องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 79 สายสัมพันธ์พ่อลูก
บทที่ 79 สายสัมพันธ์พ่อลูก
ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ซึ่งกำลังอ่านรายการบัญชีอย่างแปลกใจเล็กน้อย เขายังคงอ่านรายการบัญชีราวกับว่าเหลือหนังสืออยู่เพียงเล่มเดียว ทั้งยังอ่านอย่างใจจดใจจ่อเสียด้วย
คนอื่นๆ ต่างมองมาที่นาง มีเพียงหนานกงเย่ผู้เดียวที่มองบัญชีในมือของเขา
ฉีเฟยอวิ๋นรอให้เขาเงยหน้าขึ้นมาแต่สุดท้ายเขาก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาเสียที
ฉีเฟยอวิ๋นจึงทำได้เพียงต้องเดินตามออกไปข้างนอก หลังจากที่นางหันไป หนานกงเย่จึงค่อยๆ เงยหน้ามองแผ่นหลังของนาง นอกจากนี้ยังมองเข้าไปในม่านอย่างแปลกใจ แต่ในม่านไม่มีใครอยู่เลยนอกจากลูกชายของหมอในจวนผู้นั้น
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นออกมาข้างนอกจึงเห็นว่าหมอในจวนอยู่ตรงกำแพงและกำลังจะปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่ยืนต้นตาย
ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นพยานได้ว่าหัวใจของคนเป็นพ่อแม่นั้นมั่นคง แต่หัวใจของผู้เป็นลูกอาจจะไหวหวั่น!
การล้มตายถึงจะเป็นความผิดของสุนัขตัวหนึ่งก็จริง แต่เมื่อคนเราตกอยู่ในความสิ้นหวังและความโกรธ การตัดสินใจทำอะไรสักอย่างจึงมักจะเป็นไปอย่างไร้เหตุผล
หมอประจำจวนร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่น จอนผมถูกย้อมไปด้วยสีขาว
ลูกชายของเขาเพิ่งจะอายุแค่สิบแปดปี ถ้าดูจากที่เห็น อย่างมากเขาก็น่าจะอายุแค่สี่สิบกว่าๆ เท่านั้น คนสมัยโบราณแต่งงานกันเร็วและเป็นไปได้ที่จะแต่งงานตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น พอแก่ตัวมาก็กลายมาเป็นแบบนี้
ถ้าเขายังไม่หมดแรงกายแรงใจ เขาคงจะไม่รีบขึ้นไปข้างบนเพื่อฆ่าตัวตายเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของนาง
แต่ผู้เป็นลูกชายทรมานผู้เป็นพ่ออย่างไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจมานานมาก ที่เห็นคือลูกๆ และพ่อแม่ ใครที่ทุ่มเทความรักให้มากกว่ากัน!
ในเวลานั้นเอง อาอวี่พาคนกลับมา ฉีเฟยอวิ๋นกระซิบที่ข้างหูของอาอวี่และอาอวี่ก็พยักหน้าก่อนจะถอยกลับไป
“ลูกเอ๋ย ทั้งหมดเป็นความผิดของพ่อ พ่อจะชดใช้ให้เจ้าด้วยชีวิต เจ้าจะต้องมีชีวิตที่ดี” หมอในจวนร้องไห้ไปปีนต้นไม้ไป
ที่จวนอ๋องเย่ ทุกคนต่างเกลียดชังฉีเฟยอวิ๋น ยากมากกว่าจะได้มีคืนวันอันสงบสุข ทว่าตอนนี้กลับถูกทำจนกลับมาเลวร้ายอีกครั้ง
ทันทีที่พ่อบ้านชราเห็นว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคน เขาจึงรีบกลับไปแจ้งให้หนานกงเย่ทราบ
“ท่านอ๋อง ท่านรีบไปดูเถิดขอรับ พระชายาบ้าไปแล้ว”
หนานกงเย่ชายตาขึ้นและวางสมุดบัญชีเล่มสุดท้ายลง มีคนกำลังยุ่งอยู่กับการจัดเก็บกล่อง หนานกงเย่ลุกขึ้นและเอ่ยว่า “หมอในจวนคนหนึ่งตายไปก็มาหาข้า ข้าเหนื่อยไม่เป็นงั้นหรือ!”
“คือ?”
พ่อบ้านไม่เข้าใจ ท่านอ๋องน่ะหรือจะพูดแบบนี้?
ปกติหากพระชายาก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้นางจะต้องถูกลงโทษขั้นเด็ดขาด ยิ่งโทษเช่นนี้ยิ่งไม่เคยพบเจอ ไม่ควรพูดเลยว่าให้ปล่อยมันไป
เหตุใดวันนี้เขาจึงพูดอย่างนั้น
พ่อบ้านไม่เข้าใจเหตุผล และหนานกงเย่ก็เดินออกไปอย่างผึ่งผาย
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้ามองไปบนต้นไม้ ตะโกนออกไปว่า “คนที่อยู่ข้างล่างน่ะ หลบไปก่อน จะได้ไม่ขวางจนหมอประจำจวนตกลงมาแล้วไม่ตาย ต้องกลับขึ้นไปกระโดดลงมาใหม่อีก!”
“……”
หนานกงเย่เพิ่งออกมาจากห้องโถงด้านหน้าและได้ยินสิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นพูด จึงอดมองไปทางนางไม่ได้
ในตอนนี้สีหน้าของฉีเฟยอวิ๋นดูจริงจังแตกต่างจากรูปโฉมอันงดงามเพียบพร้อมที่เห็นจากภายนอกเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของนางแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เมื่อหนานกงเย่หันไปและเงยหน้ามองตามสายตาของฉีเฟยอวิ๋น เขาจึงเห็นว่าหมอประจำจวนปีนขึ้นไปถึงยอดไม้แล้ว เดิมทีไม้บนยอดไม้ก็ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อผ่านสายลมแห่งสารทและเหมันตฤดูก็ยิ่งพังทลายลงมาได้โดยง่าย หมอประจำจวนอาจจะตกลงมาเมื่อไหร่ก็ได้
หนานกงเย่ขมวดคิ้ว เขาอดไม่ได้ที่จะเดินไปยืนเคียงข้างฉีเฟยอวิ๋นจนรับรู้ได้ถึงกลิ่นกายของนาง เขาก้มหน้าลงและถามว่า “พระชายาคิดจะทำให้ลานของข้าสกปรก แล้วจะทำความสะอาดด้วยตนเองงั้นหรือ”
ฉีเฟยอวิ๋นตกใจจนสะดุ้ง จากนั้นจึงหันกลับไปมอง “ทะ… ท่านอ๋อง”
หนานกงเย่ไม่สนใจและเงยหน้าขึ้นมองข้างบน “ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ”
ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นค่อยๆ แดงก่ำ เอ่ยอย่างเขินอายว่า “ท่านอ๋องช่างฉลาดปราดเปรื่อง ไม่เคยซ่อนเรื่องเช่นนี้จากสายตาอันคมกริบของท่านอ๋องได้เลย”
เมื่อถูกเปิดเผยแล้วก็ไม่มีอะไรจะต้องพูดอีก หลายๆ คนที่อยู่ในจวนท่านอ๋องเย่มองไม่ออกแต่หนานกงเย่กลับมองออก นับว่าน่าทึ่งมาก!
“ข้าอยากรู้ว่าพระชายามองออกได้อย่างไร เมื่อคิดว่าหมอในจวนผู้นั้นเชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์ ถ้าไม่ใช่เพราะเที่ยวเสาะหาหมอที่มีชื่อเสียงจากทุกแขนง ก็คงไม่พาเข้ามาในจวนให้ต้องขายหน้า”
หนานกงเย่เอามือไพล่หลัง สายตาของเขาเย็นชา
ฉีเฟยอวิ๋นกลัวว่าจะถูกสังเกตเห็น เรื่องเลือดกลายเป็นปัญหาใหญ่ไปแล้ว ถ้าคนอื่นรู้ว่านางมองทะลุร่างกายของผู้อื่นได้ การใช้ชีวิตของนางต้องจะยิ่งลำบากแน่ๆ
ด้วยเหตุนี้ฉีเฟยอวิ๋นจึงเอ่ยอย่างลุกลี้ลุกลนว่า “ข้าก็แค่ลองดูเท่านั้น เมื่อเห็นว่าเขายังตอบสนองจึงพอเดาได้”
“อืม”
หนานกงเย่ไม่แสดงความเห็นและไม่ได้พูดอะไรอีก
หมอประจำจวนตะโกนลงมาจากต้นไม้ว่า “พ่อลาก่อนนะ ลูกเอ๋ย”
ว่าแล้วก็ปล่อยมือและกระโดดลงมาจากต้นไม้ ผู้ที่อยู่ข้างล่างกรีดร้องออกมาอย่างตกใจและกลัวจนไม่กล้ามอง
ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ใจหายวูบเพราะกลัวว่าความหวังดีจะทำให้เกิดเรื่องเลวร้าย ถ้าหากอาอวี่รับไว้ไม่ได้จนเขาตกลงมาตายจริงๆ นั่นหมายถึงชีวิตทั้งชีวิต
ร่างร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างรวดเร็วและคว้าเอวของหมอประจำจวนเอาไว้
หมอประจำจวนตกใจจนตาเหลือก ร่างกายสั่นสะท้าน
เมื่ออาอวี่ลงมาบนพื้นอย่างปลอดภัย ฉีเฟยอวิ๋นจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หนานกงเย่หันไปมองฉีเฟยอวิ๋นและตกอยู่ในภวังค์อย่างห้ามไม่อยู่
เหตุใดก่อนหน้านี้เขาจึงไม่สังเกตว่าหน้าตาของนางก็ดูใช้ได้
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังออกมาจากห้องโถงด้านหน้า “ท่านพ่อ!”
มีเสียงร้องไห้ดังออกมาจากห้องโถงด้านหน้า เมื่อฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมองจึงเห็นเด็กหนุ่มถลันออกมาจากห้องโถง
“ทะ… ท่านพ่อ…”
เมื่อเด็กหนุ่มวิ่งออกมาแล้วตะโกนเรียกหาพ่อ ฉีเฟยอวิ๋นจึงหันหลังและเดินจากไป เรื่องราวลุล่วงไปแล้วและไม่มีอะไรต้องกังวลอีก
เมื่อเข้ามาในห้องโถงด้านหน้า ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ยินเสียงอันวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายนอก พ่อลูกต่างพากันร้องห่มร้องไห้
ราวกับพ่อลูกที่ได้มาเจอกันอีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอกันมาหลายปี
นางเริ่มสาละวนอยู่กับงานหลังจากเข้ามาข้างใน
หนานกงเย่เปิดม่านออกและเข้ามาข้างใน เห็นฉีเฟยอวิ๋นกำลังนำกลีบดอกไม้สดมาใส่รวมกัน จากนั้นจึงเริ่มใช้ครกหินสำหรับบดยาค่อยๆ บดรวมกัน พร้อมกันนั้นก็ใส่ผงบางอย่างลงไป ดูตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ
หนานกงเย่เดินไปยืนข้างๆ ฉีเฟยอวิ๋นและได้กลิ่นหอมอบอวลของดอกไม้
ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่และรู้สึกตัวขึ้นมา “ท่านอ๋อง”
หนานกงเย่เหลือบมองของในกระบอกยาของฉีเฟยอวิ๋นด้วยสายตาที่เรียบเฉย “อะไรรึ”
“สีผึ้งกุหลาบเจ้าค่ะ” ฉีเฟยอวิ๋นคิดชื่อดีๆ ไม่ออก จึงเรียกออกไปอย่างนั้นเพราะใช้ดอกกุหลาบเป็นส่วนผสมค่อนข้างเยอะ
หนานกงเย่ถามว่า “ทาหน้าได้หรือไม่”
“อื้อ”
ฉีเฟยอวิ๋นกลับไปสาละวนอยู่กับงาน หนานกงเย่ไม่กวนและยืนดูอยู่ข้างๆ
มีเสียงเอะอะดังมาจากข้างนอก หลังจากนั้นไม่นานหมอในจวนก็พาลูกชายเข้ามาข้างใน พอเข้ามาแล้วเขาก็รีบคุกเข่าลงทันที
“ข้าน้อยขอขอบพระคุณพระชายาอย่างสุดซึ้ง พระชายา…”
หมอประจำจวนเงยหน้ามอง เมื่อเห็นว่าหนานกงเย่อยู่ด้วยจึงรีบคารวะ
“ข้าน้อยคารวะท่านอ๋อง”
เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ รีบคุกเข่าลง “คารวะท่านอ๋อง”
หนานกงเย่เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นนิดหนึ่ง จากนั้นจึงก้าวออกไปข้างนอกอย่างไม่ใส่ใจ
ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ไม่ได้สนใจพวกเขามากนัก นางยังมีงานที่ต้องทำและอยากจะทำสิ่งนี้ให้เสร็จภายในคราวเดียว นางเองก็อยากจะพักผ่อน แต่จะปล่อยให้สิ่งที่ทำอยู่ค้างคาไม่ได้
“เป็นพ่อลูกกันย่อมมีการกระทบกระทั่ง ถ้าพวกท่านรู้จักรักและทะนุถนอมก็ควรอภัยให้กันและกัน มองในมุมมองของอีกฝ่าย ที่ลูกชายอยากจะออกไปในที่ที่ห่างไกลก็ไม่ผิดอะไร ลูกผู้ชายที่ดีย่อมมีความทะเยอทะยานและมีปณิธานอันแรงกล้า เมื่อออกไปเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น นั่นแหละจึงจะรับรู้ถึงความดีของพ่อแม่ การออกไปอยู่ข้างนอกไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีที่ไหนจะดีไปกว่าบ้านอีกแล้ว ต่อให้จิบน้ำลงไปเจ้าคงไม่รู้ว่ามันร้อนหรือเย็น
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าที่ควรจะรู้ก็คือ พ่อแม่ไม่ได้มีชีวิตนิรันดร์ ลูกอยากจะเลี้ยงดูพ่อแม่ แต่พ่อแม่อาจจะรอจนถึงวันนั้นไม่ไหว เมื่อพ่อแม่ของเจ้าไม่อยู่แล้วเจ้าจึงจะรู้ว่าพวกท่านดีแค่ไหน
สิ่งที่หมอประจำจวนคิดก็ถูกเรื่องการซื้ออนาคตที่ดีให้ลูก จะมีใครที่ไหนที่ดูแลเขาได้ดีกว่าท่าน ต่อให้อยู่กับอาจารย์ท่านอื่น อาจารย์เหล่านั้นอาจจะพูดจาบาดหูหากไม่ถูกใจ แต่ท่านไม่ใช่
เพียงแต่เขาเป็นห่านป่าที่อยากจะโบยบิน ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องจากท่านไป หากเอาแต่ดูแลและเก็บเขาไว้ข้างกาย ในภายภาคหน้าจะมีอนาคตอะไร
หากได้ออกไปเปิดหูเปิดตาในโลกกว้าง เมื่อกลับมาเขาจะต้องได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน มีหรือที่ท่านจะไม่ปลื้มใจ”
หนานกงเย่ที่ยืนอยู่ข้างนอกขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นพูด เขาหันกลับมามองในม่านและตกอยู่ในภวังค์
**********************