องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 927 ไร้ยางอาย
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 924 ไร้ยางอาย
อวิ๋นเลี่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง: “หากเสนาบดีรับปากหล่ะก็งั้นข้าจะพาอวิ๋นจวิ้นจู่ไปด้วยได้ไหมหรือไม่?”
“อวิ๋นจวิ้นจู่เป็นจวิ้นจู่ของเมืองต้าเหลียงไม่ใช่จวิ้นจู่ของแคว้นเฟิ่งเรา เรื่องนี้ข้าองค์รัชทายาทไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้ หากว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นจริงๆแคว้นเฟิ่งก็ไม่สามารถรับผิดชอบไหว ตอนนี้บ้านเมืองทั่วทุกสารทิศยืนหยัดเองเดิมฤดูใบไม้ร่วงก็มีเรื่องมากมาย แคว้นเฟิ่งต้องการจะจัดการเรื่องราวภายนอกยังไม่ทันการณ์เลยแล้วจะให้เกิดเรื่องขึ้นอีกได้เช่นไร?
ยังมีเจ้าอีก เจ้าเป็นบุตรบุญธรรมขอเสนาบดี เสนาบดีไม่มีภรรยาและลูก เจ้าคือความหวังหนึ่งเดียวของเขา หากว่าเกิดเรื่องอันใดกับเจ้าจะให้เขาทำเช่นไรดี?
ถึงแม้ว่าเรื่องเขื่อนจะเกี่ยวข้องกับราษฎแต่ผู้คนก็เบื้องล่างก็มีมากมาย เจ้าไม่ต้องกังวลใจไปเช่นไรก็มีคนจัดการ เจ้าเป็นบุตรเสนาบดีเกิดเรื่องขึ้นผู้คนเบื้องล่างก็รับผิดชอบไม่ไหว”
เมื่อเฟิ่งหลิงอวิ๋นกล่าวจบอวิ๋นเลี่ยก็กล่าวขึ้น: “อวิ๋นเลี่ยจะไม่เกิดเรื่องใด อวิ๋นเลี่ยรู้ว่าเสนาบดีทุ่มเทกายใจต่ออวิ๋นเลี่ย ภายหน้าอวิ๋นเลี่ยก็จะปฏิบัติต่อเสนาบดีด้วยใจจริง เขาจะเป็นท่านพ่อของอวิ๋นเลี่ยตลอดไป แต่อวิ๋นเลี่ยเติบใหญ่แล้วอยากจะออกไปฝึกฝน”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองอวิ๋นเลี่ยอยู่ครู่หนึ่ง: “เรื่องนี้หากว่าเจ้าอยากจะไปก็สามารถไปลองดูได้ สำหรับอวิ๋นจวิ้นจู่เจ้าสามารถถามนางว่ายินยอมไปกับเจ้าหรือไม่ แต่ข้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้”
อวิ๋นเลี่ยก็เป็นคนฉลาดเฟิ่งหลิงอวิ๋นบอกว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวก็คือไม่ช่วยเหลือและไม่ขัดขวางจึงมีความสุขเป็นธรรมดา
“ขอบพระทัยองค์รัชทายาทที่ส่งเสริม” อวิ๋นเลี่ยกำหมัดขอบคุณแล้วหันไปมองหนานกงอวิ่นเยียน: “ข้าจะไปบอกกับท่านพ่อ อวิ๋นจวิ้นจู่รอข้าก่อน”
กล่าวจบอวิ๋นเลี่ยก็จากออกไปก่อน เฟิ่งหลิงอวิ๋นนั่งลงแล้วมองไปยังหนานกงอวิ๋นเยียน: “เจ้ารู้สึกว่าผู้ชายในโลกนี้เทียบท่านพ่อเจ้าไม่ได้ใช่หรือเปล่า?”
“นั่นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ผู้ใดก็เทียบท่านพ่อไม่ได้” หนานกงอวิ๋นเยียนกล่าวอย่างได้ใจ
เฟิ่งหลิงอวิ๋นอืมเสียงหนึ่งแล้วก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด
หนานกงอวิ๋นเยียนถามว่า: “ท่านแม่ ท่านเคยชอบผู้อื่นไหม?”
“ไม่มี แต่แม่จำคนได้ไม่กี่คน ที่จริงแล้วท่านพ่อของเจ้าไม่ได้ดีขนาดนั้น ในสายตาของแม่เขาเป็นผู้ที่โชคดีผู้หนึ่ง”
“โอ้?” หนานกงอวิ๋นเยียนอยากรู้ยิ่งนัก ดึงมือฉีเฟยอวิ๋นแล้วถามว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร
เฟิ่งหลิงอวิ๋นจึงได้เล่าเรื่องราวบางส่วนในขณะที่รู้จักกับหนานกงเย่ในตอนนั้น หนานกงอวิ๋นเยียนรู้สึกว่าเป็นเรื่องโกหก ท่านพ่อของนางดีเช่นนั้นจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นได้อย่างไร
เฟิ่งหลิงอวิ๋นถามว่า: “หรือว่าท่านพ่อของเจ้าไม่เคยเล่าให้เจ้าเกี่ยวกับเรื่องของข้ากับท่านพ่อของเจ้าหรือ?”
“เล่าอยู่แล้วแต่ว่าทานพ่อมักจะพูดเสมอว่ามีความสุขยิ่งนัก ท่านแม่เป็นหมออัจฉริยะ ช่วยเหลือใต้หล้าและดูแลราษฎร ช่วยท่านพ่อทำสิ่งต่างๆมากมายแล้วยังรักษาอาการป่วยของเสด็จย่า สรุปแล้วท่านแม่กับท่านพ่อว่าตามกัน!”
จากนั้นหนานกงอวิ๋นเยียนก็เริ่มกล่าวถึงเรื่องราวมากมายของหนานกงเย่แต่ว่าช่างยอดเยี่ยมดีเลิศทั้งสิ้น
เฟิ่งหลิงอวิ๋นฟังจนปวดหู หนานกงเย่หลอกลวงลูกสาวของเขาเช่นนี้เองหรือ?
เดิมทีต้องการเปิดเผยความชั่วร้ายต่างๆของหนานกงเย่ทว่าคิดว่าเขาก็ไม่ได้ทำสิ่งใดที่น่ารังเกียจเกินไปเว้นแต่เหตุการณ์ในตอนแรกเริ่ม เฟิ่งหลิงอวิ๋นก็คิดว่าช่างมันเถอะ
อวิ๋นเลี่ยกลับมาจากด้านนอกอีกครั้ง จากนั้นทำความเคารพแล้วกล่าวว่า: “ท่านพ่อได้รับปากกับอวิ๋นเลี่ยแล้ว อวิ๋นเลี่ยสามารถไปดูเขื่อนในเมืองหลวงได้ ส่วนอวิ๋นจวิ้นจู่นั้นข้าอยากถามนางด้วยตนเอง”
เช่นนี้เฟิ่งหลิงอวิ๋นจะยังไม่เข้าใจหรือแล้วเหลือบมองหนานกงอวิ๋นเยียน: “อวิ๋นจวิ้นจู่ว่าเช่นไรหล่ะ?”
หนานกงอวิ๋นเยียนลุกขึ้น: “ข้าไม่ไปแล้ว เรื่องของแคว้นเฟิ่งข้าไม่สะดวกที่จะก้าวก่ายยิ่งกว่านั้นข้าก็ไม่เข้าใจการอนุรักษ์น้ำข้าอยากจะพักผ่อน แม่ทัพน้อยอวิ๋นไปเถอะ”
กล่าวจบหนานกงอวิ๋นเยียนก็กลับไปที่เตียง ถอดรองเท้าและเสื้อชั้นนอกแล้วไปนอนลงเลย
เฟิ่งหลิงอวิ๋นหันหลังมองครั้งหนึ่งแล้วหันไปมองอวิ๋นเลี่ยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล เหนือฟ้ายังมีฟ้าจริงๆ!
เดิมทีต้องการพาเสี่ยวอวิ๋นออกไปตอนนี้ไม่เพียงแต่ออกไปไม่ได้แต่เขากลับต้องออกเอง เช่นนั้นก็ต้องแยกจากกันเสียแล้ว?
สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นความสัมพันธ์นั้น การแยกออกจากผู้ชื่นชอบคือความเจ็บปวดอย่างยิ่ง
อวิ๋นเลี่ยในเวลานี้กำลังเผชิญกับความเจ็บปวดอันหนักหนา
“อวิ๋นจวิ้นจู่ข้ามีคำพูดจะกล่าว” อวิ๋นเลี่ยไม่อยากจากไปต้องการให้หนานกงอวิ๋นเยียนลุกขึ้น
หนานกงอวิ๋นเยียนหันไปทางด้านใน ไม่อยากจะพูดคุยกับอวิ๋นเลี่ย
อวิ๋นเลี่ยจึงได้มองไปทางเฟิ่งหลิงอวิ๋น: “องค์รัชทายาท”
“เจ้าไปก่อนเถอะ ไม่ใช่บอกว่าจะไปดูเขื่อนหากเจ้าล่าช้ากลับมายังจะต้องถูกลงโทษ ยากนักที่จะมีโอกาสได้ออกไปดู เจ้าก็ทำเรื่องใดบ้างอย่างน้อยก็ฝากความประทับใจดีๆไว้ต่อหน้าราษฎรเถอะไม่คุ้มค่าที่จะล่าช้าเสียเวลาที่นี่ นิสัยของอวิ๋นจวิ้นจู่แต่ไหนแต่ไรก็เป็นเช่นนี้นางบอกว่าไม่ไปก็ไม่ไปเป็นธรรมดาอยู่แล้ว นอกจากว่าจะมีเหตุผลใดเป็นพิเศษ แต่ข้าคิดว่าไม่มีเหตุผลใดเป็นพิเศษ” เฟิ่งหลิงอวิ๋นเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี
อวิ๋นเลี่ยต้องการจะกล่าวต่อแต่เฟิ่งหลิงอวิ๋นโบกมือให้สัญญาณอวิ๋นเลี่ยถอยออกไปก่อน
อวิ๋นเลี่ยจนปัญญาทำได้เพียงหันหลังจากไป
เฟิ่งหลิงอวิ๋นและคนอื่นๆไปแล้วจึงได้หันหลังไปมองบลูกสาวที่เอาแต่ใจ: “เจ้าจะไม่ไปจริงๆหรือ?”
ขณะที่เฟิ่งหลิงอวิ๋นพาหนานกงอวิ๋นเยียนมาถึงที่เขื่อนอวิ๋นเลี่ยก็อยู่ที่นั่นมาสักพักหนึ่งแล้วและกำลังหารือกับผู้คนถึงวิธีการทำอย่างไรเพื่ออุดช่องว่างของเขื่อน
เฟิ่งหลิงอวิ๋นถามว่า: “เจ้าคิดว่าอวิ๋นเลี่ยจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยได้หรือไม่?”
“ด้วยความสามารถของเขาน่าจะทำได้นะ” หนานกงอวิ๋นเยียนกล่าวอย่างเฉยเมยโดยไม่รู้สึกเป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย
เฟิ่งหลิงอวิ๋นอืมเสียงหนึ่งแล้วพาหนานกงอวิ๋นเยียนเดินไปข้างหน้า ขณะที่กำลังเดินก็ได้ยินเฟยอิงกล่าวขึ้นว่า: “พระชายา”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นหยุดแล้วหันหลังไปมองเฟยอิง เฟยอิงมองนาง
สี่ตาประสานกันในใจของเฟิ่งหลิงอวิ๋นเต้นเล็กน้อย: “ท่านมาได้อย่างไร?”
“มาดู” หนานกงเย่มาที่นี่เนื่องจากมีธุระ เขามาถึงชายแดนไม่ได้กลับไปและมาในชั่วข้ามคืน
ในเวลานี้ไม่มีผู้ใดอยู่โดยรอบ ทั้งสองคนได้เยี่ยมเยียนเป็นการส่วนตัวและข้างกายพาเพียงเฟยอิงมาด้วย แต่เฟยอิงไม่ได้อยู่ทางนี้ได้เปลี่ยนหนานกงเย่มาที่นี่แทน นั่นก็แสดงว่าได้เตรียมการเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแค่ไม่มีคนอยู่ใกล้ๆก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะมีคนรู้
“เสี่ยวอวิ๋นเจ้าดูออกหรือยัง?” หนานกงอวิ๋นเยียนสูดลมหายใจเข้าแล้วเดินไปกอดหนานกงเย่เอาไว้: “ท่านพ่อ”
หนานกงเย่ใช้แรงกอดลูกสาวเอาไว้แล้วเหลือบมองเฟิ่งหลิงอวิ๋น
อารมณ์ของเฟิ่งหลิงอวิ๋นผสมปนเปกันนี่คือผลบุญกระมัง ท้ายที่สุดก็เป็นสมบัติล้ำค่าของเขา ปีนั้นไม่ว่าเขาจะไม่ชอบเสี่ยวอวิ๋นเช่นไรสุดท้ายแล้วเสี่ยวอวิ๋นก็กลายเป็นผู้ที่เขาต้องดูแลและหวงแหนปกป้องไปชั่วชีวิต
นางหล่ะ แม้ว่าจะเป็นภรรยาของเขาแต่สุดท้ายแล้วก็ไม่เท่าเสี่ยวอวิ๋น
นี่ก็เป็นเพราะติดค้างต่อเสี่ยวอวิ๋น
เฟิ่งหลิงอวิ๋นหันหลังกลับมาจากนั้นเดินไปด้านหน้า หนานกงเย่ปล่อยลูกสาวทันทีแล้วจูงลูกสาวไปหาเฟิ่งหลิงอวิ๋น
เมื่อเดินไปถึงตรงหน้าหนานกงเย่ก็ดึงมือเฟิ่งหลิงอวิ๋นแล้วกล่าวว่า: “เป็นอันใด?”
“ไม่มีสิ่งใด”
“ไม่ได้หึงหรอกนะ?” เมื่อครู่หนานกงเย่สนใจแต่ลูกสาวก่อนตอนนี้จึงได้เป็นกังวลเล็กน้อย
เฟิ่งหลิงอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่: “ข้าหึงหวงกับลูกสาวได้เช่นไร ท่านเป็นพ่อของนางดีต่อนางเป็นสิ่งที่ควรทำ
“จริงหรือ?” หนานกงเย่ไม่เชื่อ ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นสงสัย
เฟิ่งหลิงอวิ๋นกลับมองดูผมของเขาด้วยความแปลกใจ: “ไม่ใช่สีขาวหรอกหรือ เหตุใดถึงได้กลายเป็นสีดำแล้วหล่ะ?”
หนานกงเย่กล่าวว่า: “หมอเทวดาผสมยาให้ข้า แต่เขาบอกว่าเขาไม่สามารถรักษาโรคนี้ของข้าได้ก็เพียงแค่ย้อมสีให้แก่ข้าสามารถทนได้สักวันสองวัน”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นเอื้อมมือไปแตะและเส้นผมบนหน้าอกของหนานกงเย่ถูกนางจับเอาไว้ได้ นางถูไปสองครั้งแล้วคลายมือออกดมดูพร้อมได้กลิ่นหอมอ่อนๆของสมุนไพรเฟิ่งหลิงอวิ๋นจึงกล่าวว่า: “โชคดีที่สถานที่นี้มีแต่สิ่งของจากธรรมชาติ หมอเทวดาใช้พืชกับท่าน
รอในภายหน้าหากว่าท่านอ๋องต้องการสีดำ ข้าจะผสมยาให้ท่านอ๋องจากนั้นกินสักระยะหนึ่งก็พอแล้ว”
“อืม” หนานกงเย่อบอุ่นขึ้นในใจแล้วกุมมือเฟิ่งหลิงอวิ๋นเอาไว้
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับมามอง: “ท่านอ๋องมามี่นี่ไม่กลัวว่าจะถูกคนสังเกตหรือ หากว่าเกิดเรื่องใดขึ้นจะทำอย่างไร?”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นรู้สึกกังวลไม่ได้โมโห
ผู้เป็นพ่อพบลูกสาวซึ่งไม่ได้พบเจอมานานแล้วนางจะมีสิ่งใดให้โมโหได้
“ไม่ได้โมโหแล้วเหตุใดถึงจากไปหล่ะ?” หนานกงเย่ดึงเฟิ่งหลิงอวิ๋นเข้าไปไว้ในอ้อมแขนแล้วกอดเฟิ่งหลิงอวิ๋นเอาไว้ ความสูงเกินจากเป้าหมายที่ตั้งไว้จึงนั่งย่อเข่าลง
อาศัยเฟิ่งหลิงอวิ๋นยังไม่ทันได้ตอบสนองเขาจึงขึ้นไปจูบทีหนึ่ง
เฟิ่งหลิงอวิ๋นหน้าแดง ต่อหน้าลูกสาวก็ช่างไร้ยางอายสิ้นดี