องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 811 คนของสำนักหมอหลวง
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 811 คนของสำนักหมอหลวง
จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกโมโหอย่างมาก เขารู้สึกเสียหน้า คดีของเข้ากลายเป็นคดีที่ถูกใส่ร้ายและไม่ได้รับความเป็นธรรม
โอ้ เสี่ยวสวีจื่อไม่กล้าพูดอะไรกับจักรพรรดิอวี้ตี้ และทำเป็นไม่รู้ไม้ห็นเพื่อรอท่านอ๋องเย่กลับมา?
จักรพรรดิอวี้ตี้โมโหจนปวดศีรษะ จะไม่ให้โกรธได้อย่างไร?
เสี่ยวสวีจื่อโขกศีรษะลงกับพื้น “ฝ่าบาท ข้าน้อยไม่กล้า ไม่เช่นนั้นคนที่บ้านของข้าน้อยจะต้องตายทั้งหมดขอรับ!”
“ตอนนี้ยังไม่ตายอีกหรือ?” จักรพรรดิอวี้ตี้ตบโต๊ะ หลังจากนั้นองค์หญิงกู้กั๋วก็ตกใจร้องไห้ออกมา จักรพรรดิอวี้ตี้แทบไม่สนใจอย่างอื่นอีกเลย
จักรพรรดิอวี้ตี้รีบไปอุ้มลูกสาวและค่อยๆ ปลอบนาง
องค์หญิงตัวน้อยค่อนข้างชอบเล่นกับเสด็จพ่อของนาง ลูบเบาๆ ไม่กี่ครั้งก็หยุดร้องไห้
จักรพรรดิอวี้ตี้มองออกไป “ไสหัวไปให้ท่านอ๋องเย่สอบสวน”
จากนั้นเสี่ยวสวีจื่อก็ไปคุกเข่าต่อหน้าหนานกงเย่และเล่าเรื่องตราประทับขึ้นมา กล่าวคือวันนั้นเขาอยู่ดูแลรับใช้ฝ่าบาทตลอดเวลา จู่ๆ พระสนมเอกเซียวก็พูดขึ้นมาว่าทำไมตราประทับของฝ่าบาทเหลืออยู่เพียงสองอัน อีกอันหนึ่งอยู่ที่ไหน?
จากนั้นจึงทราบว่าตราประทับหายไป
จากนั้นจึงค้นหาและสุดท้ายก็หาไม่พบ แต่สุดท้ายก็มาค้นเจอบนร่างกายของเสี่ยวสวีจื่อ
เดิมทีก็แค่ตราประทับอันหนึ่งเท่านั้น หากเสี่ยวสวีจื่อยอมรับก็จบเรื่องราวไป แต่ใครก็คาดไม่ถึง เมื่อฝ่าบาทและพระสนมเอกเซียวตรวจค้น ยังมีของภายในวังหายไปอีกจำนวนมากจากนั้นจึงทำการตรวจค้นและเรียกเสี่ยวกุ้ยจื่อและคนอื่นๆ มาตรวจค้นด้วย และจึงได้ตรวจค้นทั่วทั้งวังหลวง หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เสี่ยวกุ้ยจื่อก็บอกว่าเป็นเสี่ยวสวีจื่อ
จู่ๆ เสี่ยวสวีจื่อก็เอาศีรษะชนกับเสาและชนอยู่แบบนั้นตลอดจนเลือดไหลออกมา และเริ่มพูดจาเลอะเลือน จากนั้นจึงเสียสติไป
เดิมทีต้องการลากออกมาฆ่า แต่หวังฮวายอันบอกว่าเขาเป็นเช่นนี้แล้วต่อให้ฆ่าตายไปก็ไร้ประโยชน์ จากนั้นจึงพาไปปล่อยไว้ในคุก
เสี่ยวสวีจื่อร้องไห้พูดออกมา “ข้าน้อยไม่ได้ขโมยไปจริงๆ ฝ่าบาท ข้าน้อยขอโทษฝ่าบาทที่ข้าน้อยดูแลปรนนิบัติฝ่าบาทไม่ดี ให้ข้าน้อยออกจากวังไปเถอะขอรับ ข้าน้อยติดตามสวีกงกงมาตั้งแต่ยังเล็กๆ เขาเป็นพ่อบุญธรรมของข้าน้อย หากข้าน้อยตายไปขอให้เขาเป็นผู้จัดการกับศพของข้าน้อยนะขอรับ
ข้าน้อยและเสี่ยวกุ้ยจื่อและคนอื่นๆ เป็นพี่น้องกัน ข้าน้อยรู้ว่าพวกเขาถูกบังคับ และข้าน้อยก็รู้ว่าแต่ให้พูดออกไป ชีวิตของพ่อแม่และทุกคนจะไม่ปลอดภัย ข้าน้อยเพียงแค่ไม่ยอมที่พวกเขาทำร้ายข้าน้อย
ฝ่าบาทขอรับ คนคนนั้นข่มขู่ข้าน้อยไม่ให้ข้าน้อยพูด ข้าน้อยไม่กล้าพูดออกมา
หากวันนี้ข้าน้อยพูดออกไป ข้าน้อยก็ต้องตาย ฝ่าบาทขอรับ คนคนนั้นคือคนใกล้ชิดของพระสนมเอกเซียวขอรับ”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” จักรพรรดิอวี้ตี้ตะลึง เสี่ยวสวีจื่อเหลือบมองฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าเหตุการณ์ไม่ดีแน่จึงลุกขึ้นไปขัดขวางไว้ เสี่ยวสวีจื่อได้หันเอาศีรษะไปกระแทกกับโต๊ะ ครั้งนี้เขาไม่ได้ทำไปเพราะขาดสติ มุมของโต๊ะนั้น กระแทกเข้าไปเต็มๆ ที่ศีรษะของเขา
เขาหมดลมหายใจลงทันที!
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปดู เขาติดอยู่กับมุมโต๊ะ
หนานกงเย่ค่อยๆ วางถ้วยชาลงและเหลือบมองพระสนมเอกเซียว แต่ไม่ได้ทำอะไรกับพระสนมเอกเซียว
“สั่งคนมาที่นี่ ปิดล้อมตำหนักจิ่นซิ่วเอาไว้ และคุมตัวคนใกล้ชิดของพระสนมเอกเซียวไว้ทั้งหมด อาอวี่ เจ้าพาตูไห่ไปทรมานร่างกายเพื่อสอบสวน”
“ขอรับ”
อาอวี่ไปจัดการ พระสนมเอกเซียวลุกขึ้นและนั่งคุกเข่าลง “ฝ่าบาทเพคะ!”
“เจ้ารีบลุกขึ้น พื้นเย็นนะ!”
จักรพรรดิอวี้ตี้ดึงพระสนมเอกเซียวให้ลุกขึ้น แต่จวินเซียวเซียวไม่ยอม “ฝ่าบาทให้หม่อมฉันคุกเข่าอย่างนี้เถอะเพคะเพื่อให้ท่านอ๋องเย่ตรวจสอบอย่างละเอียด เรื่องนี้ตอนแรกหม่อมฉันก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ”
จวินเซียวเซียวร้องไห้ ราชครูจวินเหลือบมองพระพันปีและเดินไปคุกเข่าลง
“พระพันปี กระหม่อมมีความผิด!”
“เจ้ามีความผิดอะไรหรือ ลุกขึ้นเถอะ!” พระพันปีโบกมือขึ้น
แต่ราชครูจวินไม่ยอม
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปถาม “ท่านราชครู ถุงหอมที่ท่านให้พระพันปีไปนั้น ถุงหอมนั่นท่านเอามาจากที่ไหนหรือ ทำไมถึงมอบถุงหอมให้กับพระพันปีด้วยหรือ?”
ราชครูจวินเงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง “มีถุงหอมนั่นอยู่จริง ฮูหยินรองของกระหม่อมเป็นคนทำขึ้นมาให้กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ เพื่อเป็นการผ่อนคลายความเครียด ก่อนหน้านี้ที่กระหม่อมเข้าวังหลวงมา พระพันปีมีอาการง่วงนอน กระหม่อมจึงมอบถุงหอมให้กับพระพันปี บางครั้งกระหม่อมก็รู้สึกง่วงขึ้นมา ฮูหยินจึงมอบถุงหอมให้กับกระหม่อม และกระหม่อมก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น ในถุงหอมคือใบสะระแหน่ ฮูหยินรองเป็นคนบอกกับกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นสวมถุงมือและหยิบถุงหอมมามอบให้กับราชครูตรงหน้า ราชครูจวินต้องการนำกลับไป แต่ฉีเฟยอวิ๋นหยิบออกและกล่าวว่า “ห้ามแตะต้อง”
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงและพูดกับราชครูจวินว่า “ท่านราชครูจวินดูให้ดีๆ ว่าเป็นอันเดิมหรือไม่ ลองดมดูสิว่าเป็นกลิ่นเดิมหรือไม่?”
ราชครูจวินพยักหน้า ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “กรรไกร”
ไห่กงกงหยิบกรรไกรเข้ามา ฉีเฟยอวิ๋นตัดออกและราชครูจวินกล่าวว่า “ไม่ต้อง ข้าดูข้างนอกก็รู้ว่าเป็นรอยเย็บของนางหรือไม่ ตอนที่นางทำ ข้าก็อยู่ข้างๆ นาง”
ราชครูจวินจ้องมองอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ใช่ ลักษณะนั้นดูเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ที่ฮูหยินรองเป็นคนทำ เรายังมีผ้ารอง อย่าว่าแต่ผ้าฝ้ายข้างในเลย แม้แต่สะระแหน่ก็ไม่ใช่”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังพระพันปี “พระพันปี สลับกันแล้ว!”
“จัดการตามพวกเจ้าเห็นสะดวกเถอะ” พระพันปีมองราชครูจวิน “เอาล่ะ ลุกขึ้นเถอะ อายุปูนนี้แล้ว”
อวิ๋นหลัวฉวนลุกขึ้นไปประคองราชครูจวินให้ลุกขึ้นยืน ราชครูจวินจึงนั่งลง
เมื่อราชครูจวินนั่งลง หนานกงเย่ก็ดื่มชาไปเรื่อยๆ ข้างนอกยังคงมีฝนตกหนักอยู่
ท่านอ๋องตวนเห็นว่าพระมเหสีหวามีอาการผิดปกติ “เสด็จแม่รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
อวิ๋นหลัวฉวนขุ่นเคือง “ท่านเพิ่งสังเกตเห็นหรือ เสด็จแม่บอกว่าไม่ให้พวกเราเข้าไป ไม่ใช่เป็นเพราะร่างกายเจ็บป่วยหรอกหรือ?”
ท่านอ๋องตวนลุกขึ้นและเดินเข้าไป ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “พระมเหสีถูกวางยาพิษ เรื่องนี้ค่อยพูดกันทีหลัง สอบสวนให้เสร็จก่อนเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นกลับไปนั่งลง ภายในพระที่นั่งมีเพียงจวินเซียวเซียวคนเดียวเท่านั้นที่กำลังคุกเข่าอยู่
จักรพรรดิอวี้ตรัสว่า “ลุกขึ้นเถอะ ข้าพูดอะไรไม่เชื่อฟังเลยหรืออย่างไร?”
จากนั้นจวินเซียวเซียวจึงลุกขึ้น
ภายในพระที่นั่งมีแสงสลัวๆ สลับกับความสว่าง ภายนอกนั้นมีฝนตกหนักและฟ้าร้องคะนองเสียงดัง ฉีเฟยอวิ๋นพูดออกมาด้วยความแปลกใจ “ฤดูใบไม้ร่วงทำไมฝนฟ้าคะนองรุนแรงถึงเพียงนี้นะ ช่างแปลกมาก!”
หนานกงเย่วางถ้วยชาลง “สั่งให้คนมาทำความสะอาดพื้น ที่นี่ไม่เหมาะจะอยู่อาศัย พระพันปีและเสด็จแม่ย้ายไปที่ท้องพระโรงดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“พระพันปี……” ไห่กงกงเรียก พระพันปีลุกขึ้นและเหลือบมองพระมเหสีหวา จากนั้นพระมเหสีหวาก็ลุกขึ้นตาม
หนานกงเย่ลุกขึ้นและติดตามไปด้วย และคนอื่นๆ ก็ตามไปด้วยเช่นกัน
เดินไปได้ครึ่งทางหนานกงเย่จึงถามขึ้นมา “พระสนมเอกเซียว ท่านกล้าลงมือเช่นนี้ ไม่กลัวฟ้าจะผ่าเอาหรือ?”
พระสนมเอกเซียวตกตะลึง “เสด็จอา……”
หนานกงเย่หันกลับไป “ข้าไม่ได้เป็นเสด็จอาของเจ้า พี่สะใภ้ของข้ามีเพียงคนเดียวเท่านั้น นางอยู่ที่วัดฉือหนิงเพื่อสวดมนตร์ภาวนาขอพรให้กับฝ่าบาท!”
“เสด็จอา……” จวินเซียวเซียวน้ำตาไหลออกมา จักรพรรดิอวี้ตี้เหลือบมองหนานกงเย่ด้วยความโมโห
“เจ้าดูเจ้าสิ พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด!”
หนานกงเย่หันกลับไปและเดินไปข้างหน้า ท่านอ๋องตวนทำได้เพียงเดินตามหลังเข้าไป ทุกคนไปกันที่ท้องพระโรง ข้างนอกมีเสียงดังคร่ำครวญ เป็นเสียงที่อาอวี่กำลังทรมานร่างกายเพื่อสอบสวนคนในตำหนักจิ่นซิ่ว
จวินเซียวเซียวมองไปข้างนอกประตูและรู้สึกเสียวสันหลัง
เมื่อมาถึงท้องพระโรง มีคนนำเตาผิงมาไว้ที่ตรงกลางพระที่นั่ง ทุกคนต่างแยกกันนั่งเป็นสองฝั่ง เมื่อฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงก็รู้สึกไม่ค่อยสบายเล็กน้อย “ท่านอ๋อง รู้สึกปวดท้องเหลือเกินเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นทำสีหน้าเจ็บปวด หนานกงเย่ลุกขึ้น “ไปข้างหลัง ข้าพาเจ้าไป”
เมื่อทั้งสองคนออกไปและเดินตากฝนไปยังพระที่นั่งหลัก เมื่อมาถึงก็มานั่งรอในที่มืด และหลังจากนั้นไม่นานก็มีคนเดินเข้ามาจากนอกตำหนัก เมื่อเข้ามาก็เดินไปที่ถุงหอมทางนั้นและหยิบถุงหอมไป……
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่ หนานกงเย่หยิบหมากรุกสองอันโยนใส่อีกฝ่าย อีกฝ่ายหยุดชะงักลงและแข็งอยู่กับที่
จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่จึงออกไป
เมื่อเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย อีกฝ่ายสวมใส่ชุดนางกำนัลในวังหลวง แต่นางกลับเป็นขันที เมื่อดึงหมวกออกเขาก็คือผู้ชาย
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านอ๋อง ทำไมถึงเป็นคนของสำนักหมอหลวงได้ล่ะเพคะ?”