องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 802 พ่อลูกเลอะเลือน
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 802 พ่อลูกเลอะเลือน
หนานกงเย่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อเฟยอิงหยุดหนานกงเย่จึงกล่าวว่า: “ไปสำรวจเส้นทางเบื้องหน้าหากไม่มีสิ่งใดเจ้าก็ทำเครื่องหมายไว้ หากมีเรื่องใดก็ส่งสัญญาณให้ข้า”
“พะย่ะค่ะ”
เฟยอิงเหลือบมองเจ้าของร่างเดิมแล้วขี่ม้าออกไป
เจ้าของร่างเดิมนำแผ่นพับที่จุดไฟมาจุดไฟกองหนึ่ง หญ้าแห้งๆบนพื้นถูกนางนำมากองรวมกันและนางก็ค้นหาฟืนไม้แห้งจากทุกหนแห่งแล้ววางไว้บนพื้นจากนั้นก็สุมใส่กองไฟ หนานกงเย่ยืนมองดูนางอยู่ฝั่งหนึ่ง นี่ไม่ใช่เจ้าของร่างเดิมที่เขาเคยรู้จัก
เจ้าของร่างเดิมก่อกองไฟเรียบร้อยแล้วก็ถอดเสื้อคลุมออกและม้วนกางเกงขึ้น ใช้มีดเหลาไม้เป็นฉมวกแหลมแล้วเดินเท้าเปล่าลงไปในน้ำ
หนานกงเย่รู้สึกมึนงงว่าเจ้าของร่างเดิมมีศักยภาพของฉีเฟยอวิ๋นอยู่ด้วย เขายืนอยู่ริมน้ำโดยไม่ได้ลงไปเพื่อที่จะดูว่าเจ้าของร่างเดิมสามารถจับปลาได้สักตัวหรือเปล่า
ท่าทางของเจ้าของร่างเดิมซึ่งเขาไม่เคยเห็น เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?
เจ้าของร่างเดิมยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วแทงลงไป จากนั้นหยิบฉมวกขึ้นมาแล้วยิ้ม!
ปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่งอยู่บนปลายฉมวกแล้วโยนไปบนฝั่งเลย จากนั้นนางก็แทงปลาอีกตัวหนึ่งแล้วค่อยขึ้นฝั่ง
เดินไปยังข้างกองไฟจากนั้นเจ้าของร่างเดิมก็เริ่มย่างปลา
ปลาสองตัวซึ่งนางกับหนานกงเย่กินไปตัวหนึ่ง: “ให้”
หนานกงเย่หยิบชิ้นหนึ่งมากินพร้อมกับมองดูเจ้าของร่างเดิม: “เจ้าเคยออกจากเมืองหลวงไหมเดิมทีก่อนที่จะแต่งงาน?”
“เคยออก ข้ากับเฉินอวิ๋นเจี๋ยรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กเราสองคนมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง เขามักจะพาข้าออกไปเที่ยวและเรียนรู้สิ่งของเล่นมากมาย” เจ้าของร่างเดิมก็ไม่ได้ปกปิด ท่าทางที่กินปลานั้นกลับกินทีละคำเล็กๆ
หนานกงเย่รู้อยู่ในใจแล้วถามว่า: “แล้วเหตุใดถึงไม่มีใครรู้?”
“เขาบอกข้าว่าหากผู้ชายชอบผู้หญิงจริงๆก็จะชอบความน่าเกลียดของผู้หญิงด้วยจึงได้บอกให้ข้าอย่าได้ดีเลิศเกินไป บอกว่าหากท่านพ่อของข้าไม่อยู่แล้วข้านั้นดีเลิศเกินไปในเมืองหลวงพวกคุณหนูของตระกูลขุนนางเหล่านั้นจะไม่ปล่อยข้าเอาไว้ บอกให้ข้าเรียนรู้การครอบครองและไร้ยางอายบ้างไม่ไร้ยางอายบ้างถึงจะสามารถช่วยให้ข้าปลอดภัยได้” เจ้าของร่างเดิมถอนหายใจอย่างแรง: “เป็นข้าที่ทำผิดต่อเขา เขายินดีที่จะแต่งงานกับข้าแต่ข้ากลับไม่ยอมแต่งงานกับเขา หากไม่ใช่เพราะข้าวันนี้เขาคงจะมีลูกชายหญิงเป็นโขยงเป็นแน่แล้วพวกเราก็สามารถเลี้ยงม้าต้อนแกะได้”
“เขาเป็นคนทำร้ายเจ้า หากเจ้าให้ผู้อื่นรู้เร็วหน่อยว่าเจ้าก็เป็นหญิงที่เรียบง่ายและสง่างามไม่แน่อาจจะพบเจอครอบครัวสามีที่ดี เขาก็เห็นแก่ตัวด้วยเช่นกัน”
“เห็นแก่ตัวแล้วอย่างไร ที่จริงแล้วการแสวงหาผู้ที่รักข้าจริงๆนั้นง่ายยิ่งกว่าข้าไปรักชายผู้หนึ่ง” เจ้าของร่างเดิมกินอิ่มแล้วก็ห่อปลาอีกตัวหนึ่งไว้ จัดการพกเอาไปด้วยจากนั้นก็สวมเสื้อคลุมและติดหมวกคลุม ดับฟืนบนพื้นแล้วผิวปากจากนั้นม้าก็กลับมายังตรงหน้านางทันที
หนานกงเย่ตกตะลึงทั้งหน้า หากว่าตอนนั้นเป็นหญิงผู้นี้เขาก็อาจจะไม่ต่อต้านมากเช่นนั้น
ขึ้นบนม้าแต่คราวนี้ไม่ได้วิ่งเร็ว เจ้าของร่างเดิมค่อยๆเดินไปด้านหน้า
ไม่ได้หยุดในยามค่ำคืนแต่ก็ต้องการพักผ่อนแล้ว เจ้าของร่างเดินนอนคว่ำอยู่บนหลังม้าและเจ้าม้าก็เดินเตร็ดเตร่แล้วนางก็นอนหลับไป
หนานกงเย่จ้องมองเจ้าของร่างเดิมอยู่ตลอด เกรงว่าจะตกจากหลังม้าได้รับความเสียหาย
เดินมาตลอดทางเป็นเวลาสามสี่ชั่วยาม เจ้าของร่างเดิมตื่นขึ้นแล้วขยี้ตาพร้อมยืดแขนบิดขี้เกียจ ลุกขึ้นนอนลงบนหลังม้าเพื่อรับลมในยามเช้า
หนานกงเย่มองเอวอันอ่อนช้อยของนางทว่าเท้าของนางคล้องกับโกลนม้าเอาไว้จึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เจ้าของร่างเดิมนอนลงอย่างสบายๆพักหนึ่ง เป็นเวลาครึ่งชั่วยามกว่าแล้วถึงได้ลุกขึ้นมา
เจ้าของร่างเดิมนั่งอยู่บนหลังม้าด้วยท่าทางราวกับว่ายังไม่ตื่นดี โยกไปมาพร้อมตาทั้งสองซึ่งมองตรงไปและโยกไปมาพร้อมด้วยอาการเหม่อลอย
หนานกงเย่กังวลอยู่สองสามครั้งว่านางจะตกลงมาจากหลังม้าทว่านางนั้นสบายดี
เฟยอิงรอพวกเขาอยู่ ขณะที่ทั้งสามคนเจอหน้ากันเจ้าของร่างเดิมถึงได้ตื่นขึ้นมาและนึกบางอย่างได้แล้วถามเฟยอิงว่า: “เฟยอิง เจ้ากินอะไรแล้วหรือยัง?”
เฟยอิงทำสิ่งใดไม่ถูก หิวแทบตายอยู่แล้วแต่ว่าเสบียงอยู่ที่ท่านอ๋อง ไม่เช่นนั้นเหตุใดเขาถึงได้ขัดคำสั่งของท่านอ๋องแล้วรออยู่ที่นี่
เจ้าของร่างเดิมปลดปลาตัวนั้นบนหลังม้าออกแล้วโยนออกไปเลย: “ท่านอ๋องเก็บไว้ให้เจ้า เจ้าหาที่จุดไฟอุ่นให้ร้อนสักหน่อย”
เฟยอิงรับเอาไว้และเปิดออกเห็นว่าเป็นปลาย่างจึงรีบขอบคุณหนานกงเย่
หนานกงเย่มองไปยังเจ้าของร่างเดิมแต่กลับไม่ได้กล่าวสิ่งใด
ทั้งสามคนได้รับจดหมายจากนกพิราบในตอนบ่าย เนื่องจากเฉินอวิ๋นเจี๋ยได้รู้ว่าฮองเฮาเฉินอวิ๋นชูทรงประชวรหนักจึงได้รีบเร่งกลับไปเมืองหลวงแล้วดังนั้นเจ้าตัวจึงไม่ได้อยู่ที่ชายแดน
เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงพรมแดนระหว่างเมืองต้าเหลียงและปีกใต้แล้วแต่คนนั้นไม่อยู่เจ้าของร่างเดิมจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้พวกเรากลับไปที่เมืองหลวงก็เหมือนกัน เขาอยู่ชายแดนหากว่าเจ้าไปก็คงจะไม่สะดวกเท่าใดนัก” หนานกงเย่ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น ที่จริงแล้วแค่พบหน้ากันครั้งเดียวเท่านั้นพบกันที่ใดก็เหมือนกัน
เจ้าของร่างเดิมกลับไม่คิดเช่นนั้น นางพบเฉินอวิ๋นเจี๋ยเพราะมีเรื่องบางอย่าง
ออกจากชายแดนโดยที่ทั้งสามคนไม่ได้หยุด เร่งเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืนรีบเร่งกันกลับไป เดิมทีใช้เวลาเดินทางหกวันแค่สามวันก็มาถึงแล้ว
ตลอดทางมานี้นอนกลางดินกินกลางทราย หนานกงเย่เห็นเจ้าของร่างเดิมแล้ว
ด้วยใจอันร้อนรน
หลายครั้งที่หนานกงเย่เรียกหาฉีเฟยอวิ๋นแต่นางไม่ตอบสนอง สอบถามมากมายหลายครั้งเจ้าของร่างเดิมบอกว่าอวิ๋นอวิ๋นสบายดีเพียงแค่พักผ่อนอยู่เท่านั้น
หนานกงเย่กังวลไปก็ไร้ประโยชน์ถึงตอนหลังก็ไม่กังวลแล้ว
เมื่อมาถึงเมืองหลวงเจ้าของร่างเดิมหยุดม้าและไม่ได้เข้าไป นางรออยู่ที่นอกเมืองเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้วถึงได้เข้าเมือง
จากนั้นหนานกงเย่ก็พานางกลับไปถึงจวนอ๋องเย่ เข้าจวนแล้วเจ้าของร่างเดิมนั้นไม่ได้กล่าวคำพูดใดกับใครเลยเพียงแค่ไปพบแม่ทัพฉีเท่านั้น
สองสามวันนี้แม่ทัพฉีวุ่นวายใจแต่พอได้เห็นลูกสาวของกลับรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
แม่ทัพฉีลุกขึ้นไปพบลูกสาว จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็คุกเข่าลง
“ท่านพ่อ ลูกอกตัญญู! ท่านพ่อยกโทษให้ลูกเถอะ!”
แม่ทัพฉีตกตะลึงและมองไปยังเจ้าของร่างเดิมบนพื้น ใช้เวลานานถึงได้ตอบสนองแล้วช่วยพยุงเจ้าของร่างเดิมขึ้นมาดูแลเป็นอย่างดี
“อวิ๋นอวิ๋น เจ้ากลับมาแล้วหรือ?”
เจ้าของร่างเดิมกอดแม่ทัพฉี: “ท่านพ่อ ลูกไม่ควรไปหานาง ไม่ควรไปแคว้นเฟิ่ง ลูกมีเพียงท่านพ่อเท่านั้น มีเพียงท่านพ่อเท่านั้น!”
แม่ทัพฉีจนปัญญาเต็มอกจากนั้นกอดเจ้าของร่างเดิมแล้วตบเบาๆ: “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วพ่อก็ไม่เรียกร้องสิ่งใด เพียงแค่เจ้ากับอวิ๋นอวิ๋นไม่เป็นไรก็พอแล้ว พวกเจ้า…..อวิ๋นอวิ๋นหล่ะ?”
แม่ทัพฉีเห็นลูกสาวที่ให้กำเนิดแล้วก็มีความสุขเป็นธรรมดาแต่ลูกสาวอีกคนหนึ่งเขาก็เป็นกังวลด้วย
เจ้าของร่างเดิมออกจากและกล่าวว่า: “นางพักผ่อนอยู่ ลูกยังมีความปรารถนาข้อหนึ่งซึ่งยังไม่บรรลุ ต้องการพบเฉินอวิ๋นเจี๋ยก่อนจะจากไป!”
“เจ้าจะไป?” แม่ทัพฉีใบหน้าซีดเซียวโดยที่เช่นไรก็ไม่คิดว่าลูกสาวจะจากไป การพบกันในช่วงเวลาอันสั้นนี้ไม่มีเลยยังจะดีซะกว่า
เจ้าของร่างเดิมยิ้ม: “ท่านพ่อ ลูกสามารถสัมผัสได้ว่าดวงจิตนั้นไม่ดีดังก่อน ทุกๆวันต้องพึ่งพาความนึกคิดของอวิ๋นอวิ๋นถึงจะสามารถอดทนได้ คิดว่าคงต้องจากไปในไม่ช้านี้แล้ว
ก่อนที่ข้าจะจากไปต้องขจัดความปรารถนาที่ยังไม่สำเร็จ
อวิ๋นอวิ๋นอยู่ข้าก็ไม่เป็นห่วงท่านพ่อแล้ว
แต่หลายปีนั้นที่ท่านพ่อไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงและในขณะที่ไม่มีผู้ใดดูแลข้า เป็นเฉินอวิ๋นเจี๋ยที่คอยดูแลข้ามาตลอด หากไม่ใช่เขาลูกคงตายไปนานแล้ว
ดังนั้นลูกจึงอยากไปพบเขาก่อนที่จะจากไป ”
เป็นเวลาเนิ่นนานแม่ทัพฉีจึงพยักหน้าและน้ำตาก็ได้ไหลรินลงมา เจ้าของร่างเดิมเช็ดน้ำตาให้เขาแล้วจับมืออันชราของแม่ทัพฉีมองไปยังหนานกงเย่ที่กำลังเหม่อลอยอยู่ด้านหลัง ในเวลานี้ไม่มีคนนอกอยู่ในห้องมีเพียงพวกเขาสามคนเท่านั้น
เจ้าของร่างเดิมจูงแม่ทัพฉีไปตรงหน้าหนานกงเย่แล้วกล่าวว่า : “ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าท่านไม่สบายใจ ท่านเกลียดชังที่ท่านอ๋องไม่ดีต่อข้าและบีบคอข้าจนตาย
เดิมทีข้าก็เกลียดชังเขาและข้าก็รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม แต่ตอนนี้ลูกเข้าใจแล้วว่าการแต่งงานที่ถูกบังคับนั้นไร้ซึ่งความสุขและเขาก็ไม่ได้ชอบข้าด้วย วันนั้นที่เขาสังหารข้าก็เป็นเพราะข้าทำตัวเองเนื่องจากข้าทำลายการแต่งงานของเขา
หากว่าพวกเราสับเปลี่ยนกัน ข้าเป็นเขาเขาเป็นข้า เขาต้องการแย่งชิงตัวข้าไปและจะแต่งงานให้ได้ ท่านพ่อก็ต้องไม่ยอมเป็นแน่ ท่านพ่อ……ใช่หรือไม่? ”
แม่ทัพฉีเหลือบมองหนานกงเย่แล้วมองเจ้าของร่างเดิม: “ใช่”
“ท่านพ่อ ลูกเลอะเลือนไปแล้ว ท่านก็เลอะเลือนเช่นกัน แต่ตอนนี้พวกเราไม่ได้เลอะเลือนแล้วเช่นนั้นก็ปล่อยอดีตให้ผ่านพ้นจางหายไปดีไหม?”