องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 901 เช่นไรจึงจะถอยทัพ
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 901 เช่นไรจึงจะถอยทัพ
สิบวันให้หลังหนานกงเย่โจมตีเมืองสองเมืองของปีกใต้เอาไว้ ทุกที่ที่ผ่านเลือดนั้นราวกับสายน้ำไหลซึ่งแตกต่างจากตอนที่โจมตีเมืองอู๋โยวอย่างสิ้นเชิง หนานกงเย่ตีเมืองในครั้งนี้ที่ยอมจำนนนั้นเก็บเอาไว้ ผู้ใดไม่ยอมจำนนไม่ว่าชายหญิงเด็กคนชราไม่เก็บไว้แม้แต่คนเดียว
ไม่มีการจับกุมทหารจัดการตรงนั้นทั้งหมด
สิบวันต่อมาเมืองปีกใต้ท่วมนองไปด้วยเลือด
เดิมทีกองทัพห้าแสนนายของแคว้นเฟิ่งได้รวมกำลังพลแล้วเมื่อได้ยินข่าวแล้วก็ตกใจกลัวกันจนไม่กล้ากระทำการหุนหันพลันแล่น
และแคว้นเฟิ่งก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าพวกเขาไม่รบหนานกงเย่ก็ไม่ได้ให้โอกาสพวกเขาเลยซักโอกาส สิบวันต่อมาปืนใหญ่สิบกระบอกถึงยังเมืองจากนั้นยิงโดยตรงโดยไม่มีการกล่าวทัก ภายในหนึ่งวันได้ยึดเมืองสองแห่งเอาไว้ หากไม่ใช่ว่าทัพหน้าเหน็ดเหนื่อยแล้ว แคว้นเฟิ่งในเวลานี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนตายมากเท่าใด
เอ๋าชิงนั่งอยู่ในท้องพระโรงและเฝ้าสังเกตเหล่าขุนนางเบื้องล่างที่คิดกระทำสงครามเองซึ่งในเวลานี้ไม่ได้กล่าวสิ่งใดเลยแม้แต่คำเดียว
เสนาบดีเอ๋าท่านคิดว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี พวกเรายังไม่ได้เปิดศึกเมืองต้าเหลียงก็เข้ายึดเมืองสองเมืองของเราแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นเป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเฟิ่งเราทรงทำเช่นนี้ได้อย่างไร?”
เสนาบดีเบื้องล่างกล่าวอย่างระมัดระวัง ส่วนเอ๋าชิงมองไป: “ผู้ที่ต้องการรบก็คือพวกท่านแต่สู้ไม่ไหวก็มาถามข้า ก่อนหน้านี้พวกท่านทระนงนักไม่ใช่หรือบอกว่าจะทำลายเมืองต้าเหลียงให้สิ้นซากกันอย่างไรแล้วชิงตัวองค์รัชทายาทกลับมา เดิมทีพวกท่านก็ต้องการจะทำลายเมืองต้าเหลียงให้สิ้นซากแล้วตอนนี้ก็มากล่าวคำพูดเช่นนี้ หากมิใช่ว่าพวกท่านไม่ได้มีเจตนาดีตั้งแต่แรกพวกเขาเมืองต้าเหลียงจะกระทำเช่นนี้หรือ?”
ทุกคนเงียบโดยสีหน้านั้นช่างดูย่ำแย่ยิ่งนัก
เอ๋าชิงกล่าวอย่างเย็นชาว่า: “องค์รัชทายาทเป็นองค์รัชทายาทของพวกท่านแล้วพระนางมิใช่องค์รัชทายาทของหนานกงเย่หรือ? ขณะที่หนานกงเย่อยู่ในแคว้นเฟิ่งพวกท่านไม่สามารถทำอันใดกับเขาได้ ปล่อยเสือกลับขุนเขาก็ราวกับติดปีกให้เสือ พวกท่านคิดจริงๆหรือว่าแคว้นเฟิ่งเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขา?
พวกเขาเมืองต้าเหลียงก่อตั้งมานับเป็นร้อยๆปีโดยบุรุษนั้นอยู่หนือกว่าสตรีตลอดมาแล้วยิ่งความเกลียดชังต่อการชิงตัวภรรยาไม่สามารถอยู่ร่วมใต้หล้าได้ พวกท่านปีกใต้ต้องการพรากภรรยาของเขาไปเขาจะปล่อยให้พวกท้านรังแกได้หรือ?
ตอนนี้เป็นปีกใต้ที่ขวางกั้นการโจมตีของเขา หากมิใช่อย่าว่าแต่กองทัพห้าแสนนายถึงจะเป็นหนึ่งล้าน เขาบุกโจมตีเข้ามาก็เป็นเรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น”
“ห๊ะ?”
ผู้คนที่อยู่เบื้องล่างตื่นตระหนกกันขึ้นมาเนื่องจากเกรงกลัวปืนใหญ่ของหนานกงเย่แม้กระทั่งไม่รู้ว่ามนั่นคือสิ่งใด
เอ๋าชิงกล่าวว่า: “ข้าก็ไม่มีวิธี พวกท่านจัดการกันเองเถอะ รอให้แคว้นเฟิ่งถูกทำลายจนสิ้นซากอย่างมากข้าก็ขออภัยโทษต่อฝ่าบาทก็พอ”
“นี่……”
ทุกๆคนมีใจสันติชอบธรรม แต่แคว้นเฟิ่งจะสันติโดยชอบธรรมกับเมืองต้าเหลียงได้อย่างไร?
หาทางออกไม่ได้เอ๋าชิงลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า: “สองสามวันนี้ข้าก็จะไม่สนใจแล้ว ตอนสู้รบพวกท่านก็ไม่ได้ฟังข้าในตอนนี้พวกท่านก็จัดการกันเอาเองเถอะ”
เอ๋าชิงหันหลังจากไป ส่วนผู้คนด้านล่างนั้นแต่ละคนตกใจกันไม่น้อย
ผ่านพ้นไปอีกสิบวันแคว้นเฟิ่งถูกโจมตีเอาเมืองสี่เมืองลง ปีกใต้โจมตีมาได้หกเมือง สู้รบมาตลอดทางเหล่าทหารก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยหล้าสุดที่จะทน หนานกงเย่ออกคำสั่งให้พักเป็นเวลาสามวัน พักเรียบร้อยแล้วก็ดำเนินการโจมตีต่อ
องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ทรงได้รับข่าวดีติดต่อกันก็ทรงรู้สึกยินดียิ่งเป็นธรรมดา
ราชครูจวินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกและอดกล่าวไม่ได้ว่า: “เอาตัวพระชายาเย่นั้นถูกแล้วเท่ากับเอาเมืองต้าเหลียง ได้พระชายาเย่มาทั่วทุกสารทิศยังจะมีผู้ใดสามารถสู้ได้อีก?”
ฮูหยินรองเหลือบมองราชครูจวิน: “ข้าก็รู้สึกเช่นกัน”
“จริงเหรอ?” ราชครูจวินเลิกคิ้วเหลือบมองฮูหยินรอง ฮูหยินรองพยักหน้า
“แต่ว่าก็นึกไม่ถึงว่านางจะสังหารผู้คนมากมายเช่นนี้ ข้าเห็นนางจิตใจดีมีเมตตาแม้จะฆ่าไก่ตัวหนึ่งก็ไม่สบายใจ นางเกิดมาก็สามารถช่วยชีวิตคน แต่ว่าครั้งนี้……”
“เจ้าก็ยังไม่เข้าใจ สังหารคนเหล่านี้สามารถรักษาความสงบสุขของทั่วทุกสารทิศนับร้อยปีเช่นนั้นก็สามารถสังหารได้ ไม่สังหารพวกเขาจะหวาดกลัวได้อย่างไร? ไม่หวาดกลัวแล้วจะให้เมืองต้าเหลียงสงบสุขได้เช่นไร?
เมืองต้าเหลียงยากจนข้นแค้นพวกเขาไม่ชอบหน้ามาตั้งนานแล้ว “ราชครูจวินนั้นช่างประจักษ์นัก
ฮูหยินรองส่ายศีรษะ: “ก็มิใช่ ข้ารู้สึกว่า นางหน่ะ!”
ฮูหยินรองลังเล: “มักจะรู้สึกว่าอยู่เสมอว่าผู้คนเหล่านี้มีเจตนาไม่ดีต่ออ๋องเย่และบีบนางจนร้อนรนแล้ว แต่ก็แปลกนางนั้นสบายดีและไม่มีเรื่องอันใดแล้วนางกลัวสิ่งใด? เพียงแค่นางอยู่ตรงหน้าอ๋องเย่ อ๋องเย่ก็จะไม่เป็นไรนี่นา แต่ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่าราวกับนางกลัวว่าเวลาจะไม่พอใช้ ต้องการให้ก่อนที่นางจะจากไปช่วยอ๋องเย่ทำให้ใต้หล้านี้มียืนหยัดมั่นคง?”
ฮูหยินรองกล่าวคำพูดเช่นนี้ราชครูจวินก็ชะงักครู่หนึ่งแล้วเงยหน้ามองขึ้นไป: “เจ้าพูดอะไรเรื่อยเปื่อย นางอายุยังน้อยจะเกิดเรื่องอันใดได้?”
ฮูหยินรองมองราชครูจวิน: “ก็แค่มีความรู้สึก ตอนนางจากไปตั้งใจมาดูข้าแล้วยังกล่าวคำพูดบางอย่างกับข้าให้ข้าดูแลตนเอง”
“เจ้าอายุปูนนี้แล้ว ให้ดูแลตนเองก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?”
“เป็นเรื่องปกติ แต่นางให้ยาสามปีแก่ข้า ยังปกติอยู่อีกไหม?”
“……” ราชครูจวินกล่าวสิ่งใดไม่ออก
“ทีแรกข้าก็ตกใจ ข้าบอกว่ามากมายเช่นนี้จะทานถึงเมื่อใด นางบอกว่าทำสงครามไม่ใช่เรื่องที่ใช้ระยะเวลาอันสั้น หากว่านางไม่กลับมาในสามหรือห้าปีจะไม่มีผู้ใดจัดยาให้ข้า ของเหล่านี้สามารถรักษาร่างกายข้าได้ซึ่งข้าก็ไม่ได้ใส่ใจคิดว่าที่นางกล่าวก็มีเหตุผล คิดทำการรบมีหรือจะกลับมาในสามหรือห้าเดือน อ๋องเย่ออกไปตั้งหลายเดือนยังไม่กลับมาจึงได้รับเอาไว้
แต่ตอนนี้พอมาคิดๆดูแล้วนางจากไปอย่างประหลาด แน่ชัดว่าเมื่อไปถึงนั้นมั่นใจว่าศัตรูจะพ่ายแพ้ถอยทัพ ท่านบอกไม่ใช่หรือว่าขณะที่นางจากไปเข้าวังทูลต่อฝ่าบาทและกล่าวกับท่านว่าการไปครานี้จะต้องรบชนะเป็นแน่ อีกทั้งจะต้องภายในหกเดือนและนางจะพยายามกลับมาก่อนที่นางจะคลอดลูก
เรื่องราวก่อนและหลังนี้ไม่ได้หมายความว่าสู้รบเป็นเวลาครึ่งปีก็สิ้นสุดแล้ว แต่ว่านางกลับจัดเตรียมยาให้ข้าเป็นเวลาสามปี”
ราชครูจวินเข้าใจในทันทีแล้วมองไปยังฮูหยินรอง: “เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นแต่ว่าจะเกิดเรื่องใดได้? ตอนนี้นางไม่มีทางตามปีกใต้ไปและไม่มีทางไปกับแคว้นเฟิ่งเป็นแน่ เด็กๆทั้งหลายอยู่ที่นี่กันและนางก็ไม่ยอมทอดทิ้งอ๋องเย่แล้วจะเกิดเรื่องใดได้?”
หลังจากนั้นครึ่งเดือนหนานกงเย่โจมตีถึงด้านนอกเมืองหลวงของปีกใต้ ปืนใหญ่สิบกระบอกหยุดอยู่ที่ด้านนอกแล้วยิงนัดหนึ่งใส่ทำลายที่แห่งหนึ่งของเมืองหลวงจนพินาศแม้แต่แมลงก็ยังถอยหลบไปแล้วยิ่งคนหล่ะ
ฮองเฮาทรงหวาดกลัวเสียแล้วจึงทรงรีบไปหาจักรพรรดิปีกใต้ซึ่งในเวลานี้จักรพรรดิปีกใต้กำลังทรงทอดพระเนตรดูปลาอยู่
“ฝ่าบาท จะทำอย่างไรดีเพคะ?” ฮองเฮาทรงคุกเข่าพร่ำบ่น บิดาของพระนางเสียชีวิตไปแล้วและในตอนนี้จวนแม่ทัพของตระกูลพระนางถูกทำลายจนพังพินาศยับเยิน เหตุใดจึงได้พอดีเช่นนั้นถึงได้สู้กันอยู่ในขณะตระกูลพระนางดำรงตำแหน่ง
ผู้คนในจวนแม่ทัพถูกทำลายจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว ฮองจะทรงยอมใจได้อย่างไร
“ฮองเฮา เจ้าต้องการเช่นไร?” จักรพรรดิปีกใต้ทรงทอดพระเนตรฮองเฮา
“หม่อมฉันต้องการให้พวกเขาล่าถอย พวกเขาจะยอมไหมเพคะ?” ฮองเฮายังคงต้องการต่อสู้ดังนั้นจึงคิดแผนร้ายอยู่ในพระทัยแต่ว่าต้องยืมใช้องค์จักรพรรดิปีกใต้
จักรพรรดิปีกใต้ทรงทอดพระเนตรฮองเฮาอยู่ครู่หนึ่ง: “ข้าคิดว่าไม่ยอม”
“ในเมื่อไม่ยอมหม่อมฉันว่าหนึ่งไม่กระทำสองไม่ยอมเลิกรา สังหารฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่เสียดีกว่า” ในที่สุดฮองเฮาก็ได้ทรงตรัสในสิ่งที่ต้องการกระทำและท่าทีมีความสุขยิ่งนัก
จักรพรรดิปีกใต้ทรงตรัสว่า: “แต่ว่าตอนนี้เป็นพวกเขาโจมตีมาถึงที่เรานี่ ข้าก็ไร้ซึ่งหนทาง”
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงแสดงทีท่าว่ายินดีจะทรงเจรจาสร้างสันติ จากนั้นพวกเรารอให้พวกเขาเข้ามาแล้วสังหารพวกเขาเสีย!” พระเนตรของฮองเฮาเบิกกว้าง จักรพรรดิอทรงทอดพระเนตรฮองเฮาแล้วทรงพระสรวลเบาๆ
“งั้นเจ้าก็ลองดูเถอะ”
ฮองเฮาทรงตกตะลึงโดยที่ทรงรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ?”
จักรพรรดิปีกใต้ทอดพระเนตรไป: “ฮองเฮา เจ้าเป็นผูที่เกิดในตระกูลแม่ทัพ เจ้าคุ้นเคยกับอ่านตำราการทหารตั้งแต่เด็กหรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาไม่พูดคุยสันติแล้ว!”
พระพักตร์ฮองเฮาไร้ซึ่งสีเลือดไปครู่หนึ่งจากนั้นก็นั่งลงกับพื้นอย่างเหม่อลอย
จักรพรรดิปีกใต้ทรงตรัสว่า “ไปถามซิว่าพวกเขาต้องการให้ทำอย่างไรถึงจะยอมถอยทัพ?”