องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 918 ภายภาคหน้าจะเป็นอาวุธสำคัญเป็นแน่
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 915 ภายภาคหน้าจะเป็นอาวุธสำคัญเป็นแน่
ในเวลานี้ในท้องพระโรงไม่มีคนภายนอกอยู่ แม่ทัพฉี อวิ๋นจวิ้นจู่ หนานกงเย่และเฟิ่งหลิงอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปหาเฟยอิงแล้วย่อกายทำความเคารพ: “ขอบคุณเฟยอิงที่ปกป้องมานานหลายปีฉีเฟยอวิ๋นไม่มีสิ่งใดตอบแทนจึงยินดีที่จะรับเฟยอิงเป็นพี่ใหญ่ ในชีวิตนี้ยินดีจะปกป้องความปลอดภัยให้พี่ใหญ่เพื่อตอบแทนน้ำใจพี่ใหญ่ที่คุ้มครอง”
เฟยอิงตะลึงอยู่เป็นเวลานาน: “พระชายา…… ”
“พี่ใหญ่ รังเกียจหรือ?” เฟิ่งหลิงอวิ๋นถาม เฟยอิงมองไปยังหนานกงเย่
หนานกงเย่กล่าวว่า: “ในเมื่อเป็นความตั้งใจของอวิ๋นอวิ๋นงั้นก็ฟังนางเถอะ ข้าก็มีอีกเรื่องที่จะขอร้อง”
เฟยอิงจึงได้กล่าวว่า: “ได้!”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองไปยังเฟยอิงแล้วเหลือบมองหนานกงเย่: “ท่านอ๋องจะฝากฝังสิ่งใดหรือ?”
หนานกงเย่กล่าวว่า: “ครั้งนี้อวิ๋นอวิ๋นจะไม่อยู่นานนักอย่างมากก็ครึ่งเดือน ข้าไม่สามารถไล่ตามนางไปได้เมืองต้าเหลียงยังต้องจัดระเบียบกองทัพใหม่เพื่อเตรียมพร้อมที่จะกวาดล้างทั่วทุกสารทิศและรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง ดังนั้นต้องการให้เจ้าตามอวิ๋นอวิ๋นไปเมื่อถึงเวลาที่ข้ารวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งก็เป็นเวลากลับมาของเจ้า ไม่รู้ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่?”
เฟยอิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง: “ยินยอม”
“อืม” หนานกงเย่มองไปยังเฟิ่งหลิงอวิ๋น ยื่นมือออกไปกุมมือของนางแล้วเดินไปทางด้านนอก
หนานกงอวิ๋นเยียนวิ่งไปในทันทีแล้วกุมมือของหนานกงเย่
ออกจากประตูแล้วเอ๋าชิงไม่ได้จากไปจริงๆโดยที่ยืนอยู่ตรงด้านนอกประตู
หนานกงเย่มองไปแล้วกล่าวว่า: “คืนนี้ท่านเสนาบดีเอ๋าสามารถไปพักยังจวนอุปราช อามู่จะเป็นผู้พาเสนาบดีเอ๋าไป”
เอ๋าชิงมองเฟิ่งหลิงอวิ๋นอย่างจนปัญญาแล้วตามอามู่ไปยังจวนท่านอุปราชก่อน คนอื่นๆนั้นรอเฟิ่งหลิงอวิ๋นกัน
“ในเมื่อเสนาบดีเอ๋าไปยังจวนท่านอุปราชแล้ว เช่นนั้นเชื่อว่าพวกเราก็สามารถไปจวนท่านอุปราชได้” จวินโมซ่างโบกพัดไปมา เขาไม่กล่าวก็เกรงว่าจะไม่มีผู้ใดกล่าว
หนานกงเย่มองคนสองสามคน: “ในเมื่อทุกคนยินยอมที่จะไปงั้นก็ไปเถอะ”
หนานกงเย่พาคนจากไป ผู้คนทั้งหลายก็ตามไปยังจวนท่านอุปราช
ในรถม้าหนานกงเย่ขวางลูกสาวอยู่จึงสร้างปัญหาได้ยากและได้ถามเรื่องราวต่างๆมากมายในช่วงสองสามปีนี้ เฟิ่งหลิงอวิ๋นจึงบอกเล่าเรื่องราวทางโน้นกับหนานกงเย่แล้วยังเอ่ยถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นด้วย
“จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งเห็นท่านอ๋องสวมชุดพรางตัวปรากฏตัวในป่าและยังมีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวด้วย นางต้องการจะสังหารข้าแล้วท่านอ๋องได้ขวางเอาไว้ นางต้องการหนีข้าจึงได้สังหารนาง ต่อมาข้าก็พาท่านอ๋องไปเมื่อดูแล้วว่าเป็นท่านอ๋องจริงๆและยังเคยได้พักผ่อนด้วยกัน เพียงแต่ว่าหลังจากตื่นนอนท่านอ๋องก็หายตัวไปแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นจำเรื่องนั้นได้เสมอ
หนานกงเย่บ่นพึมพำว่า: “ข้าคิดว่านั่นเป็นความฝัน”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าของหนานกงเย่: “นั่นไม่ใช่ความฝันนั่นเป็นความจริง ท่านอ๋องเห็นข้าในอีกโลกหนึ่งผ่านความคิดถึง”
หนานกงเย่กุมมือเฟิ่งหลิงอวิ๋นเอาไว้: “ข้าคิดว่านั่นเป็นความฝัน บางครั้งก็จะฝันและจะคิด”
“แต่ว่าก็ไม่เห็นท่านอ๋องอีกเลย เมื่อมาถึงที่นี่นั้นไม่เคยเห็นเลยกลับเป็นตอนนั้นซึ่งฝันว่าท่านอ๋องผมหงอกทั่วศีรษะ”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นพิงอยู่ในอ้อมแขนของหนานกงเย่และหนานกงเย่ก็กอดนางเอาไว้: “ข้าฝืนทนเป็นสิบปีและเกือบจะทนไม่ไหวแล้ว หากมิใช่ว่าเห็นอวิ๋นเอ๋อร์เติบโตขึ้นทุกวันก็คงจะทนไม่ไหวตั้งนานแล้ว”
“อืม”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นออกจากแล้วมองไปยังอวิ๋นจวิ้นจู่ อวิ๋นจวิ้นจู่พิงอยู่ในอ้อมแขนของหนานกงเย่และถามอยู่อีกฝั่งหนึ่งว่า: “ท่านเป็นท่านแม่ของข้าจริงๆหรือ?”
“……”เฟิ่งหลิงอวิ๋นยิ้มแล้วขีดจมูกของหนานกงอวิ๋นเยียน
ทั้งสองคนหัวเราะกันขึ้น หนานกงอวิ๋นเยียนหลับไปก่อนจากนั้นเฟิ่งหลิงอวิ๋นจึงได้กล่าวว่า: “ท่านอ๋องดูแลเสี่ยวอวิ๋นได้เป็นอย่างดี”
“……” หนานกงเย่หรี่ตา กอดพวกนางฝั่งละคนนอนหลับไปเสียแล้ว
หนานกงเย่ส่งเสียงท่ามกลางการนอนหลับหนานกงอวิ๋นเยียนจึงได้ลืมตาขึ้นมองเฟิ่งหลิงอวิ๋น: “เมื่อคืนท่านพ่อไม่ได้นอนเลยทั้งคืน ท่านง่วงแล้ว!”
“อืม” เฟิ่งหลิงอวิ๋นหลับตาลงซึ่งนางก็ไม่ได้นอนเช่นกัน
รถม้าถึงยังจวนท่านอุปราชหนานกงอวิ๋นเยียนออกจากรถม้าโดยที่อามู่รออยู่ด้านนอก นางลงจากรถม้าถึงได้กล่าวว่า: “ท่านพ่อท่านแม่นอนหลับแล้วอย่าได้รบกวนพวกท่าน มีเรื่องอันใดมาหาข้าก็พอ”
อามู่เหลือบมองรถม้าแล้วสั่งให้คนคุ้มกันก่อน จากนั้นหันหลังกลับเข้าประตูไปต้อนรับท่านทูตคนอื่นๆ
ในเมื่อรอกระทั่งพบเจอเฟิ่งหลิงอวิ๋นไม่ได้ก็ไม่เห็นด้วยเป็นธรรมดาจึงได้ถามว่าไปที่ใดกันแล้ว
คาดไม่ถึงว่าผู้ที่เข้ามาด้วยมือที่ไขว้หลังพร้อมมีแส้ห้อยอยู่ที่เอวจะเป็นหนานกงอวิ๋นเยียน
อามู่เดินตามอยู่ฝั่งหนึ่งโดยที่มือทั้งสองข้างกำหมัดอยู่: “เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ได้ไปพักผ่อนก่อนแล้วจึงไมิเป็รการดีที่จะรบกวนขอทุกท่านได้โปรดอภัยด้วย วันนี้มีข้ากับน้องสาวเป็นผู้ที่อยู่ต้อนรับ”
“พวกเจ้า?” จวินโม่ซ่างสีหน้าหม่นหมองและจะไว้หน้าได้อย่างไร
อามู่กล่าวด้วยความเกรงใจว่า: “ใช่ พวกเราพี่น้อง!”
“ดูถูกข้ามากเกินไปแล้ว ข้าเป็นจักรพรรดิแห่งเมืองอู๋โยวมีพวกเจ้ามาต้อนรับสมควรที่ใดกัน เมืองต้าเหลียงต้อนรับแขกกันเช่นนี้หรือ?” สีหน้าจวินโม่ซ่างย่ำแย่ยิ่งนัก
อามู่จึงได้มองดูจวินโม่ซ่างและคนอื่นๆ
จวินโม่ซ่างกล่าวว่า: “ข้าต้องการให้ท่านอุปราชอยู่เป็นเพื่อนกับข้าและให้องค์รัชทายาทออกมาพบ”
อามู่จนปัญญากำลังจะกล่าวก็ได้ยินหนานกงอวิ๋นเยียนกล่าวว่า: “จักรพรรดิแห่งอู๋โยวกล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นก็รอสักครู่”
กล่าวจบหนานกงอวิ๋นเยียนก็มองไปยังซูมู่ไห่: “องค์รัชทายาทแห่งปีกใต้ ท่านก็ต้องการให้ท่านพ่อของข้ามาหรือ?”
“……” ซูมู่ไห่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง: “ทำตามที่จวิ้นจู่กล่าวเป็นพอ อย่างอื่นไม่รีบร้อน”
หนานกงอวิ๋นเยียนยังถือว่าพอใจจากนั้นมองไปยังเซวียนเหอซึ่งอยู่ฝั่งหนึ่ง: “แล้วท่านหล่ะ?”
ตอนนี้ก็ยิ่งไม่เกรงใจเสียแล้ว
เซวียนเหอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง: “อวิ๋นจวิ้นจู่ตัดสินใจเถอะ”
“อืม เอ๋าชิงท่านหล่ะ?” ตอนนี้ได้แสดงสีหน้าให้ เช่นไรเอ๋าชิงก็เป็นทูตของแคว้นเฟิ่งแม้ว่าจะเป็นฮองเฮาก็ไม่สะดวกที่จะกล่าวเช่นนี้
แต่กลับเป็นหนานกงอวิ๋นเยียนที่ยังเป็นเด็ก เมื่อกล่าวคำพูดเช่นนี้จึงไม่สามารถถือสาเอาความได้
เอ๋าชิงกล่าวว่า: “จวิ้นจู่ตามสบาย”
หนานกงอวิ๋นเยียนได้รับคำตอบที่น่าพอใจจากนั้นเงยหน้าขึ้นมองจวินโม่ซ่างแล้วกล่าวว่า: “ท่านพ่อของข้าสักครู่จะมาอยู่เป็นเพื่อน ขอให้จักรพรรดิแห่งอู๋โยวทรงรออยู่ที่นี่เพคะ”
“ได้!” ในตอนนี้จวินโม่ช่างยังคงเย่อหยิ่งจองหองอยู่
หนานกงอวิ๋นเยียนหัวเราะแล้วกล่าวว่า: “เช่นนั้นเชิญจักรพรรดิแห่งหลิงอวิ๋น องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยว และเสนาบดีเอ๋าตามข้ามา”
กล่าวจบหนานกงอวิ๋นเยียนก็ออกจากประตูไป อามู่รีบเชิญพวกเขาออกไปทันทีและทั้งสามคนก็เดินตามออกไป จากนั้นอามู่หันหลังจากไปอย่างเหงื่อตกกังวลแทนจวินโม่ซ่างจริงๆ
เมื่อออกไปแล้วก็เห็นใบหน้าอันเล็กของหนานกงอวิ๋นเยียนหมองลงอย่างหนาวเย็นยะเยือกแล้วสั่งการว่า: “พวกเจ้า ไปนำน้ำเย็นมาเตรียมเอาไว้ให้ข้าบนหลังคา รอให้เจ้าหมาป่าน้อยเล่นพอแล้ว ฝนก็จะตก! ”
ซูมู่ไห่หันหลังกลับมองไปยังลานเรือนอันวิจิตรตระการตานั้นแล้วหันหลังกลับมา
เอ๋าชิงก็สูดลมหายใจอันเย็นเข้า
เซวียนเหอยิ้มอย่างเข้าใจ: “เจ้ากับท่านแม่ของเจ้าก็ยังเหมือนกันอยู่บ้าง ตอนเจ้าเป็นเด็กอยู่ในเมืองหลวงนั้นเจ้าคิดเจ้าแค้นและยิ่งไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ใดๆ”
หนานกงอวิ๋นเยียนหันหลังกลับแล้วกล่าวว่า: “เทียบไม่ได้กับความร้ายกาจของเหล่าจงชินของท่านซึ่งเกือบจะกำจัดลูกหลานของเมืองต้าเหลียงของเราจนสิ้นซาก”
หนานกงอวิ๋นเยียนหน้าตาดูถูกดูแคลนแล้วหันหลังจากไป
เซวียนเหอชะงักครู่หนึ่ง มองดูเด็กคนนั้นเดินไปจนไม่เห็นเงาแล้วจึงได้เดินไป
ในลานของจวนท่านอุปราชได้จัดวางโต๊ะไว้ตัวหนึ่งโดยมีอามู่และหนานกงอวิ๋นเยียนอยู่ด้วย
“ทุกท่านเชิญ”
อามู่ในตอนนี้ได้รับสิทธิ์กระทำการผู้คนทั้งหลายมองหน้ากันแล้วนั่งลงทีละคนๆ แต่พวกเขากลับเห็นหนานกงอวิ๋นเยียนซึ่งยืนอยู่ตรงฝั่งหนึ่ง
แม้ว่าจะเป็นเพียงเด็กแต่นางกลับห่างไกลกับเด็กอายุรุ่นเดียวกันมากนัก
หากไม่ได้เห็นด้วยตาตนเองพวกเขาก็คงไม่เชื่อว่าเด็กคนนี้เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งซึ่่งคุณธรรมอันสูงส่งนั้นภายภาคหน้าจะต้องเป็นอาวุธอันสำคัญเป็นแน่