องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 793 ซุ่มโจมตี
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 793 ซุ่มโจมตี
ตอนที่หนานกงเซวียนเหอเดินออกไปได้หันกลับไปมองฉีเฟยอวิ๋น “เจ้าไม่เสียใจทีหลังหรือ?”
“ข้าก็อยากจะรู้ว่าเจ้าจะพูดเรื่องนี้ออกไปหรือไม่” ฉีเฟยอวิ๋นไปนอน เธอรู้สึกเหนื่อยมาก ความรู้สึกของการมาประจำเดือนนั้นทำให้เธอแทบไม่กล้านั่งลง ความรู้สึกเช่นนั้นช่างทรมาน และตอนนั้นเธอสามารถนอนลง สำหรับเธอแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว
หนานกงเซวียนเหอออกจากกระโจมและไปพักผ่อน เมื่อนอนลงไปก็มองไปที่เงินตำลึงที่ฉีเฟยอวิ๋นให้กับเขาและรู้สึกน่าขบขัน
เฟยอิงรู้สึกประหลาดใจ “เจ้าหัวเราะอะไร?”
“อยู่ๆ ก็ได้เงินตำเงินมาอย่างง่ายดาย จะไม่ให้ข้ายิ้มหรือ?”
อาเซี่ยวทำสีหน้าไม่เข้าใจว่าทำไมนายท่านถึงให้ความสนใจกับเหรียญตำลึงนั่น
หลังจากนั้นหลายวัน ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ค่อยจะออกไปข้างนอก มีบางครั้งที่ออกไปเดินยืดเส้นยืดสายใกล้ๆ ไม่ไกลนัก มีบางครั้งก็รู้สึกง่วง จึงยืนอยู่บนยอดเขาเพื่อมองลงไปข้างล่างและคิดว่าเมื่อไรหนานกงเย่จะมาเสียที
หน้าไม้เหล็กออกมามากขึ้นเรื่อยๆ หนานกงเซวียนเหอไม่จำเป็นต้องเฝ้าคนเหล่านั้นเลย
มีคนขึ้นมาบนเขาอีกจำนวนมาก และเริ่มทำการก่อสร้างบ้านเรือนบนเขา
“เฟยอิงและอาเซี่ยวอยู่ที่นี่ ข้าจะออกไปข้างนอก” หนานกงเซวียนเหอปลอมตัวออกมาในตอนเช้า อันที่จริงใบหน้าของเขาไม่ได้ใส่หน้ากาก เพียงใช้ใบหน้าของคนนอกก็คือใบหน้าที่แท้จริง และมีเพียงแค่อาเซี่ยวและเฟยอิงเท่านั้นที่เคยเห็นเพียงไม่กี่ครั้ง
“ข้าจะติดตามพระชายาไปด้วย” เฟยอิงไม่ยอมให้ฉีเฟยอวิ๋นไปกับหนานกงเซวียนเหอ
หนานกงเซวียนเหอหันกลับมา “หากเจ้าสามารถตัดสินใจได้ เจ้าคงไปต้องไปตั้งนานแล้ว ข้าให้สัญญาว่านางจะไม่เป็นอะไร ทางที่ดีเจ้าก็อย่าก่อเรื่องขึ้น”
“เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าหรือ?” เฟยอิงสีหน้าไม่พอใจและพยายามเข้าใกล้
หนานกงเซวียนเหอสีหน้าเคร่งขรึม “ทางที่ดีเจ้าควรถอยไป”
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองเฟยอิง “เจ้าอยู่ที่นี่เถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นเตรียมตัวที่จะออกเดินทาง จากนั้นเฟยอิงจึงติดตามไป หนานกงเซวียนเหอเหลือบมองขาของเฟยอิง “แผลของเจ้า เจ้าจะลงไปได้หรือ?”
“……” เฟยอิงก้มลงมอง เขาไม่ยอมแต่กลับลงไปด้วยไม่ได้
จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงพูดขึ้นมา “เจ้าอยู่ที่นี่เถอะ”
จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงหันหลังกลับและเดินตามหนานกงเซวียนเหอลงเขาไป
เส้นทางบนเขานั้นเดินค่อนข้างลำบากบวกกับมีฝนตกจึงทำให้เดินลำบากยิ่งขึ้น คนที่อยู่บนภูเขาก็ไม่เคยลงไป จึงทำให้ยิ่งเดินยากไปกันใหญ่
เมื่อเดินลงมาถึงข้างล่าง ฉีเฟยอวิ๋นก็เดินตามเข้าไปในหมู่บ้าน หนานกงเซวียนเหอพูดหยอก “ดูไม่ออกว่าเจ้าจะแข็งแรงเช่นนี้ เดิมทีข้าคิดว่าข้าต้องให้เจ้าขี่หลังลงมา ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเดินลงมาเองได้ ยังเดินไหวอีกไหม?”
“เจ้าไม่ต้องสนใจข้า หากข้ามีอะไรข้าจะบอกเจ้าเอง”
หนานกงเซวียนเหอเข้าไปในหมู่บ้าน เมื่อเดินเข้าไปก็หาเสื้อหาเพื่อเปลี่ยน ทั้งสองปลอมตัวเข้าไปในคูเมืองของเมืองอู๋โยว นี่คือดินแดนที่ห่างไกลจากเมืองหลวงของเมืองอู๋โยว ทั้งสองเดินผ่านฝูงชน จากนั้นจึงไปที่บ้านของหนานกงเซวียนเหอก่อน
เมื่อเข้าไปในบ้าน ทั้งสองใช้เวลาพักผ่อนสองชั่วยามจากนั้นจึงออกไปข้างนอกในตอนกลางคืน
ในเมืองมีโรงเหล้าหนึ่งแห่ง ทั้งสองไปที่นั่นเพื่อจัดการธุระ
โรงเหล้าเปิดทำการแล้วและตอนนี้ก็มีคนรออยู่ในโรงเหล้า เมื่อเดินเข้าไปฉีเฟยอวิ๋นถึงกับตกตะลึง ที่แท้ก็คือจวินโม่ซ่าง
ในมือของจวินโม่ซ่างถือพัดอยู่ และเขายังเป็นเช่นนั้น ชอบใช้พัดโบกไปมา
ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้ว จวินโม่ซ่างขึ้นครองราชบัลลังก์ไปแล้วไม่ใช่หรือ?
ทำไมถึงอยู่ที่นี่?
“คุณชายจวินรอนานแล้วใช่ไหม” หนานกงเซวียนเหอเดินเข้าไปและยกสองมือขึ้น จวินโม่ซ่างลุกขึ้นยืนและสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงแสดงสีหน้าไม่พอใจนัก
“เจ้ามาถึงนี่แล้ว ในเมื่อต้องการให้ร่วมมือด้วย เช่นนั้นทำไมยังต้องปิดบังใบหน้าอีกหรือ?” จวินโม่ซ่างพูดออกมาอย่างไม่พอใจนัก
หนานกงเซวียนเหอหัวเราะ “ปิดบังตัวเสัยหน่อย จะได้ไม่เกิดเรื่องขึ้น ช่วงนี้ข้าได้มีปัญหากับหนานกงเย่ เขากำลังหาตัวข้าให้ทั่ว”
“ได้ยินมาว่าเจ้าลักพาตัวพระชายาของเขาไปหรือ?” จวินโม่ซ่างได้รับข่าวนี้ว่าฉีเฟยอวิ๋นตกอยู่ในกำมือของหนานกงเซวียนเหอ วันนี้เขาจึงมาเพราะเรื่องนี้ ผู้หญิงคนนั้นก็ช่างโง่นัก อยู่บ้านดีๆ ก็ถูกลักพาตัวได้ สมองเช่นนี้ไม่ใช่โง่เขลาธรรมดาเสียเลย
หนานกงเย่ยิ่งไร้ประโยชน์ ภรรยาทั้งคนกลับทำหายได้
จวินโม่ซ่างไม่สนใจที่จะร่วมมือกับหนานกงเซวียนเหอ หนานกงเซวียนเหอได้ติดต่อเขาไปหลายครั้งแล้ว แต่เขาไม่เคยตอบตกลงเลย การพบกันในครั้งนี้จุดประสงค์เดียวก็คือ ฉีเฟยอวิ๋น
“ข่าวสารของคุณชายจวินช่างแม่นยำนัก”
หนานกงเซวียนเหอนั่งลงและเหลือบมองถังหลง จากนั้นจึงสังเกตภายในห้องและกล่าวขึ้นมา “เรื่องที่ข้าพูดกับคุณชายจวินไป ไม่รู้ว่าคุณชายจวินคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าต้องการให้ข้าแบ่งที่ดินให้กับเจ้า และเจ้าจะยอมจ่ายภาษีให้ทุกปี หวังว่าข้าจะรับเจ้าไว้ ทำไมข้าต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ? เพราะเงินหรือ? เจ้าคิดว่าข้าคือเมืองต้าเหลียงหรือ? ว่าขาดแคลนเงิน?”
จวินโม่ซ่างพูดเช่นนี้ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเย็นยะเยือก ตอนนี้อาณาจักรโดยรอบมีเพียงสี่อาณาจักรที่เป็นอาณาจักรใหญ่และยังมีพลังอำนาจมาก แต่ได้ยินมาว่าสามอาณาจักรที่เหลือกลับไม่เห็นเมืองต้าเหลียงอยู่ในสายตา หากไม่ใช่เป็นเพราะเมืองต้าเหลียงมีประชาชนจำนวนมาก เกรงว่าคงจะถูกบุกรุกโจมตีจากพวกเขาไปนานแล้ว
เมืองอู๋โยวก็ไม่มีอะไรดี แต่กลับดูถูกเมืองต้าเหลียงเช่นนี้ เขาก็เป็นแม่ทัพผู้พ่ายแพ้ของเมืองต้าเหลียง แต่กลับเย่อหยิ่งดูถูกเมืองต้าเหลียงเช่นนี้
แม่ทัพผู้พ่ายแพ้เพียงคนเดียว ช่างน่าเวทนา……
คนรวยก็คือคนรวย
ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่อีกด้านหนึ่งอย่างเฉยเมย หนานกงเซวียนเหอหัวเราะ “แม้จะพูดไปเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไรเมืองอู๋โยวก็ได้เปิดประตูการค้า นี่คือสิ่งที่ทุกคนต่างรับรู้กันดี จะบอกว่าข้ามาแล้ว ประตูนี้ก็จะไม่เปิดออกแล้วอย่างนั้นหรือ ข้าเพียงแค่บอกกับเจ้าไว้ล่วงหน้า หากไม่ไม่บอกอะไรเลย เช่นนั้นข้าก็สามารถตั้งหลักในเมืองอู๋โยวได้อย่างสบาย
อย่างน้อยข้าสัญญาได้ ข้าเพียงแค่อยู่ที่นี่ชั่วคราวเท่านั้น รอให้ข้าเก็บเกี่ยวความสามารถของข้าเต็มที่แล้วเช่นนั้นข้าก็จะจากไปเอง และไม่ส่งผลกระทบกับพวกเจ้า
เมืองอู๋โยวนั้นร่ำรวยเงินทอง แต่ก็ถือเป็นเมืองที่ด้อยกว่าเมืองต้าเหลียง หนานกงเย่ใช้เวลาเพียงสองเดือนก็สามารถเอาชนะเมืองอู๋โยวของเจ้าได้ อันที่จริงข้าก็สามารถทำได้
หากคุณชายจวินไม่ตอบตกลงที่จะร่วมมือกัน เช่นนั้นข้าก็ไม่อาจให้สัญญาได้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับเมืองอู๋โยว
ในเมื่อไม่ใช่เพื่อน เช่นนั้นก็คือศัตรู”
“นั่นก็ไม่แน่เสมอไป”
จวินโม่ซ่างกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาโบกพัดเบาๆ จากนั้นมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นที่ยืนอยู่ตรงข้ามและมองอย่างละเอียด จวินโม่ซ่างหันไปมองหนานกงเซวียนเหอ “เจ้าไม่ตกลงที่จะร่วมมือกับเจ้า และไม่ต้องการความร่วมมือเช่นนี้ แต่หากเจ้ายอมมอบฉีเฟยอวิ๋นให้กับข้า เช่นนั้นข้าก็สามารถให้เจ้าอยู่ที่เมืองอู๋โยวต่อไปได้”
“ข้าได้ส่งนางกลับไปแล้ว ตอนนี้ไม่สามารถให้เจ้าได้ ฉะนั้นเจ้าล้มเลิกความคิดนี้เสียเถอะ ส่วนเรื่องการร่วมมือนั้น ข้าจะไม่ลืมตอบแทนเจ้าเลย พรมแดนของเมืองอู๋โยวนั้นอยู่ใกล้กับปีกใต้ เพียงแค่เจ้าให้ข้าอยู่ที่นี่ ความสัมพันธ์ของเราคือร่วมมือกัน หากปีกใต้มีความเคลื่อนไหวอะไร ข้าก็สามารถรายงานให้เจ้ารู้ก่อนได้”
“ปีกใต้เป็นเพื่อนบ้านกับข้า เรื่องนี้ไม่จำเป็น” จวินโม่ซ่างลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู “ในเมื่อไม่ยอมมอบตัวนางมา เช่นนั้นข้าก็ไม่อยากร่วมมือกับเจ้า เช่นนั้นเจ้าไปเสียเถอะ ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับเจ้า หากเจ้าเพียงแต่ทำธุรกิจการค้ากับเมืองอู๋โยว เช่นนั้นก็ไม่มีอะไร แต่หากเจ้าทำอย่างอื่นที่เมืองอู๋โยวของข้า เช่นนั้นเจ้าก็ไสหัวไปเสียเถอะ”
จวินโม่ซ่างเดินออกไปและถังหลงก็ติดตามออกไป เมื่อประตูถูกปิดลงหนานกงเซวียนเหอได้แต่หัวเราะออกมา จากนั้นจึงลุกขึ้นและพาฉีเฟยอวิ๋นลงไปข้างล่าง แต่เมื่อทั้งสองเพิ่งจะออกไปก็ถูกคนจำนวนหนึ่งขวางไว้ คนที่มามีจำนวนประมาณห้าสิบถึงหกสิบคน ล้วนสวมใส่ชุดสีดำ จวินโม่ซ่างยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ในมือถือพัดและโบกไปมาเบาๆ
ซูมู่หรงยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง สวมชุดสีม่วงและคาดเข็มขัดไว้ที่เอว เขาเผยให้เห็นใบหน้าและขณะนี้กำลังยืนตรงมือไพล่หลังด้วยสายตาที่เย็นชา
“ปีกใต้ของข้าและเมืองอู๋โยวไม่มีทางทำสงครามกัน แต่เจ้า หนานกงเซวียนเหอ มอบตัวนางมาเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้า!”
ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจ ไม่คิดเลยว่าซูมู่หรงจะปรากฏตัวมาถึงก่อน!