องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 8 เกิดเรื่องขึ้นกับฝ่าบาท
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 8 เกิดเรื่องขึ้นกับฝ่าบาท
บทที่ 8 เกิดเรื่องกับฝ่าบาท
“ฝ่าบาททรงมีรับสั่ง ให้พระชายาตวน พระชายาเย่เข้าเฝ้า” กงกงเรียกเสียงสูง นายพลฉีเริ่มเป็นกังวล จูงมือฉีเฟยอวิ๋นไว้พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “อย่ากลัวไปลูกสาวข้า พ่อจะเข้าไปกับเจ้าเอง”
“ท่านพ่อ ข้าไม่กลัวเลย ท่านรออยู่นี่ อีกเดียวข้าก็ออกมาแล้ว”
แต่นายพลฉีที่เป็นห่วงมาก ฉีเฟยอวิ๋นจึงพูดปลอบใจไป
นายพลฉีมองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล : “เกิดเรื่องอะไรขึ้นให้รีบเรียกพ่อ พ่อจะไปหาเจ้าทันที”
“เจ้าค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นปล่อยมือของนายพลฉีแล้วเดินเข้าไป พระสนมทั้งสองเดินเข้าประตูไปพร้อมกัน ทั้งคู่รับคำสั่งและเดินอย่างเสมอกัน
เมื่อถึงกลางพระตำหนักเฟิ่งอี๋ ทั้งสองก็คุกเข่าลง ตอนนี้เองฉีเฟยอวิ๋นเพิ่งรู้ว่าในพระตำหนักเฟิ่งอี๋นอกจากองค์จักรพรรดิและฮองเฮาแล้ว ยังมีผู้อื่นอีกสองคน
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท ฮองเฮาเพคะ”
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท ฮองเฮาเพคะ”
“ลุกขึ้นเถิด” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ส่งตรัสขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นและจวินฉูฉู่ก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน
ทั้งคู่เงยหน้ามองไปยังด้านหน้า และแยกย้ายไปนั่งด้านข้างของท่านอ๋องเย่ หนานกงเย่และท่านอ๋องตวน หนานกงเหยี่ยน
ทั้งคู่เหมือนกับคนที่อยู่ท่ามกลางพายุมังกร ทั้งหนุ่มและหน้าตาหล่อเหลาสง่างาม
ทั้งคู่แตกต่างเพียงชุดที่ใส่สีดำและสีม่วง แต่สวมมงกุฎทองคำเก้ามังกรคาบไข่มุกเหมือนกัน อันหลิงอวิ๋นเห็นแบบนี้เป็นครั้งแรก แววตาของหนานกงเย่ลุ่มลึกเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
สายตาของเขาในตอนนี้จับจ้องไปที่จวินฉูฉู่อย่างไม่ต้องสงสัย และจวินฉูฉู่เองก็แอบมองหนานกงเย่เป็นพักๆ ถึงแม้ว่าจะปกปิดได้แนบเนียนแค่ไหน แต่สีหน้าที่เยือกเย็นและร่างกายที่แข็งทื่อของเขานั่น ก็ถูกฉีเฟยอวิ๋นเห็นเข้า
คณานับวีรบุรุษ กล่าวพูดถึงวีรบุรุษ วีรบุรุษไม่สามารถหลบหนีความงามของบรรพต คงคา และสตรีได้ ความงามของบรรพต คงคา และสตรีของหนานกงเย่ได้ถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของเจ้าของร่างเดิม
ถ้าหนานกงเย่ไม่เกลียดก็แปลกแล้ว
แต่เจ้าของร่างเดิมก็หาเรื่องใส่ตัวเสียจริง
ไปหาเรื่องใครไว้ ความซวยมาเยือนถึงบ้านตลอด!
“วันนี้ที่เรียกพวกเจ้าเขาวังก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่ฮองเฮารู้สึกเหงา จึงเรียกพวกเจ้ามาอยู่เป็นเพื่อน” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ
“เพคะ”
จวินฉูฉู่ก้มหน้ารับคำสั่งด้วยความเคารพ ฉีเฟยอวิ๋นจึงรีบตอบพร้อมนางด้วย
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ดูไม่ได้แย่ขนาดนั้น อย่างน้อยสีพระพักตร์ก็ยังดีอยู่ ถ้าหากไม่ใช่เรื่องน่าอายพวกนั้นส่งผลเสียต่อสีพระพักตร์ ก็คงจะไม่เป็นไร
“พวกเจ้ามาเถอะ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงลุกขึ้นแล้วเดินไปด้านหลัง ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามจวินฉูฉู่ไปเข้าเฝ้าฮองเฮา
ก่อนจะจากไปฉีเฟยอวิ๋นตั้งใจหันไปมองหนานกงเย่อยู่ครั้งหนึ่ง เขาคงจะเจ็บปวดมาก ใบหน้านั้นแข็งทื่อไม่ไหวติงเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเข้าไปถึงภายในพระตำหนักเฟิ่งอี๋แล้ว ฉีเฟยอวิ๋นและจวินฉูฉู่นั่งลงทีละคนตามลำดับ ฮองเฮาทรงตรัสขึ้นว่า : “ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามา ก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใด แค่เพียงอยากจะถามพวกเจ้า เรื่องการสืบทอดสายพระโลหิต พวกเจ้าก็รู้ดีอยู่แล้ว ว่าองค์ราชทายาทร่างกายบอบบาง องค์จักรพรรดิมีความประสงค์ให้เลือกตัวแทนระหว่างหนานกงเย่และหนานกงเหยี่ยนมารับตำแหน่งมกุฎราชกุมารเพื่อสืบทอดบัลลังก์”
“เรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก ฉูฉู่มิบังอาจออกความเห็นเพคะ” จวินฉูฉู่หัวใจสั่นสะท้านไปหมด แต่ก็เก็บสีหน้าหมดจดไม่แสดงอาการใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่หน้าแดงเล็กน้อย ก้มหน้าเงียบและไม่พูดอะไรอีก
ฉีเฟยอวิ๋นเงียบไม่ได้พูดอะไรออกมา ยังคงไม่เข้าใจถึงความประสงค์ที่แท้จริงของฮองเฮา แต่เรื่องที่ฮองเฮาไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ นางเองรู้ตั้งนานแล้ว งั้นวันนี้เรียกนางมาเพราะ?
เมื่อเข้าใจแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็นึกขำ นี่มันคือแผนการของพระราชวังนี่นา
“กราบทูลฮองเฮา หลิงอวิ๋นมีโรคทางร่างกาย มิสามารถให้กำเนิดบุตรได้ เชิญฮองเฮาเป็นผู้ตัดสิน อนุญาตให้หลิงอวิ๋นหย่ากับท่านอ๋องเย่หรือไม่เพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นลุงขึ้นจากที่นั่งแล้วคุกเข่าลงกับพื้น จวินฉูฉู่อึ้งไปชั่วขณะ มองไปที่ฮองเฮาด้วยความแปลกใจ
เวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ที่ให้จวินฉูฉู่เข้ามาด้วย ก็เพื่อให้ประจักษ์เป็นพยาน ว่าฉีเฟยอวิ๋นต้องการหย่าด้วยเอง
“หลิงอวิ๋น เจ้าลุกขึ้นก่อน เรื่องนี้สำคัญมาก ต้องค่อยๆ ปรึกษากันให้ดีก่อน ข้าตัดสินใจแทนเจ้าไม่ได้ ข้าว่าเจ้าออกไปทูลองค์จักรพรรดิดีกว่า และเรื่องนี้ต้องให้อ๋องเย่ยินยอมถึงจะถูก”
ฮองเฮามองไปยังจวินฉูฉู่ จวินฉูฉู่เข้าประคองฉีเฟยอวิ๋นยืนขึ้น
ทั้งสามคนจึงเดินออกไปพร้อมกัน
เมื่อถึงด้านนอกก็กราบทูลองค์จักรพรรดิไปว่า : “ฝ่าบาท หลิงอวิ๋นทูลกับหม่อมฉันว่า ต้องการหย่ากับอ๋องเย่เพคะ”
หนานกงเย่จ้องตาเขม็งไปที่ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นรีบคุกเข่าหมอบเสมอพื้นต่อหน้าพระพักตร์องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ : “ฝ่าบาท หม่อมฉันร่างกายอ่อนแอ ไร้ความสามารถ ไม่คู่ควรกับการเป็นชายาของท่านอ๋องเย่ ฝ่าบาทโปรดเมตตาทรงอนุญาตให้หม่อมฉันและท่านอ๋องเย่หย่ากันด้วยเพคะ”
“ข้าไม่ได้ถือสา” หนานกงเย่หรี่ตาลง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบา
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าจะโดนขัดเรื่องหย่าเข้าอีกแล้ว แต่ก็ทูลต่ออย่างไม่เกรงกลัว : “ท่านอ๋องเย่ไม่ถือสา แต่ข้าถือ หม่อมฉันเคยได้ยินมาว่าหากสามีภรรยาดวงไม่ถูกกัน เข้ากันไม่ได้ จะส่งผลให้ฝ่ายหญิงมีบุตรยาก บางทีหากหม่อมฉันไม่แต่งงาน ร่างกายอาจจะกลับมาเจริญพันธุ์อีกครั้งเพคะ!”
จวินฉูฉู่มองไปยังหนานกงเย่ แววตาท่วมท้นไปด้วยความรู้สึก
ดูสิ เพิ่งจะแต่งงานไป ก็คิดจะแต่งงานใหม่แล้วหรือ?
สีพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ คุณหนูตระกูลฉี พูดจาไม่รู้จักเกรงกลัว ช่างกล้าไปแล้ว
หนานกงเย่จับเก้าอี้แน่น แล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว : “เสด็จพี่เองก็ยังอยู่ในวัยเยาว์ ควรจัดการปัญหาของพระองค์เองก่อน ไม่ต้องยุ่งเรื่องส่วนของข้าเลย ฉีเฟยอวิ๋น มากับข้า ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
พูดจบหนานกงเย่ก็เดินตรงไปยังด้านนอกของพระตำหนักเฟิ่งอี๋ ในตอนแรกฉีเฟยอวิ๋นกะว่าจะอยู่ต่อ แต่นางเป็นคนของหนานกงเย่ นอกเสียจากว่าจะคุกเข่าไม่ลุกขึ้น ไม่เช่นนั้นก็ต้องออกไปพร้อมเขา
“หม่อมฉันทูลลาเพคะ”
เมื่อเห็นว่าองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ฉีเฟยอวิ๋นก็หมุนตัวเดินตามเขาไป
เพิ่งออกนอกประตูก็ได้ยินเสียงฮองเฮาตะโกนเรียกเสียงดัง : “ฝ่าบาท ฝ่าบาท……รีบตาหมอหลวงมาเร็วเข้า!”
หนานกงเย่หันกลับไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าเข้มขรึม รีบรุดไปทันทีราวกับสายลม เมื่อฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไป ทุกอย่างก็ดูวุ่นวายกันไปหมด ฮองเฮาก็ทรงพระกันแสงขึ้นมา
ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปดูใกล้ๆ หนานกงเย่กอดองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ไว้แน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และทำตัวไม่ถูก
ฉีเฟยอวิ๋นเกือบจะลืมตัวตบมือดีใจ หนานกงเย่ก็มีวันนี้กับเขาด้วยเหรอ
แต่ชีวิตคนสำคัญดุจฟ้า ฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถเมินความเป็นความตายตรงหน้านี้ได้
“หม่อมฉันขอดูหน่อย”
ฉีเฟยอวิ๋นยังไม่ทันที่จะเข้าใกล้ หนานกงเย่ก็พูดขึ้นด้วยอารมณ์เดือดจัด : “ไสหัวไปซะ!”
ผู้คนที่ล้อมอยู่รอบๆ เงียบสนิท ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใดๆ ทั้งสิ้น
เวลานี้มีเพียงเสียงร้องไห้ของฮองเฮาเท่านั้น
ฉีเฟยอวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “หม่อมฉันพอรู้วิชาแพทย์มาบ้าง ให้หม่อมฉันดูหน่อย”
หนานกงเย่ที่นึกว่าฉีเฟยอวิ๋นเพียงแค่ต้องการจะดึงดูดความสนใจของผู้คน เขาจึงมองเธอด้วยสายตาพิฆาต : “ไสหัว แล้วออกไปซะ!”
พูดจบเขาก็กำมือแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลและร้อนใจ
ฉีเฟยอวิ๋นหมดคำจะพูด หากเป็นแบบนี้ต่อไปต้องแย่แน่ๆ หน้าเขียวแล้ว!
เขียวแล้ว?
ฉีเฟยอวิ๋นจู่ๆ เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ : “รีบปล่อยมือเร็วเข้า มีอะไรบางอย่างติดอยู่ที่หลอดลมของฝ่าบาทแน่นอน เดี๋ยวจะถูกท่านรัดตายเสียก่อน”
พูดจบฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้สนใจอะไร รีบพูดเสริมขึ้นว่า : “ฮองเฮา ท่านอ๋องตวนและพระชายาออกไปจากตรงนี้ก่อน เดี๋ยวหม่อมฉันจะเอาสิ่งของที่ติดอยู่ในหลอดลมของฝ่าบาทออก ซึ่งไม่ควรดูเพคะ”
“นี่……” ฮองเฮายังคงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
หนานกงเย่มองผู้หญิงตรงหน้าที่พูดจาโอ้อวด ท่าทางราวกับว่ามีความรู้เรื่องแพทย์อยู่บ้าง เขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหี้ยมโหด : “หากรักษาไม่ได้ ข้าจะฟันเจ้าพันมีดหมื่นดาบ ให้ร่างเจ้าแหลกละเอียด”
“หากรักษาไม่ได้ หม่อมฉันยินดีรับโทษทัณฑ์” ฉีเฟยอวิ๋นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “แต่หากรักษาได้ ขอเพียงท่านอ๋องเย่เมตตา ยอมหย่ากับหม่อมฉันนะเพคะ”
ฮองเฮาประจักษ์เป็นพยาน โบกมือให้ท่านอ๋องตวนและจวินฉูฉู่ถอยออกไปก่อน
ในเหตุการณ์วิกฤติแบบนี้ ฮองเฮาจึงตรัสขึ้นว่า : “ข้าแต่ฝ่าบาท……”
ยังไม่ทันจะพูดจบ ฉีเฟยอวิ๋นก็ทุบไปที่ท้ายทอยของฮองเฮา ฮองเฮาอุทานแผ่วเบาแล้วจึงหมดสติไป
“ฉีเฟยอวิ๋น……”
หนานกงเย่กัดฟันแน่นจ้องไปที่ฉีเฟยอวิ๋นตาไม่กะพริบ แต่เขาพูดอะไรไม่ได้ เพราะถูกเข็มแทงเข้าตรงกลางอก แม้แต่จะขยับก็ขยับไม่ได้ เพราะเพียงแค่ขยับก็จะเจ็บหน้าอกขึ้นมา
“เจ้า……”
“หม่อมฉันกำลังจะช่วยชีวิตคน ช่วยเงียบๆ หน่อยได้ไหม”
ภายใต้สายตาอันคมกริบราวกับลูกศรของหนานกงเย่ ฉีเฟยอวิ๋นค่อยๆ ขยับองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ออกจากอ้อมแขนของหนานกงเย่ไปไว้ข้างๆ นอนราบกับพื้น
ในห้องโถงไม่มีใครเข้ามา ฉีเฟยอวิ๋นลูบคลำบนลำตัวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบเข็มออกมา ปักเข็มไปยังจุดชีพจรหลายจุดขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้ จากนั้นก็เอามีดกรีดไปที่ข้อมือของเธอเอง ด้วยท่าทางที่กระฉับกระเฉงรวดเร็ว ว่องไวและน่าทึ่ง
แววตาของหนานกงเย่เต็มไปด้วยความสับสน
เห็นเพียงเลือดบนข้อมือของนางหยดลงในปากขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้ สีหน้าของหนานกงเย่จึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง
ตามมาด้วยเสียงถอนลมหายใจ ฉีเฟยอวิ๋นฉีกผ้าจากชายกระโปรงมาหนึ่งเส้น พันรอบนิ้ว จากนั้นก็รีบพันแผลที่ข้อมือ ปิดท้ายด้วยการผูกปมผีเสื้อ
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว จึงถอนเข็มที่ปักอยู่กลางอกของหนานกงเย่ออก
หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋นด้วยสายตาคมกริบ มีคำถามที่สงสัยมากมายผุดขึ้นมา
ฉีเฟยอวิ๋นหันหน้าไปทางอื่น ไม่สบตากับเขา
“ฉีเฟยอวิ๋น เจ้า……”
“ฝ่าบาทฟื้นแล้ว!
ฉีเฟยอวิ๋นพูดขึ้นตัดบทสนทนาของหนานกงเย่
หนานกงเย่รีบหันไปมององค์จักรพรรดิอวี้ตี้ : “เสด็จพี่ เป็นยังไงบ้าง?”
ฉีเฟยอวิ๋นมองแล้วก็นึกขึ้นในใจ ใครว่าราชวงศ์ไร้ความรัก คงไม่ได้เป็นแบบนั้นมั้ง?
“ข้าเป็นอะไรไป?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ยังรู้สึกอ่อนเพลีย ภาพตรงหน้ายังไม่ชัดเจน
หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋นด้วยแววตาลุ่มลึก ท่วมท้นไปด้วยความสงสัยและคำถาม
ฉีเฟยอวิ๋นก็เริ่มแต่งเรื่องขึ้น : “น่าจะเป็นเพราะเสวยอาหารไม่ดี จึงติดอยู่ตรงนี้ แต่หม่อมฉันได้เอามันออกมาแล้ว ตอนนี้ฝ่าบาทไม่ได้เป็นอะไรแล้วเพคะ”
สายตาขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ : “เจ้ารักษาเป็นด้วยหรือ?”
ใครว่าคุณหนูตระกูลฉีเป็นเพียงผู้หญิงหยาบกระด้าง จับเป็นแต่ดาบ ถือเป็นแต่มีด
“ฝ่าบาท หม่อมฉันชอบอ่านตำราเกี่ยวกับการรักษาตั้งแต่เด็ก เพื่อฆ่าเวลาตอนที่ท่านพ่อของหม่อมฉันไม่อยู่” ฉีเฟยอวิ๋นรีบหาข้ออ้าง แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกชาที่หนังหัว เพราะมีใครคนหนึ่งกำลังจ้องเธอเขม็งตาไม่กะพริบ
ไหนๆ ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่เข้าตาหนานกงเย่อยู่แล้ว จึงไม่สนใจว่าเขามองว่าเธอไร้สาระเพิ่มขึ้นไปอีก