องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 832 แม่ทัพฉีบาดเจ็บ
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 832 แม่ทัพฉีบาดเจ็บ
ฉีเฟยอวิ๋นออกไปแล้วและนั่งลงเป็นเพื่อนกับจักรพรรดินีและซูอู๋ซิน
ซูอู๋ซินหยิบชามขึ้นมาแล้วจิบชาคำหนึ่งจากนั้นเหลือบมองหนานกงเย่ที่ใจร้อนอยู่เบาๆ
จู่ๆหนานกงเย่ก็ลุกขึ้นจากนั้นเหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นแล้วกล่าวว่า: “พรุ่งนี้ยังมีธุระกลับกันก่อนเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นได้นั่งลงแล้วจึงไม่กลับไปไวเช่นนี้เป็นธรรมดา หนานกงเย่นักออกไปรออยู่นอกประตูครู่หนึ่งก็ไม่เห็นฉีเฟยอวิ๋นจึงให้ลี่ว์หลิ่วไปเรียกฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่กลับไป ส่วนหนานกงเย่เดินไปเดินมาอยู่รอบๆลาน
รอจนฉีเฟยอวิ๋นกลับมาก็ดึกแล้วจนทำให้หนานกงเย่ถามอย่างโกรธเคืองว่า: “เจ้ายังรู้จักกลับมาหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นขบขัน: “เหตุใดข้าจะไม่รู้จักกลับมา ท่านอ๋องไม่ต้องการให้ข้ากลับมางั้นข้าก็จะไปเดี๋ยวนี้ จวนอ๋องเย่สิ่งอื่นมีไม่มากแต่เรือนนั้นมีมาก ที่ใดก็พักได้เหมือนกัน”
ฉีเฟยอวิ๋นทำท่าจะจากไปหนานกงเย่ก็เดินไปทันที
“ห้ามไปนะ” หนานกงเย่ก้มตัวอุ้มตัวขึ้นมาแล้วเดินกลับห้อง
แม่ทัพฉีไม่มีสิ่งใดทำในคืนนี้จึงเริ่มนอนไม่หลับซะแล้ว
ขณะที่กลับไปก็ดึกแล้วแต่ก็ยังไม่รู้สึกง่วงจึงเดินเล่นอยู่นอกเรือนจวินจื่อ เมื่อเดินถึงนอกประตูเรือนที่อวิ๋นจิ่นแม่ทัพฉีก็ถูกเสียงไอพักหนึ่งทำให้ตกใจขึ้นมา
แม่ทัพฉีหยุดครู่หนึ่งและเสียงไอยังคงดังมาด้านในของประตูไม่หยุด แม่ทัพฉีขมวดคิ้วอย่างแรงซึ่งดูออกว่าไม่สบายใจเสียแล้ว มีใจผลักประตูเข้าไปแต่คิดว่าเข้าไปก็จะทำให้อวิ๋นจิ่นเข้าใจผิด ไม่เข้าไปก็เป็นกังวล
ค่ำมืดดึกดื่นไม่มีใครอยู่ในลานเรือน ต้องการหาคนสักผู้หนึ่งก็ไม่มีเลย
ทันใดนั้นก็มีเสียงถ้วยตกลงพื้นแม่ทัพฉีชะงักครู่หนึ่งก็หันหลังกลับจะเข้าไป
แต่มีความเคลื่อนไหวบนหลังคา แม่ทัพฉีหันไปมองยังบนหลังคามีคนสองสามคนออกมาจากหลังคาฝั่งหนึ่งของเรือนอย่างรวดเร็วแล้วมาทางด้านนี้แล้ว
แม่ทัพฉียืนมือไขว้หลังอยู่ในลานเรือนและมองไปโดยรอบหนึ่งรอบ
คนนั้นมาถึงทางนี้อย่างรวดเร็วและดูเหมือนว่าเพิ่งพบว่ามีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ในลานเรือน ผู้คนหลายคนมองไปทางแม่ทัพฉีด้วยกันและมีคนหนึ่งในนั้นกล่าวว่า: “ข้าจะจัดการกับเขา พวกเจ้าไปหาฉีเฟยอวิ๋น ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่พาตัวไปก่อน”
คนอื่นๆรีบวิ่งไปยังเรือนหลังอื่นในทันที จากนั้นแม่ทัพฉีก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นว่า: “ในเมื่อมาแล้วเหตุใดถึงไม่ลงมาพร้อมกันหล่ะ แยกออกจากกันนับเป็นความสามารถอันใดกัน?”
“จัดการกับเจ้าข้าคนเดียวก็พอแล้ว เจ้าคือฉีจือซานสินะ ข้ารู้จักเจ้า ฝ่ายตรงข้ามอายุไม่ถึงยี่สิบปีแต่กลับพูดจาอย่างบ้าคลั่ง”
แม่ทัพฉีเหลือบมองผู้ที่ไปยังห้องอื่นๆแล้วและมองไปยังชายหนุ่มเยาว์วัย: “พวกเจ้าเป็นใครกัน? เหตุใดจึงมาที่นี่?”
“พวกเราเป็นใครเจ้าไปถามยมบาลเถอะ” ชายชุดดำถือมีดพุ่งเข้าหาแม่ทัพฉี จากนั้นแม่ทัพฉีเดินหน้าขึ้นไปแล้วอวิ๋นจิ่นก็เปิดประตูเดินออกมาจากด้านใน
ชายชุดดำเห็นอวิ๋นจิ่นจึงได้มองดูอย่างละเอียดแล้วกล่าวว่า: “เป็นนางนั่นเอง!”
อวิ๋นจิ่นแต่งชุดพระชายาทั้งร่างและก็แต่งหน้าตาเหมือนตามปกติของฉีเฟยอวิ๋นและออกมาจากเรือนในเวลานี้พร้อมถามว่า: “บังอาจ ผู้ใดกันถึงบ้าคลั่งเช่นนี้กล้าเหิมเกริมถึงจวนอ๋องเย่ไม่คิดมีชีวิตอยู่เสียแล้ว พวกเจ้าจับเอาไว้ให้ข้า!”
แม่ทัพฉีกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า: “กลับไปซะ!”
อวิ๋นจิ่นเพียงแค่มองยังด้านหลังของแม่ทัพฉี ตอนนี้ร่างกายของนางเพิ่งดีขึ้นมาบ้างแต่ทว่านางนั้นกลับเบื่อหน่ายกับสถานที่นี้มาตั้งนานแล้ว
ผู้ที่นางยกย่องชื่นชมตั้งแต่เด็กตอนนี้ไม่มองนางมากขึ้นเลยสักนิด นางมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีความหมาย
อวิ๋นจิ่นมองดูผู้คนที่วิ่งกันวุ่นวายอยู่ในลานและมีคนลงมาจากบนหลังคาแล้ว
คนเหล่านี้เป็นผู้คุ้มครองเรือนที่อวิ๋นจิ่นจัดเอาไว้ในเรือนจวินจื่อ
ในเวลานี้ลงมาจัดการกับผู้ที่บุกเข้ามาในจวนอ๋องเย่ยามค่ำคืน อวิ๋นจิ่นเดินไปจากด้านหลังของแม่ทัพฉีโดยที่นางเดินไม่ไวนักและฝีเท้าก็แน่วแน่
“ถอยไปให้หมด”
อวิ๋นจิ่นเดินไปยังฝั่งหนึ่งแล้วหยุด จากนั้นสั่งการผู้คนอื่นๆก็ถอยกลับไปบนหลังคาทันที
ในเวลานี้ชายชุดดำต่างมองไปยังอวิ๋นจิ่นก็ยิ่งมั่นใจว่าอวิ๋นจิ่นคือพระชายาเย่ จึงได้ล้อมอวิ๋นจิ่นไว้ในทันที
แม่ทัพฉีกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า: “คุ้มครองอวิ๋นจิ่น!”
ผู้คนบนหลังคาฟังแต่คำพูดของอวิ๋นจิ่นเท่านั้น แม่ทัพฉีเข้าไปยังด้านข้างของอวิ๋นจิ่นทันทีและปกป้องอวิ๋นจิ่นไว้: “เจ้าไม่แข็งแรง กลับไปซะ”
อวิ๋นจิ่นมองขึ้นไปยังแม่ทัพฉีแล้วกล่าวกับเขาว่า: “ท่านแม่ทัพ ข้ารู้ซึ้งทางโลกมานานแล้วในเมื่อแม่ทัพไม่ยินยอมก็ลืมอวิ๋นจิ่นซะเถอะ”
อวิ๋นจิ่นกล่าวยิ้มครั้งหนึ่งจากนั้นมองไปยังชายชุดดำสองสามคนด้านหลัง หนึ่งในนั้นฟันมีดไปขึ้นอวิ๋นจิ่นหันกลับไปพยายามขวางมีดเอาไว้
แม่ทัพฉีกอดคนเอาไว้แล้วยกมือขึ้นเพื่อขวางมีดไว้
มีดฟันลงไปจากนั้นแม่ทัพฉีเตะไปทางคู่ต่อสู้ อวิ๋นจิ่นเหม่อลอยไปเสียแล้วและเมื่อเห็นเลือดไหลลงมาจากแขนของแม่ทัพฉี อวิ๋นจิ่นก็ตะลึงครู่หนึ่ง แล้วมองไปยังผู้ที่ทำร้ายแม่ทัพฉี: “จัดการซะ!”
จู่ๆคนบนหลังคาก็พุ่งมาถึงทางด้านนี้ วิทยายุทธของผู้คนในยุทธภพนั้นหลากหลาย อวิ๋นจิ่นใช้ระแวดระวังหนานกงเซวียนเหอโดยเฉพาะคิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้ใช้
ชายชุดดำถอยหลังทันที อวิ๋นจิ่นมองไปยังชายผู้นั้น: “สับเขาให้เละซะ!”
ผู้คนโดยรอบนั้นรุมชายชุดดำทันที ไม่นานก็ต่อสู้กันขึ้น
ชายชุดดำถูกผู้คนมากกว่าสิบคนล้อมเอาไว้โดยที่ไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย ไม่นานนักก็ถูกฟันได้รับบาดเจ็บเสียแล้ว
ผู้คนมากกว่าสิบคนไม่ได้เว้นว่างเลยและชายชุดดำก็ถูกสับจนเละอย่างรวดเร็ว
เสียงกรีดร้องทำให้จวนอ๋องเย่ทั้งจวนตระหนกตกใจ
ชายชุดดำที่เหลือต้องการวิ่งหนีจากนั้นอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า: “อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!”
คนเหล่านั้นพุ่งเข้าไปและฟันคนตายกันอย่างรวดเร็ว
คนตายแล้วอวิ๋นจิ่นก็ตื่นตระหนก เมื่อเห็นว่าแขนของแม่ทัพฉีได้รับบาดเจ็บนางก็ร้องไห้: “ทำเช่นไรดี?”
แม่ทัพฉีเห็นอวิ๋นจิ่นร้องไห้ก็ถอนหายใจ: “อย่าทำให้คนอื่นตกใจ เข้าไปในเรือน”
อวิ๋นจิ่นรีบพยักหน้า: “ออกไปให้หมดและจัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อย”
แม่ทัพฉีหันหลังมองไปโดยรอบแล้วตามไปยังในเรือนของอวิ๋นจิ่น
หนานกงเย่เหลือบมองตรงหน้าประตูแล้วหันหลังกลับไปยังสวนดอกกล้วยไม้ ฉีเฟยอวิ๋นถามเขาเขานั้นบอกว่ามีแมวเข้ามาและถูกไล่ออกไปแล้ว
แม่ทัพฉีเข้าประตูมาอวิ๋นจิ่นไม่ระวังสะดุดแล้วล้มลงถูกแม่ทัพฉีนำเตัวข้าไปไว้ในอ้อมกอด
อวิ๋นจิ่นหันหลังเห็นแม่ทัพฉีก็เบือนหน้าออกทันที
แม่ทัพฉีมองลงไปครู่หนึ่งแล้วปล่อยอวิ๋นจิ่น: “นำยามา”
ในห้องของอวิ๋นจิ่นมีหีบยามากมายและมียาอยู่ด้วย ปกตินางก็มักจะเรียนวิชาแพทย์ หันหลังกลับอวิ๋นจิ่นก็ไปนำหีบยามา
แม่ทัพฉีมองดูแล้วเดินไปนั่งลงยังฝั่งหนึ่ง อวิ๋นจิ่นวิ่งอย่างเร่งรีบไปยังตรงหน้าของแม่ทัพฉีจากนั้นวางหีบยาลงแล้วนำยาบางอย่างออกมา
แม่ทัพฉีถอดเสื้อคลุมออกทีละชั้นๆ อวิ๋นจิ่นก้มศีรษะลงไม่กล้ามอง
แม่ทัพฉีเปลือยกายครึ่งตัวโดยแขนข้างหนึ่งได้เผยให้เห็นหมด รอยแผลเป็นบนแขนหลายๆจุด แต่แผลเมื่อครู่นี้เปิดออกแล้วซึ่งมีเลือดไหลอยู่ อวิ๋นจิ่นกัดริมฝีปากและร้องไห้อยู่เช่นนั้น
“มีสิ่งใดน่าร้องไห้เพียงแค่บาดแผลจากมีดเท่านั้น” แม่ทัพฉีกล่าวจบก็นำยาฆ่าเชื้อมา ปกติอวิ๋นอวิ๋นก็ใช้สิ่งนี้แล้วเทลงไปเองเพื่อให้เริ่มฆ่าเชื้อ
อวิ๋นจิ่นร้องไห้โดยไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร ร้องไห้จนแม่ทัพฉีวุ่นวายใจ: “อย่าได้ร้องไห้เลย!”
อวิ๋นจินปิดปากทันทีโดยกลั้นไม่ให้ร้องไห้ขึ้นมา
แม่ทัพฉีล้างแขนด้วยความเศร้าสร้อยเล็กน้อย: “เช่นนี้ได้หรือไม่?”
อวิ๋นจิ่นจึงได้ส่ายศีรษะ: “ไม่ได้ ข้าเอง”
อวิ๋นจิ่นรีบฆ่าเชื้อให้แม่ทัพฉี ฆ่าเชื้อไปพร้อมกับน้ำตาซึ่งไหลรินลงมา