องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 859 ไม่อาจช่วยคนที่ตายแล้วได้
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 859 ไม่อาจช่วยคนที่ตายแล้วได้
หลังจากที่พ่อบ้านจากไป ฉีเฟยอวิ๋นก็มองไปที่ซูมู่หรง ฉีเฟยอวิ๋นเคยชี้แจ้งเกี่ยวกับโรคผิวหนังของเขาแล้ว แต่ตอนนี้มันดูแปลก ๆ
ฉีเฟยอวิ๋นจึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ซูมู่หรงยกมือขึ้นมาดึงคอเสื้อเพื่อให้ฉีเฟยอวิ๋นดู ถึงอย่างไรฉีเฟยอวิ๋นก็เป็นหมอคนหนึ่ง นางจึงใส่ใจเกี่ยวกับร่างกายของผู้ป่วย ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม
หากสังเกตดี ๆ ไม่เพียงแต่จะไม่ดี แต่กลับดูเหมือนทรุดลง และในบางที่ยังมีแผลตกสะเก็ดเป็นบริเวณกว้าง
ฉีเฟยอวิ๋นงุนงง:“เกิดอะไรขึ้น?”
แววตาของซูมู่หรงหนักอึ้งและมองดูผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าเขามีอะไรจะพูด นางจึงโบกมือเพื่อให้คนอื่น ๆ ถอยออกไป และหันกลับไปอุ้มเจ้าห้ามา แม้แต่เฟยอิงก็ออกไปด้วยเช่นกัน
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวตามไปว่า:“เฟยอิง เจ้าไปเชิญเจ้านายท่านอ๋องกลับมา ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เฟยอิงหันกลับไปและจากไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็มองไปที่ซูมู่หรง:“ท่านว่ามาเถอะ”
ซูมู่หรงไม่ลังเล เขาถอดเสื้อผ้าออกจนเกือบหมด และเปิดเผยให้เห็นเรือนร่างของเขา ฉีเฟยอวิ๋นไม่ใช่คนที่นี่ อย่าว่าแต่ถอดแค่นี้เลย แม้แต่ถอดจนเปลือยเปล่า ก็ใช่ว่านางจะไม่กล้ามอง
ยิ่งไปกว่านั้น ในเวลานี้นางกำลังตรวจรักษาโรค แน่นอนว่านางต้องใจกว้าง
จักรพรรดิปีกใต้ลุกขึ้นและต้องการจะอุ้มเจ้าห้า แต่ฉีเฟยอวิ๋นหลบหลีก แววตาของนางดูสับสน และน้ำเสียงของนางก็ดูไม่เกรงใจยิ่งขึ้น:“พระองค์อย่าสร้างปัญหาเพิ่ม ไม่ตายข้าก็ดีใจมากแล้ว!”
จักรพรรดิปีกใต้หมดความมั่นใจไปชั่วขณะ เขานั่งลงและมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างไม่พอใจ ช่างเหมือนกับซูอู๋ซินเสียจริง เต็มไปด้วยความดุร้าย!
ฉีเฟยอวิ๋นวางเจ้าห้าลงบนโต๊ะ เจ้าห้าจะไม่ขยับสุ่มสี่สุ่มห้า เขาดื้อรั้นและไม่ยอมกินข้าว คิดว่าตัวเองจะอดตาย จื่อฮว่าจะกลับมา แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ไม่ว่าเจ้าห้าจะเฉลียวฉลาดแค่ไหน แต่จิตในการรับรู้จะเปิดได้อย่างไร เขาเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่มีนิสัยดื้อรั้น
อาจกล่าวได้ว่าเขาเคยเป็นเทพเซียนบนสวรรค์ชั้นฟ้า ไม่เคยได้รับความทุกข์ยาก และไม่เข้าใจวิถีของโลกมนุษย์ เพียงแค่อยากได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่เมื่อไม่ได้ก็ดื้อรั้น
ฉีเฟยอวิ๋นยื่นมือออกไปจับร่างกายของซูมู่หรง และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น
“จ้ำเลือดหลังตาย?” ฉีเฟยอวิ๋นพลั้งปากพูดออกมา
ซูมู่หรงยิ้ม รอยยิ้มนั้นเป็นความเศร้าหมองและใบหน้าซีดที่ดูไร้เรี่ยวแรง
ฉีเฟยอวิ๋นสูดหายใจเข้าลึก ๆ:“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?”
หนานกงเย่เข้ามาจากด้านนอกอย่างรวดเร็ว ฉีเฟยอวิ๋นและซูมู่หรงมองไปที่หนานกงเย่พร้อมกัน หากหนานกงเย่เห็นฉากนี้ในยามปกติ เขาจะต้องฆ่าซูมู่หรงอย่างแน่นอน
แต่วันนี้เขาใจเย็นอย่างน่าประหลาดใจ ต้องมีความคิดแปลก ๆ อยู่ในใจเป็นแน่ ซูมู่หรงและฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ทำอะไรกัน
จักรพรรดิปีกใต้กำลังรอว่าจะเกิดการความเข้าใจผิดหรือไม่ เขาอยากเห็นความครึกครื้น แต่เมื่อหนานกงเย่เข้ามาแล้ว เขาก็ไม่รอให้ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายและรีบเดินข้าง ๆ ฉีเฟยอวิ๋น เมื่อเห็นร่างกายที่เน่าเปื่อยของซูมู่หรง เขาก็อุ้มเจ้าห้าขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน
เมื่อเห็นว่าหนานกงเย่ไม่โกรธ ฉีเฟยอวิ๋นก็ชื่นชมในใจ อย่างน้อยชายผู้นี้ก็ใจเย็นมาก เมื่อก่อนหากเขาเห็นเรื่องเช่นนี้ เขาก็จะฆ่าคนและระบายความโกรธ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไร
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่ซูมู่หรง นางยื่นมือออกไปจับข้อมือของเขาและใช้สมาธิตรวจดู หลังจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและมองไปที่ซูมู่หรง นางถามเขาว่า:“นานแค่ไหนแล้ว?”
“ไม่นานหลังจากที่เจ้าจากไป มีหลายคืนที่ข้าฝันว่าข้ากลับไปที่สถาบันวิจัย ต่อมาร่างกายของข้าก็แย่ลงเรื่อย ๆ และเริ่มเน่าเปื่อย!”
ฉีเฟยอวิ๋นสูดหายใจเข้าลึกๆ:“ท่านมากับข้า”
มีอีกห้องหนึ่งอยู่ที่ด้านหลังของห้องโถงด้านหน้า ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปและหยิบมีดออกมา นางใช้มีดกรีดข้อมือและยื่นให้ซูมู่หรง
ในขณะที่อุ้มเจ้าห้า หนานกงเย่ก็มองไปที่หน้าประตู เขาไม่ได้ขัดขวาง แม้ว่าจะรู้สึกสงสาร แต่ก็รู้จักลำดับความสำคัญ
วันนี้กับวันนั้นไม่เหมือนกัน เมื่อก่อนเขาอยากจะฉีกร่างของซูมู่หรงออกเป็นชิ้น ๆ แต่ในตอนนี้เขากลับเป็นห่วงซูมู่หรง นี่เป็นภาพสะท้อนของฉีเฟยอวิ๋นในวันข้างหน้า ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นคนแบบเดียวกัน ล้วนแต่ยืมซากศพเพื่อคืนชีพ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากซูมู่หรงอายุลดน้อยลง ฉีเฟยอวิ๋นก็จะไม่ดีขึ้น!
ซูมู่หรงไม่ลังเล เขาคว้ามือของฉีเฟยอวิ๋นและดื่มเลือด ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด นางอดไม่ได้ที่จะกังวลและมองไปที่หนานกงเย่ที่อุ้มบุตรอยู่ที่หน้าประตู โดยไม่ขัดขวาง
พวกเขาล้วนแต่รู้อยู่แก่ใจ หากซูมู่หรงที่ยืมซากศพเพื่อคืนชีพ แล้วร่างกายของเขาเน่าเปื่อย เช่นนั้นนางก็อาจตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
เพียงแต่ร่างกายของซูมู่หรงสามารถทนได้เพียงยี่สิบปี แล้วฉีเฟยอวิ๋นในอีกยี่สิบปีล่ะ?
มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาหรือ?
นางก็อาจจะเป็นเหมือนซูมู่หรง ร่างกายค่อย ๆ เน่าเปื่อยและตายไป
หลังจากที่ซูมู่หรงดื่มอยู่สักพัก ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย และผลักซูมู่หรงออกไปในทันที หนานกงเย่รีบเดินเข้าไปและเอาน้ำไปล้างให้ฉีเฟยอวิ๋น เขารังเกียจซูมู่หรงที่ดูสกปรก
ฉีเฟยอวิ๋นไม่สนใจสิ่งอื่นใด ตอนนี้นางก็รู้สึกไม่สบาย ซูมู่หรงต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อ ดังนั้นดขาจึงดื่มเยอะ เป็นเรื่องปกติที่นางจะรู้สึกเวียนหัว แต่สิ่งที่นางเป็นกังวลคือร่างกายของซูมู่หรงมากกว่า
เพียงแต่หลังจากมองอย่างละเอียดแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะรักษาได้เลย
ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นซีดขาว นางนั่งลงและจ้องมองไปที่ร่างของซูมู่หรง:“เลือดของข้าสามารถช่วยชีวิตคนได้เท่านั้น ไม่อาจช่วยคนที่ตายแล้วได้!”
ซูมู่หรงสวมเสื้อผ้า สีหน้าของเขาสงบนิ่ง ราวกับว่าเขายอมรับความจริงข้อนี้ได้
แม้ว่าหนานกงเย่จะประหลาดใจ แต่เขาเป็นกังวลเรื่องร่างกายของฉีเฟยอวิ๋นมากกว่า และรีบไปดูฉีเฟยอวิ๋น:“เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่เป็นไร” ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว
ซูมู่หรงออกไปหาจักรพรรดิปีกใต้ข้างนอก
หนานกงเย่นั่งลงและมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น
ทั้งสองไม่ได้พูดคุยกัน
ฉีเฟยอวิ๋นพักผ่อนสักครู่ก่อนที่จะลุกขึ้น แต่เมื่อลุกขึ้นก็มืด และโซเซจนเกือบจะล้มลง ในขณะที่กำลังอุ้มเจ้าห้า หนานกงเย่ก็ยื่นมืออออกไปโอบฉีเฟยอวิ๋นไม่ให้ล้มลงไป
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่หนานกงเย่:“ตอนนี้หม่อมฉันกำลังตั้งครรภ์ เดิมทีร่างกายก็อ่อนแออยู่แล้ว ท่านอ๋องไม่ต้องกังวล”
“ข้าไม่เป็นกังวลได้ด้วยหรือ?” หนานกงเย่โอบฉีเฟยอวิ๋น และอุ้มเจ้าห้าออกไปข้างนอก จักรพรรดิปีกใต้รออยู่ข้างนอก เมื่อเห็นซูมู่หรงออกมา เขาก็นั่งลง สีหน้าของเขาดูนิ่งเฉยและไม่พูดอะไร
จักรพรรดิปีกใต้ก็รู้สึกสับสน:“ไม่ต้องกังวล หากรักษาไม่ได้ ข้าก็จะไม่ละทิ้งเจ้า บ้านเมืองของข้าจะมอบให้เจ้าเท่านั้น และคนอื่น ๆ ก็ไม่เข้าตา”
ซูมู่หรงยิ้ม:“บ้านเมืองของปีกใต้ ข้าไม่อาจรับไว้ได้ หากไม่มีอวิ๋นอวิ๋น ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์ แต่ตอนนี้……”
ซูมู่หรงมองดูมือที่เน่าเปื่อยของตัวเอง เขารู้ว่าเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เขาไม่ได้เป็นห่วงตัวเอง เขาเป็นห่วงฉีเฟยอวิ๋น
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นออกมา ซูมู่หรงก็มองไปที่นาง เมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีดเซียว ซูมู่หรงก็ยืนขึ้นและกล่าวว่า:“นั่งตรงนี้”
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงและเหลือบมองหนานกงเย่:“ท่านอ๋อง บอกให้ในครัวเตรียมน้ำแกงตับหมูให้หม่อมฉัน เพื่อบำรุง!”
“ของพวกนั้นมีประโยชน์อะไร?” หนานกงเย่พูดอย่างไม่เชื่อ แต่ก็เรียกให้เฟยอิงไปจัดการ
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งอยู่พักสักครู่พัก นางยังคงมีความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองได้ แต่นางกำลังตั้งครรภ์ จึงไม่สามารถทำตามใจนึกได้
น้ำแกงของจักรพรรดิปีกใต้ยังเคี่ยวไม่เสร็จ ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่ซูมู่หรง:“ท่านพักอยู่ที่สวนดอกกล้วยไม้ ที่นั่นมีห้องรับรองอยู่ หากมีอะไรข้าจะได้ดูแลท่าน ท่านลุงก็เช่นกัน ท่านอ๋อง ดูแลจัดการด้วยเพคะ”
“……” หนานกงเย่เหลือบมองซูมู่หรง:“พวกท่านกินข้าวแล้วหรือไม่?”
“ตอนนี้เขากินอะไรไม่ลง กินอะไรก็อาเจียน!” จักรพรรดิปีกใต้กล่าวอย่างเฉยเมย
หนานกงเย่เหลือบมองซูมู่หรงอย่างไม่แยแส