องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 783 ตามหาคน
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 780 ตามหาคน
ฉีเฟยอวิ๋นรอให้คนออกไปจากนั้นจึงลุกขึ้นและเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมออกไปข้างนอก
สวีฝูรีบเข้ามาขัดขวางไว้ “นายหญิงน้อย ท่านจะไปไหนหรือขอรับ?”
“ข้าจะออกไปหาท่านอ๋อง”
“ไม่ได้ขอรับ ภายนอกอันตรายอย่างมาก หากท่านออกไปแล้วและเกิดเรื่องอะไรขึ้น เช่นนี้ข้าน้อยจะอธิบายต่อท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้อย่างไรขอรับ?” สวีฝูกลัวว่าตัวเองจะตายจึงขัดขวางฉีเฟยอวิ๋นไว้และไม่ให้เธอออกไป
หากฉีเฟยอวิ๋นจะไปก็ไม่มีใครสามารถขัดขวางไว้ได้
“สวีกงกง ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดีกับข้า แต่เจ้าวางใจได้ ข้าจะไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน”
“นายหญิงน้อย ท่านไปคนเดียวหรือขอรับ?”
“มีคนไปกับข้าด้วย แต่รออยู่ภายนอก วางใจเถอะ ในเมื่อเสด็จพ่อปล่อยให้ข้าอยู่ที่นี่ เท่ากับว่าเขาวางใจข้า เจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวลอะไรหรอก”
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นออกไป สวีกงกงก็ไม่อาจวางใจลงได้ ในเมื่อขัดขวางไว้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ปล่อยเลยตามเลย แถมยังต้องช่วยปิดบัง
ฉีเฟยอวิ๋นเดินออกมาจากตำหนักเฉียนคุนและมีคนรออยู่ข้างนอก เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็รีบเดินเข้ามา “พระชายาตามมาทางนี้เพคะ”
คนที่พูดคือนางกำนัลคนหนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นไม่พูดอะไรก็เดินตามไป
นางกำนัลพาฉีเฟยอวิ๋นออกไปด้วยความชำนาญทาง แค่มองก็รู้ว่านางมีความเชี่ยวชาญและรู้จักเส้นทางในวังหลวงเป็นอย่างดี
เมื่อออกมาจากวังหลวงของปีกใต้ ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองนางกำนัลคนนั้นที่มุ่งมั่นเดินไปข้างหน้าอย่างไม่เหลียวหลังกลับ จากนั้นจึงหันกลับไปมองรถม้าคนนั้นที่อยู่ข้างหน้า จากนั้นจึงเดินไปทางรถม้า
ผู้บังคับรถม้าเปิดม่านของรถม้าออก ฉีเฟยอวิ๋นขึ้นไปบนรถม้า จากนั้นจึงวางฉินฝูโยวที่แขวนบ่ามาลง
ในรถม้ามีฮั่วหลงนั่งอยู่ ตอนนี้ฮั่วหลงฟื้นตัวได้ค่อนข้างดีแล้ว รูปร่างผอมลงและยิ่งดูหล่อเหลาขึ้น แถมยังเป็นคนที่มีผิวขาวอีกด้วย
เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋น ฮั่วหลงจึงรีบลุกขึ้นและก้มตัวโค้งคำนับ “คารวะพระชายาขอรับ”
“เดิมทีในรถม้าก็เล็กและแคบ ไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก เจ้าลุกขึ้นพูดเถอะ เป็นอย่างไรบ้าง?”
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง จากนั้นฮั่วหลงจึงลุกขึ้นพูด “ตอนที่ท่านอ๋องออกไปได้พาคนไปด้วยจำนวนหนึ่ง แต่ก็มีไม่มาก เมื่อพวกข้าได้รับข่าวว่ามีคนค้นพบตำแหน่งที่กบดานของหนานกงเซวียนเหอ และได้ยืนยันแล้วว่าอยู่ที่นั่น แต่ท่านอ๋องคิดว่าต้องมีบางสิ่งผิดปกติและยังพูดอีกว่าหากเรื่องนี้ทำสำเร็จก็แสดงว่าเทพเจ้าคอยช่วยชีวิตเขา หากไม่สำเร็จก็เป็นแค่กับดัก แต่หากเป็นกับดัก ก็แสดงว่าคนของเรามีหนอนบ่อนไส้ ท่านอ๋องบอกว่าหากวันนี้เขาไม่กลับมา พระชายาจะต้องออกจากวัง และให้ข้ามารอพระชายาที่นี่ และพระชายาจะเป็นผู้ตรวจสอบว่าใครเป็นไส้ศึก”
“นี่มันเวลาไหนแล้วยังจะหาไส้ศึกอีก ข้าจะไปหาเขา เจ้าบอกข้ามาว่าเขาอยู่ที่ไหน พวกเราออกเดินทางไปหาเขา”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่สนใจเรื่องไส้ศึก ไส้ศึกน้นหาโอกาสจัดการเมื่อไรก็ได้ ส่วนเรื่องที่สำคัญตอนนี้คือหนานกงเย่
เขาไม่กลับมาหนึ่งคืนแล้ว แล้วเขายังสร้างปริศนาว่ามาที่นี่เพื่อมาหาฮั่วหลงที่นี่ เธอกลับรู้สึกยิ่งเป็นห่วง
ฮั่วหลงไม่อาจทนต่อดวงตาคู่นั้นของฉีเฟยอวิ๋นได้ จึงทำได้เพียงตอบตกลง
“อากาศที่ปีกใต้นั้นไม่ดีเท่าไรนัก มีภูเขาบางพื้นที่อากาศร้ายแรงยิ่งกว่านี้ ภูเขาที่ไม่ไกลออกไปนั้นมีพื้นที่รกร้างอยู่ที่นั่น เราพบร่องรอยของหนานกงเย่ที่นั่น”
ฮั่วหลงพูดความจริงออกมา
“ไปที่นั่น” ฉีเฟยอวิ๋นออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด
ฮั่วหลงเป็นกังวล “พระชายาขอรับ หากท่านเกิดอะไรขึ้น ข้าน้อยคงไม่อาจอธิบายกับท่านอ๋องได้แน่ขอรับ”
“หากเขาเกิดอะไรขึ้น ข้าก็ไม่มีหน้าไปอธิบายให้กับลูกชายของเขาได้เช่นกัน” ฉีเฟยอวิ๋นพูดอย่างโกรธเคือง จากนั้นฮั่วหลงจึงพูดไม่ออก หลังจากนั้นจึงเรียกคนบังคับรถม้าพาพวกเขาไปที่พื้นที่รกร้างตรงภูเขานั่น
พื้นที่ที่มีพืชพรรณเขียวชอุ่มและไม่มีการขาดแคลนน้ำ ความวิกฤตอันตรายภายในจะยิ่งมีมากขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นนำฉินฝูโยวลงจากรถม้าและสังเกตบริเวณรอบๆ เป็นสถานที่ที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มองออกไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“สถานที่กว้างใหญ่เช่นนี้ หนานกงเซวียนเหอมาที่นี่ทำไมหรือ?” ถึงแม้ฉีเฟยอวิ๋นจะมีความสงสัยนี้ แต่ในใจกลับรู้อย่างละเอียดชัดเจน
หนานกงเซวียนเหอต้องการกำจัดหนานกงเย่ที่นี่ และตั้งใจมาที่นี่เพื่อเป็นกับดักล่อหนานกงเย่
“พวกข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ข้าบอกนายท่านว่าอย่ามาหรือให้ข้ามาเอง แต่เขาไม่ยอมและพยายามมาให้ได้”
“จริงหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองฮั่วหลง “เราหาร่องรอยเบาะแสแถวนี้ เพื่อจะได้หาท่านอ๋องให้เจอ”
“ขอรับ”
ทั้งสองเริ่มค้นพบเบาะแสบริเวณโดยรอบทันที แต่บริเวณโดยรอบนั้นกว้างใหญ่เกินไป ทั้งสองไม่มีทางหาเจออย่างแน่นอน
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่พบร่องรอยเบาะแสอะไรบนพื้นเลย
วิชาตัวเบาของฮั่วหลงนั่นเยี่ยมยอด แต่เขาไม่อาจไปไกลจากฉีเฟยอวิ๋นได้
ทั้งสองค้นหาก็ไม่เร็วขึ้นเลย ฉีเฟยอวิ๋นรอไม่ไหวจึงเรียกเสี่ยวจินออกมา “เสี่ยวจิน เจ้าเรียกชื่อจินจื่อพวกเขาออกไปหาหน่อย”
เสี่ยวจินบินไปมาอยู่ในถุงหอมอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นบนพื้นก็เริ่มปรากฏชื่อจินจื่อ แต่ไม่นานชื่อจินจื่อก็หายไป
แต่เสี่ยวเฮยกลับออกมาจากถุงหอมและเกาะอยู่บนนั้น
ถึงแม้ว่าฮั่วหลงจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็สามารถรู้ได้ว่าพระชายาสามารถพูดคุยสื่อสารกับหนอนพิษกู่ได้
ฉีเฟยอวิ๋นรออยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานเสี่ยวเฮยก็ส่งเสียงร้องเรียก ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามไปทางที่เสี่ยวเฮยบอก แต่กลับพบทางลาดชันเมื่อมองลงไป ข้างล่างนั่นลึกจนมองไม่เห็นพื้น รวมไปถึงวัชพืชและต้นหญ้าต่างๆ ซึ่งไม่มีทางลงไปได้เลยและก็มองไม่ชัดเจนว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร ชื่อจินจื่อที่ออกไปตามหาก็กลับมา ต่างก็บอกว่ามาถึงตรงนี้ก็ไม่มีเบาะแสอื่นอีกเลย ฉะนั้นจึงไม่อาจแน่ใจว่าอยู่ข้างล่างหรือไม่
ฮั่วหลงต้องการลงไปแต่ถูกฉีเฟยอวิ๋นห้ามไว้ “ห้ามลงไป เจ้ากลับไปตามคนมา เราสองคนก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าอยู่ข้างล่างหรือไม่ หากไม่อยู่ข้างล่างจะทำอย่างไร? ถึงตอนนั้นคนที่จะลำบากก็คือพวกเรา หากเป็นเพียงกับดัก พวกเราจะต้องตาย ไปหาคนมาเยอะ”
“เช่นนั้นพระชายากลับไปกับข้า แล้วค่อยกลับมาพร้อมกัน” ฮั่วหลงไม่วางใจจึงต้องการให้ฉีเฟยอวิ๋นกลับไปด้วย
“ข้าไม่กลับไปกับเจ้า หากพวกเขาขึ้นมาจากตรงนี้ ข้าสามารถจัดการกับพวกเขาได้” ฉีเฟยอวิ๋นมีความมั่นใจ
ฮั่วหลงลังใจไม่กล้าตัดสินใจ “พระชายา……”
“เจ้าไปของเจ้าเถอะ ขอเพียงเจ้าไม่เกิดอะไรขึ้นก็พอแล้ว ข้าอยู่ตรงนี้รอดูพวกเขา หากพวกเขาปรากฏตัว ข้าก็สามารถจัดการพวกเขาได้ เจ้าจะยังกังวลอะไร?”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดโอ้อวดและฮั่วหลงเข้าใจ
ฮั่วหลงพูดย้ำซ้ำๆ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป เมื่อฮั่วหลงจากไป ฉีเฟยอวิ๋นรออยู่เกือบหนึ่งชั่วยาม จากนั้นจึงค่อยๆ ลงไปข้างล่าง
เมื่อลงมาถึงข้างล่าง
หนานกงเย่ถูกคนยืนรายล้อมเอาไว้ ข้างกายของเขามีเพียงสี่คนเท่านั้นที่มาด้วย อีกทั้งพวกเขาถูกบังคับให้มาที่นี่เป็นเวลาหนึ่งวันแล้ว หนานกงเซวียนเหอต้องการจะฆ่าหนานกงเย่จึงพาคนมาเป็นจำนวนกว่าห้าร้อยคน ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามา หนานกงเย่และคนของเขาที่ดูเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าดูเหมือนจะทนยืนต่อไปไม่ไหวแล้ว
ต่อให้แข็งแกร่งมากเพียงใด เสือที่แข็งแกร่งก็ไม่สามารถเอาชนะฝูงหมาป่าได้
ทั้งสี่แทบจะไม่ไหวแล้ว สองคนในนั้นกำลังมีเลือดออก
“ท่านอ๋องท่านไปก่อน ขึ้นไปข้างบน พวกข้าจะสกัดกั้นไว้” เฟยอิงพูดขึ้นมาอีกฝั่งหนึ่ง เขาเป็นคนรับหน้าที่ปกป้องและรับข้าวในครั้งนี้ เขาไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดจึงถูกวางกับดัก ต่อให้รอดตายออกไปจากที่นี่ได้ เขาจะต้องถูกตำหนิลงโทษและอาจถึงตายได้
หนานกงเย่เหลือบมองไหล่ของเฟยอิน จากนั้นจึงฉีกผ้าสายรัดเอวแล้วทำการห้ามเลือดให้กับเฟยอิง
เฟยอิงมองหนานกงเย่ด้วยความรู้สึกผิดในใจ เขาอยู่ปีกใต้มาหลายปี แต่เขาก็จงรักภักดีต่อหนานกงเย่ เพียงแต่ครั้งนี้ถูกกับดักเข้า เขากลับไปไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร อีกทั้งเขากลัวว่าหนานกงเย่จะไม่เชื่อเขา
แต่ตอนนี้……
“ข้าไม่อาจทิ้งพวกเจ้าไว้เช่นนี้ได้” หนานกงเย่เหลือบมองคนที่เข้ามาใหม่สิบกว่าคน “ทุกคนขึ้นไปข้างพร้อมกัน พวกเขาจะต้องมาจับข้าก่อน พวกเจ้าขึ้นไปก่อนหนึ่งคน สามารถรอดไปได้หนึ่งคนก็คือหนึ่งคน ข้ามีวิธีหลบหนีของข้า”