องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 803 พบจวินฉูฉู่ระหว่างทาง
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 803 พบจวินฉูฉู่ระหว่างทาง
แม่ทัพฉีเงียบอยู่นานก่อนจะพยักหน้า: “พ่อรู้แล้ว พ่อไม่ถือสาเขา”
“ท่านพ่อ นี่ถึงจะเป็นท่านพ่อผู้แสนดี”
เจ้าของร่างเดิมมองไปยังหนานกงเย่: “ท่านอ๋อง ตอนนั้นข้าทำร้ายท่านแล้วต้องให้ท่านแต่งงานกับข้าให้ได้ ทำให้ท่านกับจวินฉูฉู่แคล้วคลาดกันแต่ถามตนเองดูจวินฉูฉู่เป็นหญิงจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเลว หากพวกท่านแต่งงานกันจริงๆก็เป็นการทำร้ายท่านแล้ว
ข้าก็ถือว่ามีบุญคุณต่อท่านเช่นกัน
พวกเราแต่งงานกันแล้วท่านก็บีบคอข้าจนตาย ถือว่าท่านติดค้างข้า
หลังจากข้าตายไปแล้วจิตรู้สึกไม่ยุติธรรมจึงไม่สามารถจากไปได้และเฝ้าคิดถึง
หลังจากที่อวิ๋นอวิ๋นมาแล้วข้าได้จัดการร่างกายของข้าเพื่อให้พวกท่านเกิดความรู้สึกต่อกัน วันนั้นที่ในร่างกายของข้าเกิดความรู้สึกปะทุขึ้นแม้ว่าจะเป็นเพราะยาที่หลงเหลืออยู่แต่ข้าเก็บซ่อนเอาไว้จริงเพื่อให้สักวันหนึ่งจะได้ปะทุขึ้นมา
ก็ถือว่าข้าได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องการสูญเสียจวินฉูฉู่ของท่านแล้ว
เป็นความจริงที่ข้าได้ทำลายให้ท่านสูญเสียความสัมพันธ์ช่วงหนึ่งแต่ข้าก็ให้ท่านได้มีความสัมพันธ์อีกช่วงหนึ่ง ไม่เพียงเท่านั้นแต่ข้ายังทำให้ความสัมพันธ์นี้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ใช่หรือไม่?”
“ใช่”
“ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วท่านก็ยังติดค้างข้าอยู่”
“อืม”
“เช่นนั้น ข้าแค่ต้องการพบเฉินอวิ๋นเจี๋ย ท่านรับปากได้หรือไม่?”
“ข้ารับปาก เจ้าไปพบได้”
“งั้นก็ดี ขอบคุณท่านอ๋องที่ส่งเสริม อีกอย่าง…… ข้าไม่ต้องการพักอยู่ที่จวนอ๋องเย่ในสองสามวันนี้ จวนอ๋องเย่คนมากก็พูดกันมากและข้าก็ไม่ต้องการที่จะได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับข้า สองสามวันนี้ข้าอยากกลับไปพักที่จวนแม่ทัพกับท่านพ่อของข้า
หากว่าท่านอ๋องไม่วางใจก็ไปกับข้าได้ แต่ห้ามพักอยู่ด้วยกัน ท่านอ๋องโปรดส่งเสริมด้วย”
หนานกงเย่สับสนวุ่นวายอยู่ในใจ เจ้าของร่างเดิมไม่ได้บอกว่าเวลาของนางใกล้จะหมดแล้ว ดูเหมือนว่านางจะจากไปแล้วและที่อวิ๋นอวิ๋นไม่ออกมานั้นก็เพื่อช่วยนาง
“ได้ ข้ารับปากแต่เพื่อมิให้เจ้าเกิดเรื่องข้าจะอยู่ข้างเจ้า หากเจ้าจะพบเฉินอวิ๋นเจี๋ยก็คงต้องผ่านทางข้า
ตอนนี้ฮองเฮาได้ทรงเสด็จไปที่วัดฉือหนิงแล้ว ทางวัดฉือหนิงโน่นฮองเฮาทรงประทับอาศัยอยู่บนเขาและไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถขึ้นไปได้แม้ว่าเจ้าจะเป็นพระชายาเย่ แม้แต่เฉินอวิ๋นเจี๋ยต้องการพบฮองเฮาก็ยังลำบากอยู่บ้างคิดว่าข้าอาจจะสามารถช่วยเจ้าได้”
“ลำบากท่านอ๋องแล้ว” เจ้าของร่างเดิมย่อกายถวายความเคารพทว่าแม่ทัพฉีกลับกุมมือเจ้าของร่างเดิมและพานางจากไปเลยโดยตรง
ผู้คนในจวนอ๋องเย่ไม่รู้จึงคิดว่าอ๋องเย่และแม่ทัพฉีทะเลาะกันอีก เพิ่งกลับมาก็นำตัวไปเลย
เมื่อแม่ทัพฉีกลับจวนหนานกงเย่ก็ตามไปโดยที่ไม่ได้สนใจเรื่องในจวนอ๋องเย่เลยแม้แต่น้อย แต่ว่าอ๋องตวนและอวิ๋นหลัวฉวนออกมาจากเรือนจวินจื่อแล้วเห็นคนไปแล้วก็ไม่ได้รีบร้อนอันใด
อ๋องตวนอาศัยอยู่ที่จวนอ๋องเย่จนเคยชินแล้ว กล่าวตามตรงอวิ๋นหลัวฉวนอยู่ที่นี่อย่างเคารพซึ่งกันและกัน หากไปจากที่นี่แล้วกลับไปก็จะแยกกันอยู่เสียแล้ว
จากไปก็ยิ่งดี ให้อ๋องเย่กับพระชายาเย่สู้กันให้ดุเดือดเลย
เจ้าของร่างเดิมกลับถึงจวนแม่ทัพเห็นผู้ใดก็สนิททั้งนั้นแล้วไปยังเรือนหลังหาพ่อบ้าน จากนั้นจูงพ่อบ้านเดินไปโดยรอบซึ่งพ่อบ้านตกใจยิ่งนักแล้วรีบมองไปยังท่านแม่ทัพ
“วันนี้มีความสุข ไม่เป็นไรหรอก” แม่ทัพฉีรู้สึกเศร้าอยู่ในใจและมองดูลูกสาวท่าทางมีความสุขเช่นนี้ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ในลานและผู้คนในจวนสนุกสนานกันทั้งวัน ยามค่ำคืนนั้นพักอยู่ในเรือนของแม่ทัพฉีและพูดคุยกับแม่ทัพฉีกันตั้งมากมาย หนานกงเย่เริ่มดูดวงจันทร์อยู่ในลานตอนหลังรู้สึกไม่สบายใจจึงได้เข้าไปในเรือน แต่ท้ายที่สุดเขานั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ฟังแม่ทัพฉีและเจ้าของร่างเดิมพูดคุยกัน
เจ้าของร่างเดิมเหนื่อยแล้วแม่ทัพฉีจึงได้อุ้มคนขึ้นมาแล้ววางให้พักผ่อนบนเตียง จากนั้นแม่ทัพฉีก็นั่งลงข้างๆหนานกงเย่ด้วยความรู้สึกเศร้าสลดเอง
หนานกงเย่รินชาถ้วยหนึ่งให้แม่ทัพฉีแต่แม่ทัพฉีกลับร้องไห้เพียงลำพัง
หลังจากหนึ่งคืนแล้วเจ้าของร่างเดิมก็ถามหนานกงเย่ว่าเฉินอวิ๋นเจี๋ยอยู่ในเมืองหลวงไหมและหนานกงเย่ก็กล่าวว่า: “อยู่ที่จวนเสนาบดี ได้ไปที่วัดฉือหนิงครั้งหนึ่งและไม่ได้เข้าไปจึงกลับมาแล้ว”
“อืม” เจ้าของร่างเดิมรู้สึกว่าถึงเวลาไปพบเฉินอวิ๋นเจี๋ยแล้ว
หนานกงเย่มองดูนาง วันนี้นางแต่งตัวขึ้นมาบ้างและยังคงสวมชุดสีแดงทั้งตัว เพียงแต่ว่าชุดสีแดงนั้นเรียบง่ายไม่มีลวดลายเลยสักนิดเป็นเพียงเสื้อผ้าธรรมดาสีราบเรียบ
เจ้าของร่างเดิมออกไปด้านนอกจากนั้นหนานกงเย่ก็ตามนางไปด้วย
หลังจากออกจากประตูไปแล้วทั้งสองคนก็นั่งรถม้าไปจวนเสนาบดี ไม่คิดว่าขึ้นรถไปไม่นานก็ถูกคนขวางทางเอาไว้เสียแล้ว
รถม้าคันหนึ่งปะทะกับพวกเขาพอดี คนขับรถม้าเป็นคนของจวนแม่ทัพโดยทั่วไปแล้วคนรับใช้ของจวนแม่ทัพมักจะเจียมตัวและไม่สร้างความวุ่นวาย ส่วนรถม้านั้นเป็นของรองแม่ทัพเฉา วันนี้รถม้าของรองแม่ทัพรองอยู่ตรงหน้าประตูจึงได้ให้เจ้าของร่างเเดิมใช้รถม้าแล้วก็ไม่ได้เตรียมล่วงหน้าเอาไว้ด้วย
เจ้าของร่างเดิมได้ยินคนที่ด้านนอกรถม้าพูดว่า: “นี่เป็นรถของตระกูลใดกัน ไม่เห็นรถม้าของจวนจวินหรือ? อยากตายเสียแล้วยังไม่หลีกไปอีก”
หนานกงเย่ขมวดคิ้ว รถม้าขอจวนจวิน?
เจ้าของร่างเดิมยิ้มแล้วสั่งว่า: “เปิดม่านรถม้าข้าจะดูซิว่าเป็นใครกัน”
คนขับรถม้าทำตาม รถม้าด้านนอกเป็นของจวนจวินจริงๆและฝั่งตรงข้ามรถม้าเป็นเสี่ยวซือจองหองคนหนึ่งและคนขับรถม้าก็เช่นเดียวกัน
ดูรถม้านั้นช่างงดงามยิ่งนัก ปกติแล้วมีแต่ฮูหยินของจวนจวินเท่านั้นถึงจะสามารถนั่งได้
เจ้าของร่างเดิมถามว่า: “บอกให้คนในรถม้าลงมา ข้าจะดูซิว่าใครช่างกล้าเช่นนี้รถม้าของจวนแม่ทัพก็กล้าขวาง”
พอได้ยินว่าจวนแม่ทัพอีกฝ่ายก็ยิ่งไม่ได้สนใจเลย
“นี่คือรถม้าของจวนจวินและในรถคือคุณหนูสาม วันนี้นางจะไปในวังหลวงพวกเจ้ายังไม่หลีกไปอีก?”
คนขับรถม้าพูดเช่นนั้นเจ้าของร่างเดิมจึงถามว่า: “จวินซือซือหรือ?”
หนานกงเย่นับถือเจ้าของร่างเดิมซึ่งช่างเก่งกาจกว่าอวิ๋นอวิ๋นมากนัก เมื่อรู้ว่าเป็นผู้ใดอวิ๋นอวิ๋นก็ยิ่งสับสน
“บังอาจ เจ้าเป็นใครเหตุใดถึงได้เรียกชื่อคุณหนูของข้าโดยตรง!” เสี่ยวซือจองหองยิ่งนักฉีเฟยอวิ๋นจึงค้นหาสิ่งของในรถม้าแต่หาสิ่งใดไม่พบจึงได้ออกไปด้านนอกรถม้าโดยตรงจากนั้นหยิบแส้ของคนขับรถม้าแล้วกระโดดลงไปเลย หนานกงเย่กระตุกปาก ใต้หล้าแปรเปลี่ยนไปได้โดยง่ายแต่นิสัยนั้นเปลี่ยนได้ยาก นิสัยชอบเอาชนะของเจ้าของร่างเดิมนั้นไม่เปลี่ยนเลยสักนิด
ด้านนอกรถม้าเห็นเพียงแค่เจ้าของร่างเฆี่ยนไปบนขาของเสี่ยวซือ เสี่ยวซือยืนไม่มั่นจึงตกลงจากรถม้า คนขับรถรีบหันหลังกลับเมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็ตกใจไม่น้อย: “พระชายาเย่? พระชายาเย่ไว้ชีวิตด้วย”
ฉีเฟยอวิ๋นขึ้นรถแล้วเปิดม่านรถม้าขึ้นจากนั้นก็ได้ยินเสียงจวินซือซือกรีดร้องออกมาจากด้านใน เจ้าของร่างเดิมจึงด่าทอว่า: “เจ้ามันคนชั้นต่ำกล้าขวางรถม้าของพระชายาเช่นข้า เจ้าทำร้ายข้าหลายครั้งหลายคราข้าไม่ถือสากับเจ้าเจ้ากลับบ้าบิ่นเช่นนี้ช่างน่าโมโหนัก วันนี้จะเฆี่ยนตีจนเจ้าจำไม่ได้ ดูสิว่าเจ้ายังจะกล้าจองหองอีกไหม!”
อย่างไรจวินซือซือก็คิดไม่ถึงว่าฉีเฟยอวิ๋นได้กลับมาแล้ว และยังเฆี่ยนตีนางอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ นางทนไม่ไหวจึงวิ่งออกมาจากในรถม้า เจ้าของร่างเดิมออกมาแล้วกระโดดลงจากรถม้าอย่างคลุ้มคลั่งเฆี่ยนตีตลอดทาง จวินซือซือเจ็บปวดบาดเจ็บไปทั่วร่างตัวและนั่งตัวสั่นอยู่บนพื้น
“ฉีเฟยอวิ๋นเจ้าเฆี่ยนตีข้า ตอนนี้ข้าเป็นฮูหยินแม่ทัพฝ่าบาททรงพระราชทานการอภิเษก เจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงเฆี่ยนตีข้า?” จวินซือซือรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมจึงได้หันไปมองเจ้าของร่างเดิมซึ่งในมือของเจ้าของร่างเดิมถือแส้ม้าเอาไว้อย่างครุ่นคิดอยู่ในใจ
“แม่ทัพผู้ใด?”
“เฉินอวิ๋นเจี๋ย!” จวินซือซือจงใจมองไปยังเจ้าของร่างเดิมด้วยความภาคภูมิใจ เรื่องราวในตอนนั้นของฉีเฟยอวิ๋นกับเฉินอวิ๋นเจี๋ยมีคนไม่น้อยในเมืองหลวงที่รู้และจวินซือซือก็เป็นหนึ่งในนั้น
เจ้าของร่างเดิมยิ้มพร้อมกับเลิกคิ้ว: “จริงหรือ?”
“เป็นเช่นไรบ้าง เจ้าอึดอัดนักใช่หรือไม่ เฉินอวิ๋นเจี๋ยชอบเจ้ามากเช่นนั้นแต่ตอนนี้กลับแต่งงานกับข้า” จวินซือซือได้ใจยิ่งนัก เพื่อที่จะได้เฉินอวิ๋นเจี๋ยมานางได้ตัดสินใจแน่วแน่ไม่มีทางถอยเสียแล้ว แม้แต่การเข้าไปถึงในวังเพื่อข่มขู่จวินเซียวเซียวและนางก็กุมจุดอ่อนของจวินเซียวเซียวไว้ในกำมือจึงทำได้เพียงแค่รับปากนาง