องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 912 ในระหว่างสิบปี
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 909 ในระหว่างสิบปี
“นางกล่าวเช่นนั้นจริงหรือ?” หนานกงเย่ไม่เชื่อ
“ท่านอ๋อง เฟยอิงเคยโกหกท่านหรือไม่? ท่านจำได้ไหมว่าที่เนินเขาสิบลี้ทุกครั้งที่ท่านไปต้องต่อสู้กระบวนท่ากับผู้คนเหล่านี้?”
“อืม”
“พระชายาให้ข้าเฝ้าสังเกตอย่างลับๆและเรียนรู้กระบวนท่าของพวกเขาก็เพื่อให้สามารถสู้ชนะท่านอ๋องได้ พระชายาบอกว่าเอาชนะท่านอ๋อง ได้ก็จะสาสารถปกป้องท่านอ๋องได้ พระชายาบอกว่าภายหน้าเกิดเรื่องกับนางเชื่อใจผู้ใดไม่ได่แต่เชื่อใจเฟยอิงได้”
ยังบอกด้วยว่าหากท่านอ๋องเจ้าเลือกที่จะตาย พวกเราก็จะต้องขวางเอาไวให้ได้
เฟยอิงไม่มีทางหลอกท่านอ๋อง”
หนานกงเย่มองไปยังองค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้: “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะมีชีวิตอยู่เพียงแต่ว่าข้าไม่สามารถปล่อยนางไปได้”
องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ทรงกริ้วแล้ว: “เจ้ามันบ้า ออกไปให้พ้นจากที่นี่ไม่เช่นนั้นก็ฆ่าพวกมันพร้อมๆกัน!”
อวิ๋นหลัวฉวนฟังจนเข้าใจแล้วกล่าวว่า: “ท่านอุปราชท่านต้องการสังหารลูกชายของข้าก็เพื่อขัดขวางไม่ให้เขามาที่โลกนี้หรือ?”
แววตาหนานกงเย่เย็นชาแต่ไม่ได้กล่าวในทันที
อวิ๋นหลัวฉวนโบกมือ: “ถอยออกไปให้หมด วันนี้ท่านอุปราชฝันร้ายได้ถูกของสกปรก เฟยอิงเจ้าก็ถอยออกไปเถอะมีข้าอยู่เขาก็อยู่ อวิ๋นอวิ๋นยังไม่กลับมาข้าจะคุ้มครองเขาเอง แม้จะเป็นฝ่าบาทข้าก็จะไม่ยอมให้เขาทำร้ายท่านอุปราช
ท่านอุปราชเพื่อให้เมืองต้าเหลียงปกครองโดยชอบธรรมถึงได้รับอาการป่วยทางใจ และพระชายาอุปราชเพื่อความสงบสุขของเมืองต้าเหลียงแล้วจึงได้สูญเสียไป
พระเมตตานี้เมืองต้าเหลียงจะไม่มีวันลืม ฝ่าบาทและข้าก็จะไม่ลืม เจ้าถอยออกไปก่อน พวกเจ้าก็เช่นกัน ”
เฟยอิงไม่จากไป อวิ๋นหลัวฉวนจึงมองไปยังองค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ จากนั้นองค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้จึงได้กล่าวว่า: “ถอยไปเถอะ”
คนถอยออกไปแล้วองค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ก็ยังทรงปกป้องอวิ๋นหลัวฉวน อวิ๋นหลัวฉวนกล่าวว่า: “อย่าขายหน้าอยู่ด้านนอกเลย เข้ามาเถอะ”
หันหลังอวิ๋นหลัวฉวนไปยังตำหนักเฟิ่งอี๋ องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้เหลือบมองหนานกงเย่ด้วยความแปลกพระทัยแล้วทรงสะบัดแขนเสื้อตามออกไป เมื่อเข้าประตูไปก็ทรงอุ้มองค์หญิงขึ้นมาก่อน
อวิ๋นหลัวฉวนกลับไม่ได้หวาดกลัว มองไปยังหนานกงเย่ที่เข้าประตูมาโดยละเอียดซึ่งผมนั้นได้หงอกหมดแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดจากนั้นน้ำตาก็ไหลรินลงมา เช็ดแล้วอวิ๋นหลัวฉวนก็กล่าวว่า: “ท่านอุปราชเชิญนั่ง”
หนานกงเย่ยืนนิ่งไม่ขยับ อวิ๋นหลัวฉวนเช็ดน้ำตาแล้วตรัสว่า: “ข้ามีสามเรื่องที่ต้องการกล่าว เรื่องแรกท่านไม่สามารถสังหารพระโอรสของข้าได้ เสด็จอาสังหารหลานชายจะให้ใต้หล้าทนได้เช่นไร เรื่องที่สองหากว่าเด็กคนนี้คือซูมู่หรงจริงๆท่านสังหารเขาภายหน้าก็จะไม่สามารถหาอวิ๋นอวิ๋นพบได้ เขากำเนิดมาและเติบใหญ่ขึ้นก็จะต้องตามหาหาอวิ๋นอวิ๋นเป็นแน่และนี่ก็เป็นเบาะแส ประการที่สามอวิ๋นอวิ๋นจะต้องกลับมาเป็นแน่ หากว่านางรู้ว่าท่านสังหารซูมู่หรงแล้วจะเป็นเช่นไร?
หนานกงเย่จ้องมองอวิ๋นหลัวฉวน: “ภายภาคหน้าสังหารเขาซะ!”
“ยี่สิบปีหลังจากนี้เป็นเช่นไรข้าไม่สนใจ แต่หากว่าท่านสังหารเขาในท้องของข้าในตอนนี้ ผู้ที่เสียเปรียบก็คือท่าน ท่านคิดว่าอย่างไร?
เหตุใดซูมู่หรงถึงมาในเวลานี้? เหตุใดไม่มาให้ไว้กว่านี้?”
ในสมองหนานกงเย่ปั่นป่วนอยู่บ้างจึงได้มองอวิ๋นหลัวฉวนโดยไม่ได้ตอบ
“เป็นเพราะอวิ๋นอวิ๋นกำลังจะมาแล้วหรือกล่าวได้ว่าได้มาแล้ว! เขาต้องกลับมาในเวล่าใกล้เคียงกับอวิ๋นอวิ๋นหรือว่าจะให้ครองอยู่กับอวิ๋นอวิ๋นขณะอายุเจ็ดแปดสิบปีหรือ?
กลับกันกับเจ้า……ท่านอุปราช……” อวิ๋นหลัวฉวนวนจงใจหยุดชะงักครู่หนึ่ง
แววตาอันเย็นชาของหนานกงเย่: “ว่ามา”
“ซูมู่หรงมาในเวลานี้เช่นนั้นอวิ๋นอวิ๋นก็คงต้องเป็นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ปีนี้ท่านอุปราชก็อายุยี่สิบปีแล้ว? หากจำไม่ผิดยี่สิบสองกระมัง?”
อวิ๋นหลัวฉวนกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา คิ้วของหนานกงเย่ขยับและดวงตาของเขาก็ยิ่งเยือกเย็นลง
อวิ๋นหลัวฉวนกล่าวว่า:“ท่านอุปราช แม้ว่าอวิ๋นอวิ๋นจะกำเนิดมาในเวลานี้แล้วแต่อายุน้อยกว่าท่านมากนัก ท่านนั้นสามารถเป็นบิดาของนางได้แล้ว” ท่านว่า……”
“ซูมู่หรง……” หนานกงเย่กัดฟันแล้วมองดูท้องของอวิ๋นหลัวฉวนด้วยกลิ่นไอแห่งการสังหาร แต่อวิ๋นหลัวฉวนกลับไม่คิดว่าถูก เช่นไรก็เป็นชนรุ่นหลังของตระกูลแม่ทัพและเห็นว่าซูมู่หรงสงบนิ่งเช่นนั้น
นางกลับกล่าวว่า: “ท่านอุปราช ซูมู่หรงเป็นเบาะแสเดียวที่จะสามารถช่วยท่านตามหาอวิ๋นอวิ๋นพบและ……ท่านก็ไม่สามารถไร้ท่าทางน่านับถือได้ หากว่าภายหน้าท่านตามหาอวิ๋นอวิ๋นพบและได้รับความชื่นชอบจากอวิ๋นอวิ๋นอีกครั้ง ก็เป็นการเล่นงานซูมู่หรงใช่ไหม?”
หนานกงเย่หัวเราะอย่างเย็นชา: “ฮองเฮาช่างมีไหวพริบจริงๆ สามารถจับข้าเอาไว้ได้อยู่หมัด”
หนานกงเย่มองไปยังท้องของอวิ๋นหลัวฉวนจากนั้นก็ก้าวย่างเข้าไป องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ต้องการขวางแต่ถูกอวิ๋นหลัวฉวนดึงออก: “ฝ่าบาท ท่านอุปราชจะไม่สังหารโอรสของเรา เขาจะประคับประคองโอรสให้เป็นจักรพรรดิที่ดี จากนั้นให้เขาถูกขังอยู่ในวังและยังจะให้เขาแต่งงานกับพระสนมมากมาย”
หนานกงเย่หยุด: “ถูกต้อง ข้าจะให้เขาแต่งงานกับพระสนมมากมายและให้เขาแผ่กิ่งก้านสาขาในวัง”
องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ทอดพระเนตรหนานกงเย่ด้วยความย็นชา: “เจ้าไม่ต้องยุ่ง ข้าจะจัดการตั้งแต่ต้นจนจบ”
อวิ๋นหลัวฉวนเหลือบมององค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ด้วยความโกรธ องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้กล่าวว่า : “ข้าไม่ได้กล่าวผิด”
หนานกงเย่มองไป: “ฮึ่ม!”
หันหลังกลับหนานกงเย่ก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป
ขณะที่ไทเฮาทั้งสองตำหนักเสด็จมาก็เห็นหนานกงเย่เข้าพอดีและก็ไม่ได้ทำความเคารพแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
แต่ว่าเมื่อไทเฮาทั้งสองตำหนักเห็นหนานกงเย่ซึ่งผมหงอกหมดแล้วก็ตกตะลึงเช่นกัน ผมหงอกไปทั้งหมดเสียแล้ว!
หนานกงเย่กลับไปยังจวนอ๋องเย่ก็ขังตนเองไว้เป็นเวลาสามวัน หลังจากสามวันแล้วอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกจากจวนอ๋องเย่ไปจวนท่านแม่ทัพ
อวิ๋นจิ่นได้ยินว่าหนานกงเย่เข้าวังไปเอะอะโวยวายและต้องการจะสังหารฮองเฮา แล้วนี่ก็มายังจวนท่านแม่ทัพยิ่งน่าหวาดกลัวกว่าเดิมเสียอีก
ทารกน้อยสองคนบนเตียงกำลังพูดคุยจ้อแจ้กันอยู่ อวิ๋นจิ่นผู้เดียวไม่สามารถคุ้มครองทั้งสองคนได้จึงรีบให้คนไปเรียนท่านแม่ทัพ
แม่ทัพฉีรีบเร่งมาและขวางหนานกงเย่เอาไว้ได้พอดี: “เจ้ามาทำไม?”
ลูกสาวของแม่ทัพฉีไม่มีแล้วไปจึงทำได้เพียงแค่คอยเฝ้าดูแลหลานสาว
เช่นไรก็ไม่สามารถให้หนานกงเย่ทำร้ายหลานสาวได้
หนานกงเย่กล่าวว่า “รับเสี่ยวอวิ๋นกลับไป”
แม่ทัพฉีไม่เชื่อ: “ไม่จำเป็น เสี่ยวอวิ๋นอยู่กับข้าที่นี่ เจ้ากลับไปเถอะเมื่อเติบใหญ่แล้วจะส่งกลับไป ยิ่งกว่านั้นเจ้าเป็นชายผู้หนึ่งดูแลไม่เป็น อวิ๋นจิ่น สามารถดูแลได้”
“ข้าจะหาคนมาดูแลแล้วยังมีเด็กคนอื่นๆ วันนี้จะรับกลับไปหมด” กล่าวจบแล้วหนานกงเย่ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงและยืนกรานที่จะบุกเข้าไป
แม่ทัพฉีไม่ยอมถอยให้ทั้งสองคนจึงต่อสู้กันขึ้น
แต่วิทยายุทธของหนานกงเย่แกร่งกล้ายิ่งกว่าเก่าจึงได้โยนแม่ทัพฉีออกไป เมื่อแม่ทัพฉีลุกขึ้นเขาก็ได้บุกเข้าประตูไปแล้วและคว้าตัวเสี่ยวอวิ๋นไป
อวิ๋นจิ่นหยิบมีดแทงไปยังหนานกงเย่ เมื่อเสี่ยวอวิ๋นเห็นหนานกงเย่ได้รับบาดเจ็บก็ร้องไห้ขึ้น
แม้ว่าจะเป็นเด็กอายุไม่กี่เดือนแต่กลับร้องไห้เสียใจยิ่งนัก
อวิ๋นจิ่นถอยหลังออกแล้วทิ้งมีดในมือ หนานกงเย่เหลือบมองอวิ๋นจิ่นและตบเสี่ยวอวิ๋นเบาๆ: “อย่าได้ร้องไห้ ไม่เจ็บ ครู่เดียวก็หาย”
เสี่ยวอวิ๋นเสียอกเสียใจโดยสูดหายใจเข้าและมองดูหนานกงเย่ หนานกงเย่คลุมตัวเสี่ยวอวิ๋นด้วยแขนเสื้อแล้วหันหลังออกไปด้านนอกโดยที่อวิ๋นจิ่นก็ยังยืนจังงังอยู่
ตามออกไปด้านนอกแล้วก็ได้ยินหนานกงเย่กล่าวว่า: “เสี่ยวเฉียว พาน้องชายและน้องสาวทั้งหลายกลับไป”
กล่าวจบก็จากไปเลย อวิ๋นจิ่นพยุงแม่ทัพฉีขึ้นมา แม่ทัพฉีจึงถามว่า: “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“เรียนรู้แล้วหน่ะสิ เก็บข้าวของ ไปจวนอ๋องเย่ดูเขาไว้อย่าให้เขาทำสิ่งใดพลการ!” แม่ทัพฉีสั่งการไปทันที อวิ๋นจิ่นไม่สามารถใส่ใจเรื่องอื่นได้เก็บเสื้อผ้าสองชุดแล้วอุ้มลูกชายตามแม่ทัพฉีไปยังจวนอ๋องเย่
หนานกงเย่กลับไปถึงจวนอ๋องเย่ก็เรียกหมอประจำจวนโจวมาพันแผลด้วยตนเอง จากนั้นก็คัดเลือกแม่นมสี่คน สาวใช้สี่คน และอีกสองคนมาคุ้มครองเรือนเพื่อปกป้องดูแลเสี่ยวอวิ่นโดยเฉพาะ
เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วหนานกงเย่ก็ส่งคนออกไปค้นหาหมอทำนายดวง ภายในหนึ่งปีค้นหาไปแล้วร้อยกว่าคน สุดท้ายแล้วคัดเลือกออกมาสิบคนให้พวกเขาทำนายตำแหน่งของฉีเฟยอวิ๋น
แต่ทั้งสิบคนไม่สามารถทำนายได้โดยบอกว่าถูกบางสิ่งขวางกั้นไว้ ไม่เพียงแต่ทำนายฉีเฟยอวิ๋นไม่ออกแต่แม้แต่ซูมู่หรงก็เช่นเดียวกันถูกขวางเอาไว้เหมือนกัน
หนานกงเย่นึกถึงท่านแม่เฒ่า จากนั้นลุกขึ้นแล้วอุ้มเสี่ยวอวิ๋นไปหาท่านแม่เฒ่า
น่าเสียดายที่ท่านแม่เฒ่าได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยทิ้งหญิงสาวเอาไว้ที่นั่น หนานกงเย่อยู่ที่นั่นสองวันก่อนจากไปหญิงสาวบอกกับเขาว่าจะหาคนให้ไปหาสตรีผู้สูงศักดิ์ที่สุดในโลกนี้ นี่เป็นคำพูดที่ท่านแม่เฒ่าฝากไว้
หลังจากนั้นหนานกงเย่ค้นหาเป็นเวลาสิบปี ได้พบสตรีสูงศักดิ์มากมายแต่ก็หาไม่พบ
หมายเหตุ
อุปราช คือ ผู้สำเร็จราชการต่างพระองค์