องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 828 จิตใจริษยาของเจ้าห้า
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 825 จิตใจริษยาของเจ้าห้า
เงยหน้าขึ้นแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็มองไปยังเฟิ่งไป่ซู เฟิ่งไป่ซูยังคงมองเจ้าห้าอย่างละเอียด
ฉีเฟยอวิ๋นยังไม่ได้ถามเฟิ่งไป่ซูก็ได้เปิดถุงเท้าของเจ้าห้าแล้วเผยเท้าเล็กๆของเขาออกมา เท้าอันขาวและอ่อนนุ่มนั้นพร้อมด้วยสีแดงเข้มด้านใต้ซึ่งเห็นได้ว่าแข็งแรงนักเฟิ่งไป่ซูก็อดหัวเราะไม่ได้: “ดูผอมบางนักแต่แท้จริงแล้วในบรรดาเด็กๆทั้งหลายเหล่านี้ เด็กคนนี้มีกระดูกที่เยี่ยมยอดและเลือดลมอันดีเยี่ยม”
ฉีเฟยอวิ๋นงุนงง จากนั้นเฟิ่งไป่ซูหยิบเท้าของเจ้าห้าแล้วหันฝ่าเท้าไปทางพวกฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่
ฉีเฟยอวิ๋นก้มมองลงไปชะงักอยู่เนิ่นนาน
“ท่านอ๋อง……”
หนานกงเย่ก็เห็นแล้วว่ากลางฝ่าเท้าข้างซ้ายของลูกชายเป็นรูปจุดเจ็ดดวงดาว
ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ: “ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้เหตุใดตอนนี้ถึงได้มีสิ่งนี้ขึ้นมาหล่ะ?”
“เขาคงจะเปิดบางสิ่งที่ไม่ควรเปิดรวมถึงครั้งนี้ที่เขาฝืนรับเอาราชากู่น้ำแข็ง ในร่างกายจึงมีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปและภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไรก็ยังกล่าวได้ยาก”
เฟิ่งไป่ซูอธิบายพร้อมทั้งสวมถุงเท้าให้กับเจ้าห้าแล้วตบเจ้าห้าเบาๆจากนั้นพับแขนเสื้อโดยมองซูอู๋ซินและหนานกงเย่
ซูอู๋ซินกล่าวว่า: “จักรพรรดินีแคว้นเฟิ่ง นับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นจักรพรรดินีก็มีพิธีสืบทอดกันมาโดยสามารถใช้ตำแหน่งดวงดาวเพื่อทำนายดวงชะตาได้!”
ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่กลับประหลาดใจและก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
หนานกงเย่ถามว่า: “กล่าวเช่นนี้จักรพรรดินีมองออกได้ถึงผู้ที่แม่ทัพฉีสามารถไว้วางใจมอบตำแหน่งให้ได้หรือ?”
“กล่าวเช่นนี้ก็ได้รูปหน้าของแม่ทัพฉีนั้นเพียงพอที่จะมองออกว่าแม่ทัพฉีเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์และกล้าหาญมอบอวิ๋นอวิ๋นให้แม่ทัพฉีก็สามารถวางใจได้และ……”
ซูอู๋ซินมองไปยังเฟิ่งไป่ซูซึ่งไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่
เฟิ่งไป่ซูกล่าวว่า: “การแต่งงานของพี่ใหญ่อันนั้นไม่ง่ายจึงต้องมาช้าหน่อย”
ฉีเฟยอวิ๋นจ้องมอง: “ไม่มีไม่ใช่หรือ?”
“อืม ใช่ว่าจะไม่มี ก่อนหน้านี้ขณะที่พี่ใหญ่อันไปถึงแคว้นเฟิ่งเคยดูอย่างละเอียดแล้ว ดาวหงหลวนซึ่งเป็นดวงดาวแต่งงานของเขายังไม่ได้เคลื่อนย้ายแต่ครั้งนี้ที่มาดาวหงหลวนก็ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเขา คิดว่าข่าวดีของเขาใกล้เข้ามาแล้ว”
คำกล่าวนี้ของเฟิ่งไป่ซูทำให้ฉีเฟยอวิ๋นขบขัน มีเรื่องสนุกแล้ว!
ฉีเฟยอวิ๋นถามด้วยรอยยิ้มว่า: “ดูที่มาที่ไปของหญิงผู้นี้ได้หรือไม่?”
“อืม ดูได้อยู่บ้าง คนผู้นี้กับพี่ใหญ่อันรู้จักกันมาหลายปีแล้วและเป็นภรรยาผู้อายุน้อยกว่า!”
“อวิ๋นจิ่น?”
ฉีเฟยอวิ๋นตกใจโดยไม่คาดคิด ช่างเก่งกาจยิ่งนักจริงๆ!
โดยธรรมชาติแล้วหนานกงเย่ไม่เชื่อเขาจึงถามว่า: “จักรพรรดินีได้โปรดให้ข้าดูได้ไหม”
เฟิ่งไป่ซูลืมตาขึ้น: “เคยเห็นมาก่อนแล้วเจ้าต้องการถามสิ่งใด?”
“ข้าจะมีบุตรสาวหรือไม่?”
“มี เพียงแต่ว่าเจ้าจะมีลูกสาวเพียงผู้เดียวและลูกชายห้าคน กล่าวคือลูกคนต่อไปต้องเป็นลูกสาวแน่ เว้นแต่ว่าจะมีบางอย่างผิดปกติให้กำเนิดไม่ได้แล้วก็ได้ให้กำเนิดอีก!”
“……ไม่แน่นอน” หนานกงเย่ตื่นเต้นยิ่งนัก แต่เมื่อคิดๆดูแล้วก็ถามด้วยความเป็นห่วงทันที: “ข้ากับอวิ๋นอวิ๋นเยาว์วัยเช่นนี้เหตุใดถึงมีลูกเพียงหกคน?”
“หกคนไม่น้อยแล้ว”
เฟิ่งไป่ซูมองท่าทางของคนที่ดูช่างน่าเบื่อหน่ายผู้นี้
หนานกงเย่ทำสิ่งใดไม่ถูกอยู่บ้าง: “แม้ว่าบุตรชายของข้าจะมีมากมายแต่ก็เกิดในครรภ์เดียวเท่านั้น ซึ่งไม่ได้หมายความว่าอวิ๋นอวิ๋นกับข้ามีบุตรเพียงสองครรภ์แต่พวกเราก็ยังเยาว์วัยกันเช่นนี้”
“ดังนั้นปัญหาอยู่ที่ใด เจ้าต้องการถามข้าว่าเหตุใดอายุยังน้อยถึงได้มีสองครรภ์ใช่ไหม?”
“……” ในใจหนานกงเย่เย็นยะเยือก เฟิ่งไป่ซูกล่าวไปถึงเข้าในไปหัวใจของเขาแล้ว
เฟิ่งไป่ซูกล่าวว่า: “ที่จริงแล้วท่านควรคิดในแง่ดี หากท่านมีเพียงสองครรภ์แล้วให้กำเนิดลูกชายหญิงหกคนแสดงว่าในชีวิตนี้ท่านมีอวิ๋นอวิ๋นเป็นภรรยาเพียงผู้เดียวเท่านั้น
เนื่องจากในภายภาคหน้าอวิ๋นอวิ๋นก็จะมีลูกเพียงหกคนและพวกเจ้าก็เหมือนกัน”
หนานกงเย่เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋น: “ข้าจะไม่ให้กำเนิดลูกกับผู้อื่น”
ฉีเฟยอวิ๋นกรอกตาขาวต่อหนานกงเย่ ช่างไร้ยางอายสิ้นดี เรื่องเช่นนี้มิใช่มากล่าวในที่นี้
หนานกงเย่ถามว่า: “เหตุใดถึงมีเพียงสองครรภ์เท่านั้น?”
“ลูกสาวคนนี้ของเจ้ามีความเกี่ยวข้องกับเจ้ายิ่งนักซึ่งเป็นผู้ที่เจ้าติดค้าง กล่าวตามตรงคือโลกนี้ช่างกลมนักศัตรูที่ไม่ปรารถนาพบเจอก็พบเจอ เจ้าติดค้างนางและนางก็มาหาเจ้า”
“หมายความว่าเช่นไร?”
“หมายความว่าเป็นศัตรู ศัตรูจะแย่งชิงสิ่งที่ดีที่สุดของเจ้าไปอย่างแน่และสิ่งที่ดีที่สุดของเจ้าก็คืออวิ๋นอวิ๋นอย่างไม่ต้องสงสัย หากเป็นไปตามที่ข้าเห็นไม่ผิดนั้นวันที่ลูกสาวของเจ้าถือกำเนิดดวงดาวสุริยันและดวงดาวจันทราบรรจบกันพอดีและเป็นช่วงเวลาที่ไร้ซึ่งแสงสว่าง
สามารถอยู่รอดได้เพียงคนเดียว! ”
“……” หนานกงเย่บีบมืออย่างแรง: “ไม่ได้!”
เฟิ่งไป่ซูตบเจ้าห้าในอ้อมแขนและดูเหมือนว่าเจ้าห้าได้ตื่นแล้วโดยขมวดคิ้วอยู่
เฟิ่งไป่ซูกล่าวอย่างตรงไปตรงมา: “ได้หรือไม่ได้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะตัดสินใจได้ ลูกสาวคนนี้ของเจ้าเป็นหญิงหยิ่งผยองจากสวรรค์ นางเกิดมากุมชะตาของเจ้า ดังนั้น……ชะตาของนางแข็งนัก!”
“……” หนานกงเย่ตะลึงโดยที่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า: “นางจะไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
“อืม”
เฟิ่งไป่ซูมองไปยังฉีเฟยอวิ๋น: “ขณะที่ข้าให้กำเนิดเจ้าก็เกือบตายเช่นกันแต่ไม่ได้เกลียดชังเจ้าตรงกันข้ามเนื่องจากเจ้ากำเนิดข้ามีความสุขยิ่งนัก และบางทีเจ้าอาจจะเกิดมาพร้อมกับชะตาอันพิเศษซึ่งขัดข่มกับพ่อแม่ ดังนั้นพวกเราสามีภรรยาจึงได้แยกจากกันนานหลายปี แต่ตอนนี้ได้อยู่ด้วยกันแล้วกลับรู้สึกว่าทุกอย่างช่างคุ้มค่า”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า: “ก่อนหน้านี้ข้าก็ไร้ซึ่งท่านพ่อท่านแม่ เมื่อมาถึงที่นี่แม้ว่าในใจข้าจะไม่พอใจแต่ตอนนี้ได้รับสิ่งต่างๆมากขึ้นยิ่งกว่า”
ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่: “ท่านอ๋อง แม้ว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงถึงชีวิตข้าก็เต็มใจ ผู้คนมีชีวิตอยู่ก็ต้องมีสิ่งที่ตนเองเป็นห่วงเป็นใย และสิ่งที่ข้าห่วงใยก็คือท่านอ๋องมีลูกสาวคนหนึ่ง?”
“ข้าอาจจะไม่ต้องการ” จู่ๆหนานกงเย่ก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
เฟิ่งไป่ซูกล่าวว่า: “ข้าเห็นว่าใจกลางหว่างคิ้วของเจ้าแดงแล้วเชื่อว่าอีกไม่นานเจ้าจะกลายเป็นพ่ออีกครั้ง เจ้าไม่ยินยอมก็ไม่ทันการณ์เสียแล้วและเห็นการฝืนทนของเจ้า ชะตาของเจ้านำพาลูกสาวและเป็นหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ซึ่งไม่สามารถหนีพ้นได้!”
“ท่าน……”
หนานกงเย่โมโหกระทั่งกัดฟันกรอด ฉีเฟยอวิ๋นเห็นสถานการณ์ตึงเครียดของเขาจึงลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า: “พวกเรากลับกันก่อนดีกว่า ที่มาวันนี้ก็เพื่อดูว่าพวกท่านอาศัยอยู่กันได้สบายหรือไม่ อีกอย่างที่นี่คือเมืองต้าเหลียงท่านทั้งสองเป็นจักรพรรดิไม่ทราบว่าต้องการพบองค์จักรพรรดิอวี้ตี้หรือไม่?”
“ไม่จำเป็นแล้ว ข้าสองคนมาที่นี่นั้นเพื่อเที่ยวเล่นจึงไม่ต้องลำบากเช่นนั้น อีกสองสามวันรอให้ในจวนของพวกเจ้าสงบสุขแล้วพวกเราก็จะจากไปแล้ว”
“อืม” ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดมากมาย เช่นไรฐานะของผู้อื่นนั้นสูงส่งและนางก็ไม่ต้องการกล่าวสิ่งใดมาก เหลือบมองหนานกงเย่แล้วหันหลังจากไป
ออกจากประตูแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็กอดเจ้าห้าและตบเบาๆแล้วมองลงไปยังเจ้าห้า: “แม่คิดว่าร่างกายขอเจ้าไม่แข็งแรง ร่างกายของเจ้านั้นแข็งแรงเช่นนี้!”
“แค่ก แค่ก……”
เจ้าห้านอนหลับอยู่ก็ไอขึ้นมาทำให้ฉีเฟยอวิ๋นตกใจจนตัวสั่นจนเกือบจะขว้างเจ้าห้าทิ้งไป หนานกงเย่อุ้มลูกชายเอาไว้ด้วยความตกใจจนเหงื่อแตก
เงยหน้าขึ้นแล้วหนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋นอย่างโกรธเคือง: “พูดจาเรื่อยเปื่อย”
ฉีเฟยอวิ๋นก็ตกใจไม่น้อย เมื่อเห็นว่าลูกชายไม่เป็นไรก็ไม่กล้ากล่าวสิ่งใด
อุ้มลูกชายกลับมาแล้วคราวนี้ก็ไม่กล้าพูดจาเรื่อยเปื่อยแล้ว เจ้าห้าหันศีรษะแล้วนอนหลับอย่างสบายฉีเฟยอวิ๋นจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
คิดอยู่ในใจว่าจิตใจอิจฉาริษยาของเด็กคนนี้ก็รุนแรงเกินไปซะแล้ว เป็นเช่นนี้ต่อไปจะไหวหรือ?
แต่เช่นไรเขาก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่งไม่ไหวแล้วจะทำสิ่งใดได้?
คู่สามีภรรยากลับไปยังทางพวกเด็กๆโน่นแล้ววางเจ้าห้าลง เด็กๆที่รักทั้งหลายรู้ว่าช่วงนี้น้องชายลำบากจึงนั่งล้อมรอบดูด้วยกันและไม่มีใครกล้ารบกวน ฉีเฟยอวิ๋นกลับรู้สึกว่าเด็กๆที่รักทั้งสี่คนนี้อัดอั้นตันใจนัก เช่นไรพวกเด็กๆนั้นก็ไม่ได้สักนิ้วหนึ่งของเจ้าห้าเลย
เจ้าห้าก็ช่างอิจฉาริษยาและเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก