องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 822 อาการป่วยของเจ้าห้า
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 819 อาการป่วยของเจ้าห้า
ฉีเฟยบอกอวิ๋นให้อาอวี่และเฟยอิงออกไปด้านนอกส่วนหนานกงเย่ก็นั่งลงแล้ว ทั้งคู่จ้องมองไปยังเจ้าห้าและในไม่ช้าเจ้าห้าก็ถูกห่อจนเป็นรังไหมดังเช่นรังไหมขนาดใหญ่
ฉีเฟยอวิ๋นสูดหายใจลึก: “เจ้าห้ามีพรสวรรค์ต้องไม่เป็นไรแน่”
“จะไม่อึดอัดตายใช่หรือ?” หนานกงเย่กังวลและอยากจะอุ้มรังไหมไปแต่ปรากฏว่าหนักยิ่งนัก เมื่อมองลงไปก็ถูกแขวนอยู่บนพื้นแล้ว
หนานกงเย่คลายมือแล้วนั่งลงข้างฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “ท่านอย่าได้พูดจาไร้สาระ ไม่เป็นไรหรอก ขนาดใหญ่เช่นนี้ท่านอุ้มไหวหรือไม่เช่นนั้นท่านก็กอดเอาไว้สิ”
ฉีเฟยอวิ๋นฝืนยิ้ม เคยเห็นเรื่องเช่นนี้ที่ใดกัน ลูกชายของกลายเป็นรังไหมเสียแล้ว
หรือว่าจะออกจากรังไหมกลายเป็นผีเสื้อและมีปีกด้วย?
ฉีเฟยอวิ๋นประคองอวิ๋นจิ่นให้นอนลง: “เจ้าพักผ่อนก่อน ในเมื่อเจ้าห้าไม่เป็นไรเจ้าก็อย่าได้กังวลไปเลย ข้ากับท่านอ๋องจะนอนที่นี่คืนนี้”
“อืม”
อวิ๋นจิ่นไปนอนยังฝั่งหนึ่งในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่เฝ้าเจ้าห้าอยู่
ดึกมากแล้วฉีเฟยอวิ๋นถึงได้นอน เมื่อตื่นมาในตอนเช้าและลืมตาขึ้นก็ตกใจ รังไหมทั้งรังถูกน้ำแข็งปกคลุมเอาไว้ราวกับก้อนหิมะ
ฉีเฟยอวิ๋นดูด้วยความประหลาดใจ: “ท่านอ๋อง”
หนานกงเย่กุมมือฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้: “ข้ารู้”
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่แต่ก็ยังคงสงบนิ่ง: “ไม่เป็นไร”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้กล่าวสิ่งใด มีหรือไม่อะไรต้องดูผลสุดท้าย
“ข้านอนหลับครู่หนึ่งอวิ๋นอวิ๋นดูก่อนนะ” หนานกงเย่กล่าวว่าจะหลับแล้วแต่เขาป็นห่วงลูกชายจึงไม่ได้นอนเลยทั้งคืนเนื่องจากจ้องมองอยู่ตลอด
ฉีเฟยอวิ๋นยุ่งกับการจัดการให้เขา หนานกงเย่นอนลงแล้วยื่นมือวางไว้ฝั่งหนึ่งโดยที่มือนั้นวางอยู่บนรังไหมและน้ำแข็งก็อยู่บนนิ้วของเขา เขาหลับตาลงส่วนฉีเฟยอวิ๋นสัมผัสและน้ำแข็งนั้นเย็นยะเยือกจึงอยากจะนำมือของหนานกงเย่ออก
“ข้าไม่เอาออก” หนานกงเย่ไม่ลืมตาและบอกกับฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นจึงทำได้เพียงนำมือออก
หนานกงเย่นอนอยู่เช่นนี้ ฉีเฟยอวิ๋นไปดูอวิ๋นจิ่น อวิ๋นจิ่นยิ่งหนักหนามากขึ้นเสียแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกจนปัญญา ในวังยังต้องไปดูอีกสองคนแล้วในเรือนก็เกิดเรื่องขึ้นอีก
“เจ้าห้า เสด็จย่าของเจ้าก็ป่วยเช่นกัน แม่ต้องเข้าวังไปดูแล้วจะรีบกลับมา ท่านพ่อของเจ้าจะอยู่กับเจ้านะ”
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่รู้ว่าลูกชายจะได้ยินหรือไม่ซึ่งนางก็อธิบายไว้แล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นจัดการเก็บอยู่ครู่หนึ่งแล้วฉีดยาให้อวิ๋นจิ่นจากนั้นฝากฝังให้เฟยอิงดูแลอวิ๋นจิ่นอย่าให้อวิ๋นจิ่นเกิดเรื่อง นางจะออกไปเพียงแค่สองชั่วยามและอาอวี่ก็ตามนางไปด้วย
ครั้งนี้อาอวี่รู้สึกแปลก เขาอยากจะอยู่ด้วยจริงๆแต่ว่าเหตุใดพระชายาถึงได้พาเขามาด้วย?
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าวังไปพบพระพันปีและไท่เฟย อธิบายชัดเจนแล้วก็เรียกหมอหลวงโจวมาอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วจึงได้จากไป
ฉีเฟยอวิ๋นไม่วางใจจึงได้ไปยังจวนกั๋วกง
“เจ้าห้าป่วยในเวลาที่ไม่เหมาะ แต่ว่าในเวลานี้ข้าก็รู้สึกไม่วางใจต่อในวัง เมื่อคืนท่านอ๋องไม่ได้นอนจึงเข้าวังไม่ได้จึงต้องรบกวนคนในจวนกั๋วกงแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกอยู่ตลอดว่าจวินเซียวเซียวไม่มีทางปล่อยไปเช่นนี้ หากว่าจะลงมือก็น่าจะในเวลานี้
“พระชายาเย่ไม่ต้องเป็นห่วง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเรา” ฮูหยินกั๋วกงหันมองกลับไปยังเรือนหลัง เช่นไรก็เป็นท่านอ๋องเหมือนกัน อ๋องตวนนั้นช่างไม่รู้เวลาจริงๆ ตั้งแต่ได้ยินอ๋องเย่บอกว่าในวังไม่ปลอดภัยก็พาฉวนเอ๋อร์กลับมาแล้วก็ไม่ได้ออกมาอีกเลย ไม่กลับไปจวนอ๋องตวนและไม่ไปจวนอ๋องเย่หมายความว่าสิ่งใด?
เดิมทียังอาศัยอยู่ที่จวนอ๋องเย่แต่ตอนนี้จวนอ๋องเย่ก็ไม่ไปซะแล้ว!
ฉีเฟยอวิ๋นจากไปก็ไปยังจวนกั๋วจิ้ว ถึงที่นั่นแล้วหวังฮวายอันก็อยู่ด้วย หวังฮวายอันเฝ้าดูหวังฮวายเต๋ออยู่ เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็จัดชุดคลุม
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า: “กั๋วจิ้ว”
“อืม”
สองสามวันนี้หวังฮวายอันอยู่ที่เรือนกั๋วจิ้วตลอด ฉีเฟยอวิ๋นเห็นสีหน้าไม่ดีจึงได้ถามว่า: “เกิดสิ่งใดขึ้น?”
“ไม่เป็นไร วันนี้มาเยี่ยมต้ากั๋วจิ้ว”
“เข้าไปเถอะ” หวังฮวายอันหลีกไปฉีเฟยอวิ๋นจึงเดินตรงเข้าไป เมื่อถึงลานด้านในฉีเฟยอวิ๋นก็ตรวจดูอาการให้หวังฮวายอันทันทีโดยที่นำยามาและฉีดยาเรียบร้อย
จากนั้นไปดูอาการให้ฮูหยินกั๋วจิ้ว อาการป่วยของฮูหยินกั๋วจิ้วย่ำแย่ นางตรวจพบอาการป่วยบางอย่าง อย่าว่าแต่ในตอนนี้แม้แต่ในภายหน้าก็รักษาไม่หาย
ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายชัดเจนแล้วก็ลุกขึ้นแล้วจากไป
รถม้าของหวังฮวายอันอยู่ด้านนอก เมื่อออกจากประตูก็ถามฉีเฟยอวิ๋นว่า: “เกิดเรื่องขึ้นใช่หรือไม่?”
“เจ้าห้าล้มป่วย ข้าจะกลับไปดูเจ้าห้า กั๋วจิ้ว ที่นี่ต้องดูแลรบกวนกั๋วจิ้วแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นขึ้นรถม้าแล้วกลับไปยังจวนอ๋องเย่เลยโดยตรง
“ท่านอ๋อง เกิดสิ่งใดขึ้น?” กลับมายังห้องของอวิ๋นจิ่นหนานกงเย่นั้นได้ตื่นแล้วและกำลังนั่งพิงกำแพงฝั่งหนึ่งโดยที่จ้องมองเจ้าห้าซึ่งได้กลายเป็นรังไหมราวกับลูกบอลขนาดใหญ่ไปแล้ว
“ยิ่งอยู่ยิ่งย่ำแย่มากขึ้นเรื่อยๆ” หนานกงเย่ก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี เห็นลูกชายเป็นเช่นนี้เขาผู้เป็นพ่อกลับไม่สามารถทำสิ่งใดได้จึงรู้สึกอารมณ์ไม่ดี
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าประตูมานั่งอยู่ตรงหน้าของลูกชาย เอื้อมมือไปสัมผัส รังไหมนั้นแข็งมากแล้ว
วันนี้อวิ๋นจิ่นทานเพียงเล็กน้อย นางเป็นห่วงเจ้าห้าจึงต้องตั้งสติและไม่สร้างปัญหาในเวลานี้
ฉีเฟยอวิ๋นดูอวิ๋นจิ่นและแน่ใจแล้วว่าดีขึ้นมากแล้วจึงได้วางใจ
สามีภรรยานั่งตรงข้ามกันโดยมีรังไหมของเจ้าห้าอยู่ตรงกลาง ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “มันเริ่มขึ้นเมื่อเรากลับมา สาเหตุต้องเกิดจากพวกเราเป็นแน่ ตอนนี้ไม่สามารถเข้ามาในเรือนนี้ได้ตามอำเภอใจแล้ว ท่านอ๋องให้อวิ๋นจิ่นพักอยู่ในเรือนและพวกเราอยู่กับเจ้าห้าที่นี่ก็พอแล้ว”
หนานกงเย่เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋น: “อืม”
อวิ๋นจิ่นลุกขึ้นทันทีแล้วไปจัดการที่สวนดอกกล้วยไม้โน่น
ทุกคนรู้ว่าเจ้าห้าเกิดเรื่อง ทั้งจวนอ๋องเย่นั้นก็ตกอยู่ในความซึมเศร้า
สวีกงกงก็ป่วยด้วย เสี่ยวเฉียวรีบมาแต่ไม่กล้าเคาะประตูจึงเดินไปเดินมาอยู่นอกประตู
“ใครอยู่ด้านนอกหน่ะ?” หนานกงเย่หูตาว่องไวจึงได้ยินเสียงคนตรงหน้าประตู
เสี่ยวเฉียวกล่าวว่า: “ข้ามาหาท่านแม่ ท่านปู่สวีใกล้จะไม่ไหวแล้ว”
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นได้ยินก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปด้านนอกประตู
ใบหน้าของเสี่ยวเฉียวเต็มไปด้วยน้ำตา: “ท่านปู่สวีไม่กินสิ่งใดเลยไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร”
แม้ว่าเสี่ยวเฉียวยังเด็กแต่กลับไม่ใช่เด็กทั่วๆไป นางรู้ว่าเรื่องใดควรหาอวิ๋นจิ่นและเรื่องใดควรหาฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปยังทางเรือนจวินจื่อทันที เมื่อถึงตรงหน้าประตูของสวีกงกงก็เห็นว่าอามู่ก็อยู่ที่นั่นด้วย อามู่เห็นฉีเฟยอวิ๋นก็กล่าวว่า: “สองสามวันมานี้ท่านปู่สวีไม่กินสิ่งใดเลย”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปผลักประตูแล้วเดินเข้าไป นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้นกับจวนอ๋องเย่?
เมื่อเข้าประตูไปฉีเฟยอวิ๋นเห็นสวีกงกงนอนอยู่โดยที่ร่างกายนั้นซูบผอมไปมากและคลุมผ้าห่มอยู่ ฝั่งหนึ่งเป็นโต๊ะและมีคัมภีร์บางส่วนวางอยู่บนโต๊ะ
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปใกล้แล้วนั่งลงเอื้อมมือไปจับข้อมือของสวีกงกงและเริ่มตรวจดูอาการ
สวีกงกงลืมตาขึ้น: “เสี่ยวสวีจื่อจากไปแล้วหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นชะงักแล้วถามว่า: “ผู้ใดบอก?”
สวีกงกงอ้าปากแล้วน้ำตาก็ไหลลงมา “ข้าน้อยฝัน ข้าน้อยรู้ว่าเขาจากไปแล้วไม่มีผู้ใดบอกให้ข้าน้อย พระชายาเย่ข้าน้อยรู้ว่าท่านจิตใจดีมีเมตตา แต่ข้าน้อยอยู่ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดต้องฝากฝังแล้ว พระชายาเย่ดีจริงๆแต่ข้าไม่มีบุญ!
อาซีจากไปแล้ว เสี่ยวสวีจื่อก็จากไปแล้ว เดิมทีข้าน้อยคิดถึงฝ่าบาทและมักรู้สึกว่าฝ่าบาทมิได้ทรงจากข้าน้อยไป แต่ตอนหลังคิดๆไปแล้วก็มิได้เป็นเช่นนั้น
ฝ่าบาททรงเป็นฝ่าบาท ข้าน้อยเป็นบ่าวและบ่าวก็ไม่ควรคาดหวังเกินควร! ”
“ เสี่ยวสวีจื่อนั้นสบายดี ข้าจะให้เขามาเจ้ารอก่อนและกินยาเสียก่อน” ฉีเฟยอวิ๋นนำยามาให้สวีกงกงกินทว่าสวีกงกงนั้นเบือนหน้าไปทางอื่น