องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 817 ริเริ่มทำอย่างผิดปกติ
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 817 ริเริ่มทำอย่างผิดปกติ
“ในงานฉลองวันคล้ายวันเกิดในวังหลวง องค์หญิงใหญ่ดื่มมากไปหน่อย นางร้องไห้และพูดกับพ่อว่า ฝ่าบาทเป็นคนบอกว่าพ่อตายไปแล้วและบอกว่านางอายุมากแล้ว ไม่สามารถรอต่อไปได้ และต้องการให้นางแต่งงาน หากนางรู้ว่าพ่อยังมีชีวิตอยู่นางก็จะรอพ่อ ต่อให้พ่อมีภรรยาอีกคนอยู่ภายนอกนางก็จะรอ อย่างน้อยเพื่อกลับมาให้คำอธิบายกับนาง
พ่อเพิ่งรู้ว่า พวกเขาโกหกองค์หญิงใหญ่และพ่อ”
“เช่นนั้นแล้วองค์หญิงใหญ่รู้หรือไม่เจ้าคะว่าข้าไม่ได้เป็นลูกแท้ๆ ของท่านแม่และท่านพ่อ?” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกติดค้างกับเรื่องนี้ ฟังดูแล้วเหมือนองค์หญิงใหญ่จะรู้ แต่ท่านพ่อของเธอก็ไม่พูด
“ท่านแม่ของเจ้ารู้เรื่องขององค์หญิงใหญ่และรู้สึกขอโทษพ่อ จากนั้นจึงหาโอกาสตอนที่พ่อไม่อยู่ไปหาองค์หญิงใหญ่ ใครจะไปรู้ว่าได้พูดเรื่องอะไรกัน หากไม่ได้พูดไป เช่นนั้นแล้วทำไมองค์หญิงใหญ่ต้องดื่มเยอะและพูดเรื่องเหล่านั้นกับพ่อด้วย?”
“ท่านพ่อ เช่นนั้นแล้วในใจของพ่อยังมีองค์หญิงใหญ่อีกหรือไม่เจ้าคะ?”
“นั่นคงเป็นไปไม่ได้แล้ว มันเป็นอดีตไปแล้ว พ่อเพียงแค่ไม่ชอบนิสัยของจักรพรรดิเช่นนั้น เขาช่างไร้ความเป็นมนุษย์อย่างมาก”
“ฮ่า……” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขบขัน คนที่กล้าด่าจักรพรรดิว่าไม่ใช่มนุษย์นั้นก็คงมีเพียงท่านพ่อของเธอ
แม่ทัพฉีเหลือบมองฉีเฟยอวิ๋น “พ่อแค่อยากบอกว่า เรื่องในอดีตมันผ่านไปนานแล้ว พ่อไม่คิดมากตั้งนานแล้ว”
“ท่านพ่อ เช่นนั้นทำไมท่านไม่ยอมรับอวิ๋นจิ่นล่ะเจ้าคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นดื่มน้ำชาและทำหน้าไม่เข้าใจ
“อวิ๋นจิ่นเด็กเกินไป ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยนะ? พ่ออายุมากเช่นนี้แล้ว?”
“ท่านพ่อ ท่านถูกหลอกไปออกรบอยู่หลายปี เช่นนี้ข้าจะนับเวลาที่องค์หญิงใหญ่และท่านพ่อรู้จักกันได้อย่างไร อายุของข้าก็ไม่ถูกต้อง”
“พ่อทำให้การเข้ามารุกรานของปีกใต้และเมืองอู๋โยวสงบลงได้โดยใช้เวลาถึงสิบสองปี ตอนที่กลับมาลูกๆ ขององค์หญิงใหญ่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่ขวบเท่านั้น นางก็รอนางก็รอพ่ออยู่หลายปีเช่นกัน”
“ไม่น่าแปลกใจเลย!” ฉีเฟยอวิ๋นยกถ้วยชาขึ้นมา “ท่านพ่อ ท่านต้องการฟังเรื่องวรรณกรรมความฝันในหอแดงหรือไม่เจ้าคะ?”
“พ่อไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” แม่ทัพฉีไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นคืออะไร
ฉีเฟยอวิ๋นค่อยๆ พูดช้าๆ “ในหอแดงนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่ง นางมีชื่อว่าหลินไต้อวี้ ไต้อวี้คือ……”
ฉีเฟยอวิ๋นเล่าเรื่องหลินไต้อวี้ให้แม่ทัพฉีฟัง แม่ทัพฉีไม่เข้าใจ “พูดเช่นนี้ ไต้อวี้มาเพื่อเป่าอวี้ เมื่อไม่มีเป่าอวี้ก็เลยตายจากไป?”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้าและจ้องมองแม่ทัพฉีและกล่าวต่อไปว่า “ท่านพ่อ ตอนนี้ท่านยังโสดและยังมีอายุอีกหลายสิบปี ถึงแม้ว่าอวิ๋นจิ่นจะเป็นหญิงสาววัยรุ่น แต่เมื่อคิดกลับกันแล้ว นางก็ใช้เวลานานกว่าจพบเจอท่าน หากมีโชคชะตาต่อกันแล้ว เช่นนั้นก็นับว่าได้เคยทำบุญร่วมกันในหลายสิบปีก่อน แต่ตอนนี้ท่านพ่อกลับไม่ยอมรับอวิ๋นจิ่น ท่านพ่อคิดว่าอวิ๋นจิ่นไม่มีท่านพ่อแล้วนางจะยังมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของแม่ทัพฉีเปลี่ยนไป “อวิ๋นอวิ๋น พ่อรู้ว่าเจ้ามาจากอีกโลกหนึ่ง แต่เจ้าก็ไม่อาจทำเรื่องเล่นๆ เช่นนี้ได้ พ่ออายุปูนนี้แล้ว แทบจะเป็นพ่อของ……”
“ท่านพ่อ ท่านต้องการเห็นอวิ๋นจิ่นตายหรือว่าต้องการมีชีวิตที่เหลือกับอวิ๋นจิ่น ท่านพ่อตัดสินใจเอง เพียงแต่เสียดายหญิงสาวที่ดีอย่างอวิ๋นจิ่น ร่างกายของท่านพ่อบวกกับที่ข้าให้ไปบำรุง อย่าพูดแค่อายุเจ็ดสิบแปดสิบเลย เป็นชายชราอายุร้อยปีก็เป็นเรื่องปกติ อวิ๋นจิ่นหากนับตอนนี้ สี่สิบห้าสิบปีก็ง่ายมาก แต่หากท่านพ่อยังไม่ยอมรับ เช่นนั้นอวิ๋นจิ่นมีทางเดียวก็คือตาย คือท่านพ่อเป็นคนทำให้นางตาย
อีกอย่างตอนนี้อวิ๋นจิ่นก็เข้าใจท่านพ่อผิดไปและคิดว่าท่านพ่อยังมีใจให้กับท่านแม่อยู่
นี่เป็นเรื่องที่ทำให้อวิ๋นจิ่นเจ็บปวดมากที่สุด!”
แม่ทัพฉีเริ่มอารมณ์ไม่ดี “หยุดพูดจาเหลวไหล”
“ท่านพ่อ ท่านกลัวอะไรหรือ? กลัวคนหัวเราะหรือ?”
“พ่อแก่แล้ว จะทำเรื่องอย่างว่าได้อย่างไร?”
“……”
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งอยู่อีกฝั่งโดยไม่พูดอะไร แม่ทัพฉีต้องการจะออกไป ฉีเฟยอวิ๋นเห็นเขาเดินไปถึงประตูและถามว่า “ท่านพ่อ ครั้งนี้ที่กลับมาได้เห็นอวิ๋นจิ่นบ้างหรือไม่เจ้าคะ?”
แม่ทัพฉีหันกลับมา “อวิ๋นจิ่นป่วยไม่ใช่หรือ?”
“นางป่วย แต่นางป่วยเพราะคิดถึง นางป่วยเพราะท่านพ่อ ตอนนี้ไม่กินอะไรทั้งนั้นและลุกไม่ขึ้น ตอนที่ลูกเห็นนาง นางแนบพิงประตูหน้าต่างและมองออกไปข้างนอก ท่าทางของนางดูเหมือนไต้อวี้ที่เหลือเพียงลมหายใจที่อ่อนเบา หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คงต้องจากโลกนี้ไปแน่ๆ ท่านพ่อต้องเตรียมตัวส่งนางเป็นครั้งสุดท้ายนะเจ้าคะ”
แม่ทัพฉีหันกลับไปมองฉีเฟยอวิ๋น “เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น “ท่านพ่อคิดว่าแอบอยู่ในจวนแม่ทัพแล้วไม่ไปเจออวิ๋นจิ่น แค่นี้เรื่องก็จบอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นท่านพ่อหลบความรู้สึกผิดชอบชั่วดีได้หรือไม่เจ้าคะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปและแม่ทัพฉีก็เดินออกจากจวนแม่ทัพไปโดยไม่หันหลังกลับมามองอีกเลย
เมื่อแม่ทัพฉีออกไป ฉีเฟยอวิ๋นก็ยืนอยู่ในเรือนอยู่ครู่หนึ่ง พ่อบ้านก็ได้ยินเรื่องของอวิ๋นจิ่น จึงสอบถามจากแม่ทัพฉี “ท่านแม่ทัพ แม่นางอวิ๋นจิ่นอาการหนักมากหรือขอรับ?”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?” แม่ทัพฉีหันหลังกลับและเดินเข้าไปในห้อง
ภายในวังหลวง
จวินเซียวเซียวนอนอยู่บนเตียงและสายตาก็มองตรงไปข้างหน้า
จักรพรรดิอวี้ตี้อุ้มองค์หญิงกู้กั๋วนั่งเล่นอยู่อีกฝั่งหนึ่ง “ท่านอ๋องเย่ทำเกินไปบ้างเล็กน้อย ข้าจะจัดการเขา”
น้ำตาของจวินเซียวเซียวไหลออกมา นางเพียงแค่เม้มปากแต่กลับไม่พูดอะไร ไม่ว่าใครได้เห็นก็รู้สึกเอ็นดูและอดไม่ได้ แต่จักรพรรดิอวี้ตี้กลับขมวดคิ้ว
“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันถูกใส่ร้าย” จวินเซียวเซียวเม้มปาก
จักรพรรดิอวี้ตี้ถอนหายใจ “ข้ารู้”
จวินเซียวเซียวไม่พูดอะไรอีก แต่ในใจกลับคิดได้แล้วว่าจะทำอะไร
……
หนานกงเย่ยืนรออยู่หน้าจวนท่านอ๋องและเดินไปเดินมาด้วยความกระวนกระวายใจ อาอวี่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งและบ่นในใจ ความกล้าของท่านอ๋องนับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เดิมทีในเมืองหลวงแห่งนี้ไม่มีใครกล้าขัดขวางเขา แต่ตอนนี้กลับกลัวพระชายาราวกับหนูเห็นแมวยังไงยังงั้น
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นกลับมา หนานกงเย่ก้าวเ้าเข้าไปเพื่อจะเข้าไปหา แต่เมื่อนึกถึงเฟยอิงและอาอวี่ จากนั้นจึงหยุดชะงักลง
ฉีเฟยอวิ๋นเดินใกล้เข้ามาและยื่นมือออกมาจับมือของหนานกงเย่ ลมฤดูใบไม้ร่วงเริ่มเย็นลง ฉีเฟยอวิ๋นอดไม่ได้ที่ให้หนานกงเย่ต้องยืนรออยู่ข้างนอกด้วยความหนาว จึงดึงมือของเขาเข้ามาข้างในเสื้อผ้า ถึงแม้จะเป็นการกระทำที่ธรรมดามากอย่างหนึ่ง แต่ก็ทำให้หนานกงเย่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางหนานกงเย่ เขาดูตกใจและนิ่งไป
ฉีเฟยอวิ๋นพาเขาเดินเข้าไปข้างใน ดูเหมือนหนานกงเย่จะถูกลากเข้าไป เพราะเดินช้ามาก
ตลอดทางที่เดินหนานกงเย่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย ราวกับทำให้ตกใจและป่วยไป!
เฟยอิงและอาอวี่ต่างไม่เข้าใจว่าหนานกงเย่เป็นอะไรไป
เมื่อทั้งสองเดินเข้าประตูมา ฉีเฟยอวิ๋นก็พาหนานกงเย่ไปที่ห้องที่เรือนสวนดอกกล้วยไม้ เมื่อเข้าประตูไปก็ถาม “กินอะไรหรือยังเพคะ?”
“ยัง!” หนานกงเย่รู้สึกแปลกในใจเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจบอกได้แน่ชัด
ฉีเฟยอวิ๋นปลดเสื้อผ้าออก “ไปอาบน้ำเพคะ”
หนานกงเย่ตามฉีเฟยอวิ๋นไปที่สระน้ำกำมะถัน เมื่อเปิดประตูออก ฉีเฟยอวิ๋นก็เดินก้าวเข้าไปและปลดผ้าออก หนานกงเย่ตามเข้าไป ฉีเฟยอวิ๋นถอดเสื้อผ้าตัวนอกออกและหันมา หนานกงเย่ยังไม่ถอด เธอจึงเดินไปถอดให้หนานกงเย่
“วันนี้ทำไมถึงดีเช่นนี้นะ?” หนานกงเย่แทบไม่อยากจะเชื่อ ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมาและยิ้ม
“วันไหนไม่ดีหรือเพคะ?”
“มีเพียงวันนี้จะริเริ่มทำให้”
ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ที่ดูท่าทางไม่สบายใจและหันหลังลงน้ำไป
หนานกงเย่ตามลงไป และเดินไปด้วยความไม่เต็มใจสักเท่าไร
ฉีเฟยอวิ๋นพาเข้าเข้าไปข้างในใกล้กับโขดหิน หนานกงเย่ขยับเข้าไปใกล้และนั่งลง “อวิ๋นอวิ๋น”
ฉีเฟยอวิ๋นริเริ่มแนบตัวเข้าไปใกล้ สองมือของหนานกงเย่จับกุมฉีเฟยอวิ๋นไว้แน่น “เพื่ออะไรหรือ?”
หนานกงเย่รู้สึกว่าฉีเฟยอวิ๋นแปลกไปและต้องการจะจากเขาไปทุกขณะ
เขากลัวความรู้สึกเช่นนี้
จู่ๆ สองมือก็รัดแน่น
ฉีเฟยอวิ๋นริเริ่มจูบหนานกงเย่ก่อนหนึ่งครั้ง ทั้งสองพลอดรักกันในสระกำมะถัน
เมื่อกลับมาจากสระกำมะถัน ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกเหนื่อย แต่ก็ยังลุกขึ้นไปดูอวิ๋นจิ่น อีกทั้งตอนกลางคืนเธอก็ต้องอยู่ดูแลอวิ๋นจิ่นด้วย