องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 895 โลภมากลาภหาย
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 895 โลภมากลาภหาย
ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจ ว่าสรุปแล้วมีความเคียดแค้นอยู่เท่าไหร่กัน ถึงไม่สามารถปล่อยวางหมาป่าได้
ฉีเฟยอวิ๋นก้มศีรษะลงมองผู้หญิงคนนั้นแล้วถามว่านางเป็นอะไร
ผู้หญิงร่ำไห้แล้วกล่าวถึงเรื่องครอบครัวกับหมาป่า
เมื่ออดีตกงซุนอิ่นนับว่าเป็นแม่ทัพที่ไม่เลวเลย เป็นคนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือที่เมืองหลวง เมื่ออดีตอยู่ใต้บังคับบัญชาของอวิ๋นกั๋วกง ต่อมากงซุนอิ่นยังเคยเจออดีตจักรพรรดิอาวุโสด้วย
อดีตจักรพรรดิอาวุโสบอกว่ากงซุนอิ่นเป็นแม่ทัพที่กล้าหาญ หากสามารถเป็นผู้รับใช้บ้านเมืองทำเพื่อบ้านเมือง ก็เป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง
จากนั้นกงซุนอิ่นจึงมุ่งมั่นสู้รบเพื่อราชสำนัก
มีปีหนึ่งที่สู้รบอยู่ด้านนอก ผ่านบริเวณป่า เล่ากันว่าบริเวณป่ามีหมาป่าที่หิวโหย กินคนโดยเฉพาะ และขวางทาง
กงซุนอิ่นก็เคยกังวลใจว่าจะพบเข้ากับหมาป่า ด้วยเหตุนี้จึงหลีกเลี่ยงอ้อมขบวนทัพ
แต่ตอนนั้นพวกเขายังคงพบกับฝูงหมาป่า ฝูงหมาป่าขวางมาจากป่าอีกด้าน ผลสรุปกินคนของกงซุนอิ่นไปกว่าครึ่งยังว่าเยอะเลย หลังจากกินเสร็จยังกัดขาข้างหนึ่งของกงซุนอิ่นด้วย
แน่นอนว่ากงซุนอิ่นไม่พึงพอใจ เขาพูดว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเลิกแล้วไปได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงวางเพลิงเผาผืนป่านั้น เขาต้องการเผาฝูงหมาป่าให้วอดวายตายในป่าไม้ สุดท้ายหมาป่าเดือดดาลมาก จึงกินคนของเขาเสียหมดเลย เหลือไว้เพียงกงซุนอิ่นเพียงคนเดียว กงซุนอิ่นสาบานว่าจะสังหารหมาป่าที่ใต้พื้นพิภพให้หมดสิ้น
แต่เรื่องที่ถูกฝูงหมาป่าโจมตีกงซุนอิ่นไม่กล้าพูด หลังจากที่กลับไปเขาเลยพูดกับอวิ๋นกั๋วกงว่าได้ถูกทหารของศัตรูดักซุ่มโจมตี เลยทำให้เขากลายเป็นอย่างตอนนี้ อีกทั้งกองกำลังทหารทั้งหมดเลยได้แพ้ย่อยยับ
หลังจากเรื่องราวจบลงเป็นเพราะเรื่องนี้ โดยพื้นฐานแล้วอวิ๋นกั๋วกงไม่ได้คิดถึงน้ำใจไมตรีความสัมพันธ์เก่า ไม่เพียงแค่ไล่เขาออกไป ยังบอกเขาว่าห้ามเข้ามาเหยียบที่เมืองหลวงแม้แต่ครึ่งก้าวตลอดไป และเขาไปอย่างไม่พึงพอใจ ก็เลยรอตอนที่อดีตจักรพรรดิอาวุโสนึกถึงเขาแล้วสามารถกลับเมืองหลวงได้ แต่ผ่านไปนานนับหลายปี อดีตจักรพรรดิอาวุโสไม่อยู่แล้ว อดีตจักรพรรดิไม่อยู่ วันนี้อันนี้ก็ไม่อยู่แล้ว
ความคิดเคียดแค้นของกงซุนอิ่นยิ่งเพิ่มมากขึ้น และยิ่งเกลียดหมาป่ามากขึ้น โดยเฉพาะฝูงหมาป่า
แม้ว่ากงซุนอิ่นจะไม่เป็นแม่ทัพแล้ว แต่เขายังสามารถเป็นสหายร่วมงานได้ อย่างน้อยก็ใช้ชีวิตได้ไม่เลวทีเดียว และกลายเป็นคนที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งของหมู่บ้าน
หลังจากกลายเป็นผู้ร่ำรวยอันดับหนึ่งตั๋วเงินที่เขาใช้ในวันปกติ นอกเหนือจากนั้นแล้วส่วนใหญ่เอาไปใช้กับการหาคนสังหารหมาป่า คนที่ตายบนพื้นคือลูกบุญธรรมของเขา สังหารหมาป่าโดยเฉพาะเลย
ผู้หญิงคร่ำครวญร่ำไห้กล่าวว่า“คนผู้นี้เป็นนายพรานตั้งแต่ยังเด็ก และวิธีฆ่าหมาป่าก็โหดเหี้ยมมาก ทุกครั้งที่พาหมาป่ามา เขาจะฆ่าด้วยวิธีโหดร้ายต่างๆ เสียงหมาป่าหอน สามารถได้ยินในหูของหม่อมฉันเป็นเวลาหลายวัน ทุกคนในหมู่บ้านรู้ว่าพวกเราฆ่าหมาป่าและเราเป็นศัตรูกับหมาป่า แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าทำไม
ท่านพ่อของพวกเราบังคับกินเนื้อ พวกเราไม่กิน ท่านพ่อใช้แส้เฆี่ยนตีพวกเรา กินก็จะให้ตั๋วเงินพวกเรา
พี่สาวคนโตของหม่อมฉันเป็นบุคคลที่มีจิตใจดีโอบอ้อมอารี เป็นเพราะนางไม่ยอมกินเนื้อเลยถูกตีตาย”
ผู้หญิงร่ำไห้ หนานกงเย่มองกงซุนอิ่น จากนั้นกล่าวว่า“ที่แท้เจ้าก็เป็นคนที่หลบหนีทหารในตอนนั้น และเจ้ายังบอกว่าเจ้าถูกศัตรูซุ่มโจมตี แต่มันถูกบันทึกไว้ในสำเนาไว้ว่า เป็นเพราะเจ้าได้ยินคนพูดว่ามีหมาป่าอยู่ในป่า ใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่ท้องที่ และแต่เดิมหมาป่าไม่ได้ออกมายั่วยุคน แม้ว่าพวกเขาจะออกมา พวกเขาจะออกมาในเวลากลางคืน แต่พวกเขาจะจับสัตว์เลี้ยงของบางคนเป็นครั้งคราว นั่นเป็นเพราะมีลูกหมาป่าอยู่ในฝูงหมาป่า และกระต่ายในป่ามีน้อยเกินไป จึงมีอาหารไม่เพียงพอ
เจ้าผ่านไป ได้ยินว่าทางด้านนั้นมีฝูงหมาป่า และกองกำลังทหารของเจ้าเดินทางแสนไกล เจ้าอยากจะกินรสชาติอาหารป่าสักหน่อย เลยเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางเดิม แล้วเข้าไปในป่า
และเจ้าก็ไม่ได้เดินอ้อมไปด้านนอกป่า เจ้าเดินในป่าก่อน ก่อนเข้าไปเจ้าเรียกคนให้เตรียมพร้อม เพื่อจับหมาป่าในป่านั้นมาปิ้งย่าง
ผลสรุปพอเข้าไปไม่เห็นหมาป่า เสนาธิการทหารของเจ้าบอกว่าอย่ายั่วยุสัตว์ป่า หลีกเลี่ยงความวุ่นวาย เจ้าเลยพูดว่าเจ้ามีสี่พันคน ต่อให้ฝูงหมาป่ากัดตาย ก็ไม่อาจจะกินได้ทั้งหมด อย่างมากที่สุดก็มีเพียงหม่ป่าจำนวนหนึ่งเดิมแล้วไม่ได้กลัว
เสนาธิการทหารพูดกับเจ้าไม่ได้ เลยจำใจต้องฟังคำกล่าวพูดของเจ้า
ต่อมาเจ้าตามหา ในที่สุดลูกหมาป่าได้ถูกเจ้าพบเจอเข้า
นั่นคือลูกหมาป่าที่ออกมาวิ่งเล่น พอเจ้าเห็นลูกหมาป่า เลยรีบกระโจนเข้าไป ใช้กริชสังหารลูกหมาป่า เจ้ายังบอกคนถลกหนังของลูกหมาป่าออก ต้มตุ๋นเป็นซุปกิน
เจ้ากินเสร็จเดิมสามารถออกไปตั้งนานแล้ว แต่เข้ากลับอยากกินหมาป่าตัวใหญ่ ไม่ยอมกลับออกไป
ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงบอกให้คนเริ่มตามหาทุกแห่งหน ในที่สุดหมาป่าใหญ่ก็รู้ว่าเจ้ากินลูกของเขา ด้วยเหตุนี้จึงอยากกินเจ้า เจ้าคิดว่าชัยชนะอยู่ในมือ แตทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าคนจะถูกหมาป่ากินไปกว่าครึ่ง เจ้าจำใจต้องถอยออกจากป่า เดินอ้อมป่าไป แต่หมาป่าไม่ยอมปล่อยเจ้าไป ปิดกั้นเส้นทางที่เจ้าจะไป ถึงได้ต่อสู้กันขึ้น แต่สุดท้ายเจ้าแทบจะเอาตัวไม่รอด
โชคดีที่เจ้าหลบเข้ามาในเรือนของชาวไร่ชาวนา ถึงได้หลบกนีการติดตามของหมาป่าได้ เพราะหมาป่าไม่เข้าหมู่บ้านคน
เจ้าเหลือคนในมืออีกสองร้อยคน เดิมแล้วสามารถข้ามทางน้ำหนีไปได้ แต่ในเวลากลางคืนเจ้ายังมีการวางแผนไปเผาป่า แทบจะทำให้หมาป่าทั้งหมดตายในป่า นี่ถึงได้นำไปสู่ภัยพิบัติร้ายแรง และเกือบจะตาย”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”กงซุนอิ่นไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใครเลย หนานกงเย่รู้ได้อย่างไร เขาไม่สามารถเชื่อได้เลย
หนานกงเย่กล่าวอย่างราบเรียบว่า “เจ้ายังจำเสนาธิการทหารผู้นั้นได้หรือไม่?”
“จำได้ ตอนที่ข้าวางแผนจะเผาป่า เขาได้หายไปไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด มีคนบอกว่าเขาถูกหมาป่าตัวหนึ่งคาบพาตัวไป”กงซุนอิ่นนึกขึ้นได้
หนานกงเย่หัวเราะอย่างเยือกเย็น กล่าวว่า“คืนนั้นตอนที่เจ้าวางแผนจะไปจัดการกับหมาป่า เสนาธิการทหารของเจ้าผู้นั้นรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้เขาเลยวิ่งเข้าไปในป่า ตอนทีฝูงหมาป่าเห็นเขาตอนนั้นยังคิดที่จะกินเขา แต่เขาวิ่งหันออกไปด้านนอกป่า และยังอุ้มลูกเสือไปด้วย กลุ่มเสือเลยจำใจต้องวิ่งตามเขาออกจากป่า
พอดีกับพวกเจ้าถึงป่า จุดไฟเผาป่าวอดวาย
ตอนที่เสือจะกินเสนาธิการทหาร เห็นป่ามีแสงไฟขึ้น นี่ถึงได้ช่วยชีวิตหมาป่าร้อยกว่าตัวไว้
เพื่อที่จะตอบแทนบุญคุณของเสนาธิการทหาร หมาป่าเหล่านั้นเลยปล่อยเขาไป
และที่เจ้ายังรอดชีวิตมาได้ เป็นเสนาธิการทหารที่ร้องของพวกเขา
ข้าอ่านการสอบสวนคดียังไม่เชื่อเลย
ตอนนั้นข้าเพิ่งจะอายุเจ็ดแปดขวบ แต่เสด็จพ่อพูดกับข้า สรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วนมีวิญญาณ โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นกลุ่มฝูง
หมาป่าไม่หันหวนกลับมา หันกลับมามีเพียงสองเหตุผลคือหนึ่งตอบแทนบุญคุณ อีกหนึ่งคือแก้แค้น
เสนาธิการทหารเห็นเจ้าเป็นพี่น้อง เพราะฉะนั้นถึงได้เหลือชีวิตเจ้าไว้
พอเจ้ากลับมาแล้วไม่เพียงแต่ไม่สำนึกผิดแก้ไข สูญเสียกว่าสี่พันชีวิต ยังพูดอีกว่าพบเข้ากับทหารศัตรู
อวิ๋นกั๋วกงโมโหจนอยากจะสังหารเจ้า เป็นเสนาธิการทหารช่วยเจ้า เจ้าถึงได้ไสหัวออกไปมีชีวิตรอด”
“เป็นเขา ข้าก็ว่าแล้วมีคนที่ทำลายเรื่องดีๆของข้า ข้าว่าแล้ว!”กงซุนอิ่นกัดฟันพูด ตอนนี้โกรธแทบอยากจะจับเสนาธิการทหารผู้นั้นมาจัดการอย่างหยาบโลน
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้า กล่าวว่า“โลภมากลาภหาย เสนาธิการทหารของเจ้าแต่เดิมหวังว่าเจ้าจะกลับใจ อย่างไรเป็นเพราะเจ้าที่อยากกินเนื้อหมาป่าที่ยั่วยุหมาป่าเหล่านั้น และเจ้าโกหกเพื่อหนีความผิด คิดไม่ถึงว่าเจตนาร้ายกล่าวความเท็จปิดบังความจริง เสนาธิการทหารได้อ้อนวอนให้เจ้าล่วงหน้าแล้ว แต่เป็นเจ้าไม่ต้องการที่จะกลับใจ”
“เขาจงใจ ชัดเจนว่าเขาอยากเป็นขุนนางใหญ่ อยากแทนที่”
กงซุนอิ่นร้องโวยวายเสียงดัง ฉีเฟยอวิ๋นไม่เสียเวลาพูดกับเขาแล้ว เลยกล่าวว่า“พญาหมาป่า คนผู้นี้ทำร้ายหมาป่าอย่างนับไม่ถ้วน เก็บไว้ก็เป็นหายนะ ข้าว่าเทียบไม่ได้กับเจ้าสังหารเขาเสีย”
พญาหมาป่าคิดอย่างนี้ตั้งนานแล้ว พอได้ยินคำพูดของฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้เกรงใจอีก จึงโผกระโจนเข้าไปกัดคอของกงซุนอิ่น ออกแรงดึงทึ้ง ศีรษะของคนขาดแล้ว บุญคุณความแค้นจึงหมดไป!