องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 780 หมดสติไม่รับรู้อะไร
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 778 หมดสติไม่รับรู้อะไร
ซูมู่หรงนั่งลง ลมหายใจของเขาสั่นไหวเล็กน้อย เขารอวันนี้มาเกือบยี่สิบปีและอย่างยากลำบากเหลือเกิน!
ฉีเฟยอวิ๋นกดข้อมือของซูมู่หรงไว้และขมวดคิ้ว “เจ้าหายใจให้ปกติหน่อยได้หรือไม่ หรือข้าควรจะฉีดยาให้กับเจ้าสักเข็มดี?”
ซูมู่หรงก้มหน้าหัวเราะ จากนั้นจึงยกคิ้วขึ้นหันไปมองฉีเฟยอวิ๋น “ข้าก็อยากให้เป็นเช่นนั้น แต่หัวใจของข้าก็หยุดไม่ได้ ข้าจะมีวิธีไหนอีก”
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปตายเสีย” ตายแล้วก็จะได้กลับไป
ซูมู่หรงไม่ได้รู้สึกโกรธเลยสักนิด แต่กลับหัวเราะออกมาอย่างเย้ายวน “หากข้าตายไป ข้าก็จะลากเจ้าไปด้วยเช่นกัน”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้สนใจซูมู่หรงและกล่าวว่า “ร่างกายของเจ้ายังไม่หายดี จำเป็นต้องพักรักษาตัว เจ้ายังมีอาการไม่คุ้นชินกับสถานที่แห่งนี้และยังมีเรื่องอากาศหนาวเย็น ที่นี่มีสภาพอากาศชื้น หากเจ้ายังเป็นอยู่เช่นนี้ละก็ นานไปก็อาจมีแนวโน้มที่จะเป็นวัณโรคได้”
“กินยาหรือ?” ยานั้นซูมู่หรงกินมามากพอแล้ว แต่ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป เขากินยามาตั้งแต่เล็กจึงทำให้มีวันนี้ได้ และอยู่มาถึงตอนนี้ก็นับว่าปาฏิหาริย์มากแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นทำการออกยาให้กับซูมู่หรงก่อน ซูมู่หรงยื่นมือออกไปจับมือของฉีเฟยอวิ๋น และใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นก็เคร่งขรึมขึ้น ดวงตาของเธอก็เพ่งเล็ง
ซูมู่หรงหัวเราะขบขันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงดึงมือกลับไป
“ข้ารู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนและยังรู้ว่าวันนี้เขาจะกลับมาหรือไม่” รอยยิ้มของซูมู่หรงเลือนรางลง ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองซูมู่หรง
“เจ้าคิดว่าเจ้าขัดขวางเขาไว้ได้หรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ชมคนของตัวเองแต่ฝีมือของหนานกงเย่นั้นเก่งกาจกว่าซูมู่หรงอย่างแน่นอน
หากไม่ใช่เป็นเพราะความเจ้าเล่ห์ของซูมู่หรงที่ทำให้เขามาถึงยุคนี้ได้และมีความทรงจำของทั้งสองยุคสมัย เช่นนั้นเขาคงถูกหนานกงเย่ฆ่าตายไปนานแล้ว
ซูมู่หรงครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นจึงปาดสายตามองฉีเฟยอวิ๋น “อย่างน้อยตอนนี้เขาไม่สามารถเข้ามาได้ และเจ้าก็อยู่ที่นี่ ข้าก็อยู่ที่นี่ หากจะทำอะไรออกมาก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างมาก”
“เจ้าดูมือของเจ้า”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่มือของซูมู่หรง เธอบอกให้ซูมู่หรงดูมือของตัวเอง เขาเปิดฝ่ามือออก ฝ่ามือของเขามีรอยดำขนาดใหญ่ สีหน้าของซูมู่หรงเคร่งขรึม “นับว่าเจ้าช่างรู้จักมีเล่ห์อุบายนัก และตอนนี้ข้าก็ตกหลุมพรางเข้าแล้ว!”
ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นเย็นชา “หากเจ้าร่วมมือกับพวกข้าเราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ หากไม่ร่วมมือแม้คำว่าเพื่อนก็ไม่อาจเป็นได้”
“ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ถึงแม้เจ้าจะมีพิษปกป้องเจ้าอยู่ แต่หากข้าจะจัดการกับเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแค่ข้าฆ่าเจ้า เราก็สามารถไปจากที่นี่ได้”
“เจ้าก็ลองดู หากข้าตายไปก็ไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะกลับไปกับเจ้า ข้าสามารถไปที่อวกาศมิติที่สี่ได้” ฉีเฟยอวิ๋นนำพาระบบติดตัวมาด้วย เธอสามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางการเดินทางกลับของเธอได้ เพียงแค่เธอตั้งใจพยายามคิดถึงสิ่งนั้น
ถึงแม้การทำเช่นนั้นจะไม่รู้ว่าไปที่ไหน แต่ก็ไม่สามารถให้ซูมู่หรงข่มขู่ได้อยู่ฝ่ายเดียว
เมื่อถูกบังคับเช่นนี้ก็คงต้องแยกทางกัน ใครก็อย่าได้มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายเลย
สีหน้าของซูมู่หรงเย็นชา “เจ้ากล้าหรือ?”
“เจ้าก็ลองดูว่าข้ากล้าหรือไม่ ยังจำภารกิจในครั้งนั้นได้หรือไม่ที่พวกเราไปด้วยกัน เจ้าบอกให้ข้าไปก่อน แต่ข้าไม่ยอม หลังจากนั้นเจ้าก็บังคับให้ข้าจากไป แต่ข้าไม่มีทางจากไปก่อนได้ หลังจากนั้นเป็นเช่นไรหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นจำได้ว่าเธออยู่ที่นั่น และใช้วิธีการหลบซ่อนก่อน เมื่อหนีออกไปไม่ได้ เธอจึงออกมา
พวกเขาทั้งสองคนจัดการกับผู้ที่มาจู่โจมกว่าหกสิบคน ตอนหลังเธอบาดเจ็บและเกือบตายอยู่ที่นั่น แต่หากเธอไม่อยู่ที่นั่น ซูมู่หรงจะต้องตายอย่างไม่มีข้อสงสัยแน่นอน
การคุ้มกันและการล่าถอยก็เท่ากับเป็นการเสียสละชีวิต
คนไม่รู้จักบุญคุณคนอื่นอย่างซูมู่หรง เขาไม่เคยสนใจเธอเลย แต่ตอนนั้นเธอกลับคิดอยากจะเข้าไปให้ได้ และดีกับซูมู่หรงมาก
สีหน้าของซูมู่หรงขาวซีดและเย็นเฉียบ
จักรพรรดิปีกใต้ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนักว่าทั้งสองคุยอะไรกัน?
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นจัดยาเสร็จก็ค่อยๆ ขมวดคิ้ว เธอยกแขนเสื้อของซูมู่หรงขึ้น แขนขาวๆ ของซูมู่หรงมีรอยผื่นแดงจากตัวยา จากนั้นสีหน้าของฉีเฟยอวิ๋นก็เปลี่ยนไป “เกิดอะไรขึ้น?”
ซูมู่หรงต้องการจะดึงมือออก แต่ถูกฉีเฟยอวิ๋นกดไว้ “เจ้าก็รู้จักเกรงใจคนอื่นด้วยหรือ?”
“ทำไมข้าจะต้องเกรงใจ ข้าแค่ไม่จำเป็นต้องมาอธิบายให้เจ้าฟัง เจ้าไม่ใช่ภรรยาของข้าเสียหน่อย” ซูมู่หรงวางมือลง ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ
“อากาศของที่นี่ค่อนข้างชื้น เจ้าไม่เหมาะสมหรอก นี่คือการปะทุของยา หากเจ้ากินยานานเข้า ร่างกายจะแพ้เอาได้?”
ซูมู่หรงมองดูฉีเฟยอวิ๋นอย่างเคร่งขรึมในสิ่งที่เธอพูด “ล้วนแล้วเป็นเพราะเจ้า ทำไมเจ้าถึงไม่ไปพบข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ารอเจ้ามาแล้วกี่สิบปี กี่สิบปีแล้ว!”
ซูมู่หรงโกรธจัดและตะโกนใส่ฉีเฟยอวิ๋น ผู้คนรอบต่างตกใจจนแทบไม่กล้าขยับ
จักรพรรดิปีกใต้ยิ่งรู้สึกประหลาดใจและมองดูทั้งสองด้วยความแปลกใจ
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น “ข้าตรวจดูหน่อย ปลดเสื้อผ้าตัวนอกออกก่อน”
ซูมู่หรงเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นเต้น เขาอยากจะหัวเราะ
คนที่อยู่รอบๆ แทบไม่กล้าหายใจออกมา อย่างไรเสียองค์หญิงก็เป็นทายาทของท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คำพูดที่พูดออกมาก็เหมือนออกจากปากของท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ซูมู่หรงลุกขึ้นและเดินไปทางฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับและเดินตามเขาไปที่หลังฉากกั้น ซูมู่หรงเริ่มปลดกระดุมเสื้อผ้าออก ฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่คิดว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม และยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
เสื้อผ้าแต่ละชิ้นถูกพาดไว้ที่ฉากกั้น ทุกคนต่างจ้องมองกันตาค้าง
ซูมู่หรงถอดออกทั้งหมดเหลือแค่เพียงกางเกงชั้นใน ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้ว “อาการหนักเช่นนี้เลยหรือ?”
“ช่วงนี้ต่างหากที่อาการหนัก ก่อนหน้านี้ไม่เป็นอะไร”
ซูมู่หรงก้มหน้าลงและสูดหายใจลึก
เขาไม่สามารถปฏิเสธสายตาของฉีเฟยอวิ๋นที่มองเขาได้ หลังจากที่ตรวจสอบร่างกายของเขาจนทั่วแล้ว นานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพังเช่นนี้ เสียงของซูมู่หรงแหบแห้งลง
แต่ฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่พบอะไร เธอยื่นมือออกไปจับรอยแดงปะทุของยาบนร่างกายของซูมู่หรง ซูมู่หรงหลับตาและสูดหายใจลึก เขากลือนน้ำลายอย่างยากลำบาก ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้ว
ร่างกายของซูมู่หรงเต็มไปด้วยรอยแดงของการปะทุของยา ซึ่งไม่สามารถบอกได้เลยว่าตรงไหนที่ไม่มีรอยแดง
รอยแดงขนาดใหญ่บางจุดก็มีผิวหนังแตกถลอกและมีเลือดอยู่ข้างใน อาการปะทุของยาทำให้รู้สึกคันและปวดแสบ เมื่อซูมู่หรงทนไม่ได้ก็จะเกา
ฉีเฟยอวิ๋นมองเขา “ใครคือหมอหลวงของเจ้า ทำไมถึงออกยาตัวนี้ให้กับเจ้าได้?”
“ร่างกายไม่แข็งแรง กินมาตั้งแต่เด็ก ไม่มียาตัวไหนที่ไม่มีผลข้างเคียงหรอก นานไปก็จะเป็นเช่นนี้”
ซูมู่หรงตอบกลับมาเบาๆ ฉีเฟยอวิ๋นมีสีหน้าไม่พอใจนัก “ทำไมเจ้าถึงไม่กินให้ตายไปเลยนะ!”
จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงหันหลังกลับและต้องการเดินออกไป ซูมู่หรงโอบกอดเธอจากข้างหลัง “อย่าไปไหน!”
ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ที่ฉากกั้น คนข้างนอกต่างพากันสูดหายใจลึกและพอดีกับเห็นซูมู่หรงที่ไม่ใช่เสื้อผ้ากำลังโอบกอดฉีเฟยอวิ๋นด้วยสองแขน ฉีเฟยอวิ๋นออกแรงขัดขืน
ในหัวของจักรพรรดิปีกใต้นั้นคิดไม่ทัน ความสัมพันธ์ของพวกเขา……
เอาล่ะ ปีกใต้เคยมีตัวอย่างเช่นนี้เกิดขึ้น ราชวงศ์ของปีกใต้นั้นมีความใกล้ชิดผูกพันกันมาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่ไม่เคยใกล้ชิดเช่นนี้ก็เท่านั้นเอง
“อวิ๋นอวิ๋น ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน ข้ารู้ว่าข้าไม่ได้รักษาเจ้าไว้ให้ดีจึงทำให้เจ้าไปอยู่กับเขา หากข้าเข้าใจตั้งแต่แรก เจ้าก็จะเป็นผู้หญิงของข้า เขาต่างหากที่มาหลัง ข้ามาก่อนเขา เจ้าและข้าเพียงแค่ยังไม่เปิดใจต่อกัน หนานกงเย่นับว่าเปป็นตัวอะไร?”
“เขาเป็นสามีของข้า หากเจ้ายังทำเช่นนี้ ข้าจะไม่ไว้หน้าเจ้าแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นออกแรงขัดขืน
ซูมู่หรงออกแรงจูบใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นและการหายใจก็เร่งเร้าขึ้น “ทุกครั้งที่เจ้ากลับไปก็เพื่อกลับไปหาข้า แต่เป็นเพราะเขาขัดขวางเจ้าไว้ หากไม่มีเขา เราก็สามารถมีลูกด้วยกันได้ตั้งนานแล้ว”
“ซูมู่หรง……” ฉีเฟยอวิ๋นโมโหอย่างมาก ซูมู่หรงกำลังตัดสินใจจะหลังฉีเฟยอวิ๋นกลับไปนอนและจูบ จากนั้นร่างกายก็ล้มลง
เกิดเสียงดังขึ้นและฉากกั้นก็ล้มลงกับพื้น
ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังกลับไปถีบขาของซูมู่หรงอย่างแรง จากนั้นจึงยกมือขึ้นมาปัดใบหน้า
จักรพรรดิปีกใต้และคนอื่นต่างพากันตกใจค้าง จากนั้นจึงมองดูซูมู่หรงที่เป็นลมหมดสติและไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นลงกับพื้น
ฉีเฟยอวิ๋นโมโหจึงเดินไปอีกฝั่งจากนั้นจึงนั่งลง และจ้องมองซูมู่หรงด้วยความโกรธแค้น ท่าทางเช่นนั้นจักรพรรดิปีกใต้รู้สึกกังวลใจอย่างมาก หรือว่าเธอต้องการจะฆ่าลูกชายของเขา?