?
ซูมู่หรงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่สามารถเปิดง้างปากของเสด็จพ่อได้อย่างง่ายดายหรอก
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองเขาด้วยความไม่สบอารมณ์กล่าวว่า“ดูเหมือนว่าคุณมานานแล้วเลยถึงขั้นที่โบราณคร่ำครึแล้ว”
ไม่มีใครกล้าทำอย่างนั้น ฉีเฟยอวิ๋นบอกให้คนเอาโจ๊กเข้ามา แล้วง้างปากขององค์จักรพรรดิปีกใต้ด้วยตนเองเพื่อให้พระองค์กินอาหารและยา