องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 849อวิ๋นจิ่นเจ็บป่วยลง
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 846 อวิ๋นจิ่นเจ็บป่วยลง
วันแรกของการขึ้นครองราชย์ วิธีการของจักรพรรดิเยี่ยนตี้นั้นทำให้ราชสำนักต้องสั่นสะเทือน คนเหล่านั้นที่ได้จัดการไปก่อนหน้านี้กลับไร้ประโยชน์
หนานกงเย่ไม่ได้ว่าราชการที่ราชสำนักมาเป็นเวลาสามวันติดต่อกันแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นก็ยุ่งมาก หนานกงเย่กลับมาจากราชสำนักก็ไปที่สุสานหลวง
ฉีเฟยอวิ๋นถามเขา เขาบอกว่าออกไปทำธุระข้างนอก จากนั้นก็เดินออกไป แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กลับมาคืนนั้น หลังจากนั้นสามคืนก็ยังไม่กลับมา
ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มเป็นกังวล
จึงไปถามเฟยอิง เฟยอิงบอกว่าไปที่สุสานหลวง
ฉีเฟยอวิ๋นนึกช่วงนี้เขามักไม่แสดงออกถึงอารมณ์ทางสีหน้าสักเท่าไร แต่เขาก็รู้สึกดีต่อจักรพรรดิเยี่ยนตี้ คงเป็นเพราะเก็บกดที่ไม่ได้ระบายออกมา
ระยะเวลาครึ่งเดือนราชสำนักก็สงบลงได้ เขาก็เลยทนไม่ได้เช่นกัน
ฉีเฟยอวิ๋นออกไปสุสานหลวงในตอนกลางคืน เมื่อไปถึงสุสานหลวงก็ได้เห็นอาอวี่ยืนเฝ้าอยู่หน้าสุสานหลวง ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไป เมื่ออาอวี่เห็นฉีเฟยอวิ๋นก็รีบเดินเข้ามา “พระชายา”
“อืม ท่านอ๋องล่ะ?”
“ท่านอ๋องอยู่ข้างในขอรับ ยังไม่ออกมาเลยแต่ได้สั่งไว้ว่าหากไม่ได้รับคำสั่งของเขา ห้ามเข้าไปข้างในขอรับ” อาอวี่ก็เป็นกังวล แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของเขา
ฉีเฟยอวิ๋นหันไปเหลือบมองเฟยอิง “พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้”
ฉีเฟยอวิ๋นสั่ง จากนั้นก็เดินเข้าไปในสุสานหลวง ตอนที่นำพระศพของจักรพรรดิอวี้ตี้มาที่นี่ ฉีเฟยอวิ๋นก็มา จึงทำให้พอคุ้นชินกับเส้นทางอยู่บ้าง
ฉีเฟยอวิ๋นถือโคมไฟหนึ่งอัน จากนั้นก็เดินเข้าไปในสุสานหลวง
ในสุสานหลวงมีแผ่นป้ายของจักรพรรดิอวี้ตี้อยู่ภายในศาลา
โลงศพนั้นถูกส่งมาจากที่อื่น แต่อนุสาวรีย์จักรพรรดิอยู่ที่ทางเข้าสุสานของเขา ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสุสานทางปีกใต้
หนานกงเย่นั่งอยู่ในศาลา ฉีเฟยอวิ๋นเดินไป เขากำลังพิงอยู่ข้างใน ฉีเฟยอวิ๋นหยุดชะงักลง และไม่แน่ใจว่าหนานกงเย่จะรู้หรือไม่ เขาไม่ได้หันกลับมามองเธอ เธอจึงเดินอ้อมไปและเดินขึ้นบันได
เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าของหนานกงเย่
เขาไม่ได้กินไม่ได้ดื่มอะไรมาสามวันสามคืน หนวดเคราก็ขึ้นรกเต็มไปหมด
ฉีเฟยอวิ๋นหาสถานที่แขวนโคมไฟไว้ จากนั้นจึงหันกลับมานั่งกับหนานกงเย่
หนานกงเย่เหลือบมองและลุกขึ้นนั่ง “ทำไมถึงไม่อยู่ที่บ้าน มาที่นี่ทำไมหรือ?”
“มีเรื่องจะพูดกับท่านอ๋องเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นพูดออกมาด้วยเสียงเรียบ
หนานกงเย่ไม่ขยับสายตา “เรื่องอะไรหรือ?”
“ท่านอ๋อง ท่านลองจับดูสิเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นจับมือของหนานกงเย่มาลูบที่ท้องของเธอ มือของหนานกงเย่นั้นอบอุ่น แต่ไม่รู้สึกถึงอย่างอื่น เพียงแค่ต่อให้เป็นเช่นนี้ หนานกงเย่ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“มีแล้วหรือ?” หนานกงเย่ลุกขึ้นนั่งและโอบกอดฉีเฟยอวิ๋นเข้ามา
“คิดว่าน่าจะเป็นเด็กผู้หญิงเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม
หนานกงเย่มองท้องของฉีเฟยอวิ๋น “ข้าไม่รู้ว่าอวิ๋นอวิ๋นดีใจอะไร”
“ลูกของตัวเองก็ต้องดีใจสิเพคะ หรือท่านอ๋องไม่ดีใจเพคะ?”
“หากเป็นจริงตามที่จักรพรรดินีแคว้นเฟิ่งได้พูดไว้ เช่นนั้นแล้วเด็กคนนี้ก็ต้องมาเอาชีวิตไป ข้าจะต้องการได้อย่างไร?”
“หม่อมฉันจะต้องให้กำเนิดเด็กผู้หญิงที่สูงศักดิ์ จะมาเอาชีวิตได้อย่างไรเพคะ ท่านอ๋องช่างตลกเหลือเกินเพคะ!” ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและมองไปรอบๆ จากนั้นจึงมองแผ่นป้ายหน้าศพ
“หากเทียบกับเขาแล้ว เราโชคดีมากแล้วเพคะที่มีทุกอย่าง”
“ข้าไม่ต้องการ” หนานกงเย่ลุกขึ้น “ต้องมีวิธีแน่ๆ”
“เช่นนั้นหากเป็นหนึ่งศพสองชีวิตละเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองเขา หนานกงเย่หันหลังและเดินจากไป
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองแผ่นป้ายหน้าศพ มีลมเย็นพัดผ่านหลังของเธอไป จากนั้นเธอจึงยืนเหม่อลอยจ้องมองแผ่นป้ายนั้นอยู่ครู่หนึ่ง
คนตายไปแล้วก็ไม่เหลืออะไร ไม่ว่าตอนมีชีวิตอยู่จะโดดเด่นรุ่งโรจน์มากเพียงใด
ตอนที่ฉีเฟยอวิ๋นเดินกลับออกไปก็ยังรู้สึกว่ามีคนมองเธออยู่จากข้างหลัง
แต่เมื่อเธอหันหลังไป ข้างหลังกลับไม่มีคน
หนานกงเย่เดินไปไม่ไกลก็ยืนรอเธอ ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปก็ไม่พูดอะไร จากนั้นจึงจูงมือของหนานกงเย่กลับไป เมื่อเดินมาถึงหน้าสุสานหลวง ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังกลับไปมอง จากนั้นจึงเดินขึ้นรถม้า เธอไม่คิดอยากจะมาที่นี่อีก
จักรพรรดิองค์ใหม่ของเมืองต้าเหลียงได้ขึ้นครองราชย์ บรรดาเมืองใกล้เคียงต่างส่งเครื่องราชบรรณาการและของขวัญเพื่อเป็นการแสดงความยินดี เครื่องราชบรรณาการและของขวัญในปีนี้นั้นไม่เหมือนกับทุกปี เมื่อก่อนไม่ว่าเมืองต้าเหลียงจะเกิดอะไรขึ้น เครื่องราชบรรณาการก็เป็นเพียงสิ่งปกติธรรมดาที่แลกเปลี่ยนกัน แต่เครื่องราชบรรณาการในปีนี้นั้นมีมูลค่าและล้ำค่ากว่าทุกปี
ตอนที่จักรพรรดิอวี้ตี้ขึ้นครองราชย์นั้นมีเพียงแค่คณะทูตเดินทางมาร่วมแสดงความยินดี สิ่งของทั้งหลายต่างก็เป็นของธรรมดาทั่วไป
เครื่องราชบรรณาการปีนี้นั้น ไม่เพียงแค่ผู้ที่มานั้นมีตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ที่สูงส่งเท่านั้น เครื่องราชบรรณาการก็แตกต่างออกไปและไม่ธรรมดา
ปีกใต้ได้มอบปะการังน้ำแข็งให้ ปะการังสีแดงนั้นราวกับก้อนน้ำแข็งและหาได้ยากมาก
แม้ว่าท่านอ๋องตวนจะมีสมบัติมากมายนับไม่ถ้วน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นทะเลสาบน้ำแข็ง
แคว้นเฟิ่งส่งผ้าไหมและมงกุฎหงส์มาให้ มีอัญมณีมากกว่าสองพันเม็ดบนมงกุฎและไข่มุกมากกว่าสี่ร้อยเม็ด ซึ่งไข่มุกมีน้ำหนักมากกว่าหนึ่งพันกรัม ท่านอ๋องตวนเห็นแล้วถึงกับตกใจอย่างมาก
เมืองอู๋โยวมอบหญิงสาวสวยให้สองคนและยังมีภาพเขียนอีกจำนวนหนึ่ง
ท่านอ๋องตวนไม่กล้ารับไว้ จึงส่งกลับคืนไปทันที โดยบอกว่าให้เหลือไว้เพียงภาพเขียนเท่านั้น และส่งคืนหญิงสาวทั้งสองกลับไป
การขึ้นครองราชย์ของท่านอ๋องตวนทำให้เมืองต่างๆ ที่อยู่รายรอบต่างพากันสามัคคีซึ่งกันและกัน
เมื่อใกล้ถึงปลายฤดูใบไม้ร่วง ฉีเฟยอวิ๋นได้เริ่มเปิดดำเนินการโรงงานยาสมุนไพรและเรือนพยาบาล
มีการเคลื่อนย้ายแรงงานภายในเมืองหลวงกว่าร้อยคน กลุ่มคนที่มีส่วนร่วมในการเช่าพื้นที่ต่างก็เข้าร่วมในโรงงาน การปล่อยเช่าไม่เพียงแต่สามารถได้ผลกำไรเป็นเงินตำลึง แถมยังสามารถแบ่งเงินปันผลได้อีกด้วย โดยปกติก็มีการเก็บเงินค่าแรง ซึ่งนี่เป็นการระดมแรงงานในเขตเมืองหลวงทั้งหมด
ตระกูลจงชินต่างเข้าร่วมการสอบคัดเลือก เรื่องนี้มีเว่ยหลินชวนเป็นผู้จัดการในการส่งหนังสือเชิญสมาชิกจงชินที่เหลือทั้งหมด
พระพันปีกลับไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่ท่านอ๋องตวนก็ยังฝืนจะดำเนินการ นางจึงไม่กล้าเข้ามาแทรกแซง จึงทำได้เพียงปิดตาข้างเดียว
จวนต้ากั๋วจิ้ว หวังเสียนก็เข้ารับตำแหน่งขุนนางในฐานะนักประวัติศาสตร์ โดยมีหน้าที่รับผิดชอบบันทึกประวัติศาสตร์
วันนี้หนานกงเย่ว่างไม่มีธุระ และทางแม่ทัพฉีก็ส่งคนมาส่งข่าวว่าแม่ทัพฉีเชิญฉีเฟยอวิ๋นไปที่จวน กล่าวว่ามีเรื่องด่วนสำคัญอย่างมากและให้เธอรีบไป
หนานกงเย่รีบพาลูกๆ ติดตามไปด้วย
เมื่อไปถึงยังไม่หันจะเข้าไปก็เห็นพ่อบ้านยืนรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นไปถึง พ่อบ้านก็รีบเดินเข้ามาและเช็ดเหงื่อ น้อยคนนักที่จะเหงื่อไหลเต็มตัวเช่นนี้ในช่วงปล่อยของฤดูใบไม้ร่วง
“เกิดอะไรขึ้นหรือ? ท่านพ่อของข้าเกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่ใช่เช่นนั้นขอรับ แต่เป็นฮูหยิน เมื่อเช้าตื่นมาก็บอกว่ารู้สึกไม่สบายและปวดหัวตลอดเวลา แต่ก็ดูไม่เป็นอะไร ตอนนี้กำลังรู้สึกไม่ดี จึงทำให้ท่านแม่ทัพร้อนรนกระวนกระวายใจอย่างมากขอรับ” พ่อบ้านรีบบอกฉีเฟยอวิ๋น
“ก็ดีๆ อยู่จะปวดหัวขึ้นมาได้อย่างไร หรือเป็นเพราะโดนลมหนาวหรือ!”
ฉีเฟยอวิ๋นรีบเดินเข้าไปในห้องของแม่ทัพฉีและอวิ๋นจิ่น ตั้งแต่ที่อวิ๋นจิ่นแต่งงานออกมา ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ค่อยได้มาที่นี่ เธอคิดว่าอวิ๋นจิ่นและแม่ทัพฉีควรจะมีเวลาอยู่ด้วยกันสองคนอย่างสงบสุขบ้าง
เมื่อเข้าห้องไป ฉีเฟยอวิ๋นก็รีบเข้าไปดูอวิ๋นจิ่น ขณะนี้แม่ทัพฉียังอยู่ในชุดนอน
น้อยครั้งนักที่ฉีเฟยอวิ๋นจะเห็นแม่ทัพฉีร้อนรนกระวนกระวายใจเช่นนี้ เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็รีบถามว่า “เพราะเหนื่อยหรือ ทำไมอยู่ดีๆ
ก็ปวดหัวขึ้นมาได้ล่ะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นกุมมือของอวิ๋นจิ่นไว้แน่น “ปวดได้อย่างไร ตั้งแต่เมื่อไรแล้วหรือ?”
“เมื่อคืนยังปกติอยู่เลย เป็นเมื่อตอนเช้า ยังไม่ทันจะลุกขึ้นก็รู้สึกปวดหัวแล้ว”
เด็กๆ ต่างก็เริ่มเดินได้แล้ว และขณะนี้ก็กำลังยืนมองอยู่ที่หน้าประตู พวกเขาต่างรับรู้ว่าอวิ๋นจิ่นเป็นท่านยายของพวกเขาแล้ว เพราะท่านแม่ของพวกเขาบอกพวกเขาแล้ว
สี่คนกำลังคลานอยู่ ส่วนเจ้าห้ากำลังขี่เจ้าเสือน้อยอยู่ ทุกครั้งเขามักจะโดดเด่นกว่าใคร พี่ๆ ทั้งสี่ได้แต่อิจฉา
เจ้าเสือน้อยเริ่มใหญ่ขึ้นและยิ่งดุร้ายกว่าเดิม เมื่อมาถึงจวนแม่ทัพฉีก็ยิ่งโดดเด่นกว่าเจ้าห้า มันเดินเชิ่ดและเย่อหยิ่ง เมื่อเข้ามาในเรือนก็ทำเสียงร้องคำรามเพื่อบอกทุกคนว่าเขามาแล้ว
แม่ทัพฉีกระวนกระวายใจ “ทำอย่างไรดี?”
“ท่านพ่อ ท่านสงบลงก่อนเจ้าค่ะ โตเช่นนี้แล้วทำไมยังเป็นเหมือนเด็กเจ้าคะ ท่านไม่กลัวเจ้าห้าและเด็กคนอื่นจะหัวเราะเอาหรือ?”
“หัวเราะอะไร รีบดูอาการให้จิ่นเอ๋อร์เร็วเข้า อย่าเสียเวลาอยู่เลย” ตอนนี้แม่ทัพฉีร้อนรนมาก ซึ่งไม่พอใจในประสิทธิภาพของฉีเฟยอวิ๋นเอาซะเลย
ฉีเฟยอวิ๋นตั้งใจฟังอย่างละเอียด มองไปที่แม่ทัพฉีและถามว่า “” ท่านพ่อ ท่านและอวิ๋นจิ่นแต่งงานกันมานานเท่าไรแล้ว?
“ไม่ถึงสองเดือน” แม่ทัพฉีจำได้อย่างดี
ฉีเฟยอวิ๋นปล่อยมือลง จากนั้นจึงหันกลับไปมองหนานกงเย่ “ออกไปหยิบลูกเหมยเปรี้ยวเข้ามา!”
หนานกงเย่รู้สึกประหลาดใจ ลูกเหมยเปรี้ยวสามารถรักษาอาการป่วยได้อย่างนั้นหรือ?