องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 929 สู้รบนั้นแน่อยู่แล้ว
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 929 สู้รบนั้นแน่อยู่แล้ว
สถานที่ยี่สิบลี้เบื้องหน้ากลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังเร่งมาทางนี้ด้วยตความเร็ว เจ้ารองกล่าวว่า: “เจ้าห้าเจ้าช้าลงหน่อย!”
เจ้าห้าขี่ม้าเร็วแล้วกล่าวว่า: “ช้ากว่านี้เล็กน้อยก็ไม่ทันการณ์แล้ว เขามีอันตรายถึงชีวิต ต้องให้ไว!”
ในเมื่อไม่กล้าล่าช้าจึงรีบเร่งไปยังทางด้านหน้า
ครึ่งชั่วยามต่อมาเจ้าห้าเห็นรถม้าที่จอดอยู่ข้างทางจากนั้นยกมือขึ้นคำนวณ: “เป็นพวกเขา”
หลายคนลงจากหลังม้าพร้อมกัน เสี่ยวเฉียวเดินไปข้างหน้าในทันที: “พวกเราเป็นคนของท่านอุปราชแห่งเมืองต้าเหลียง ใช่รถม้าของท่านเสนาบดีเอ๋าหรือไม่?”
เอ๋าชิงตกตะลึงจากนั้นเงยหน้าขึ้นด้วยกลิ่นไอแห่งการสังหาร ปล่อยอวิ๋นเลี่ยที่หมดลมหายใจแล้วพุ่งออกจากรถม้าโดยถือดาบล้ำค่าเอาไว้ในมือและทะยานไปทางด้านเสี่ยวเฉียวโดยที่เสี่ยวเฉียวไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะไม่เป็นวิทยายุทธแต่กลับไม่ได้เคลื่อนไหวเลย
ดาบของเอ๋าชิงกำลังจะแทงไปยังเสี่ยวเฉียวดาบอีกเล่มหนึ่งตั้งขึ้นจากด้านหนึ่งขวางดาบของเอ๋าชิงเอาไว้ ดาบทั้งสองเล่มประสานกัน เจ้าห้าใช้แรงตรงข้อมือเล็กน้อยเอ๋าชิงก็ถอยหลังไปสองสามก้าวจากนั้นหยุดชะงักลง
เจ้าใหญ่ได้ขวางเอาไว้ตรงหน้าเสี่ยวเฉียวแล้วมองไปยังเอ๋าชิง
เอ๋าชิงมองเจ้าใหญ่ซึ่งดูท่าทางเหมือนหนานกงเย่อยู่บ้าง เช่นไรก็เป็นลูกชายของเขา
เอ๋าชิงเห็นเงาเส้นหนึ่งของคนพุ่งเข้าไปในรถม้า เดิมทีผู้คนโดยรอบคิดที่จะคุ้มกันเอาไว้ แต่ในรถม้ามีผู้ที่มีกำลังภายในแกร่งกล้าอันล้นเหลือทำให้ผู้คนโดยรอบไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้เลย
เอ๋าชิงหันมองเข้าไปในรถม้า เสี่ยวเฉียวกล่าวว่า: “พวกเราได้รับคำสั่งให้มาที่นี่ จดหมายของท่านแม่หล่ะ?”
เอ๋าชิงตะลึงครู่หนึ่งจากนั้นหยิบจดหมายออกมาจากกายแล้วหันหลังกลับมอบให้เสี่ยวเฉียว เสี่ยวเฉียวมองเจ้าใหญ่แล้วเจ้าใหญ่ก็หยิบมาดู: “สักครู่เจ้าห้าออกมาให้เขาดูเถอะ”
“อืม”
เสียงของเจ้าห้าดังมาจากในรถม้า: “รับไว้เถอะ เป็นของท่านแม่”
“……”
เอ๋าชิงตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง แม้จะรู้ว่าลูกๆของหนานกงเย่นั้นน่าทึ่งนัก เช่นไรในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้แคว้นเฟิ่งนั้นได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือไปทั่วใต้หล้าของลูกๆทั้งหลายของหนานกงเย่มาตั้งนานแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีลักษณะเช่นนี้
มีเสียงดังขึ้นมาจากในรถม้าอีกครั้งเป็นของอวิ๋นเลี่ย: “ท่านพ่อ”
เอ๋าชิงตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วรีบไปยังด้านในรถม้าอย่ารวดเร็ว เจ้าห้านั่งอยู่ด้านในและอวิ๋นเลี่ยก็ได้ลุกขึ้นมานั่งแล้ว
เขามองไปยังเอ๋าชิงแล้วกล่าวว่า: “ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นไรแล้ว?”
“อืม”
ใบหน้าของเอ๋าชิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจแล้วมองไปยังเจ้าห้าซึ่งหน้าตาราวกับหนานกงเย่ด้วยความตะลึงไปเลย: “เจ้าคือ?”
“ข้าคือพี่ห้าของอวิ๋นเยียน” เจ้าห้ากล่าวจบก็ลงไปจากในรถม้า อวิ๋นเลี่ยรู้สึกว่าทั้งกายเต็มไปด้วยพละกำลังจึงพุ่งตามลงจากรถม้าเลยทันที
ลงจากรถแล้วอวิ๋นเลี่ยยังไม่ได้กล่าวสิ่งใดก็เห็นคนสองสามคนนั่งอยู่บนหลังม้า เจ้าห้านั่งบนหลังม้าในทันทีเตรียมพร้อมที่จะจากไป
อวิ๋นเลี่ยลังเลแล้วตะโกนว่า: “รอข้าด้วย”
เจ้าห้าหันกลับมา: “เจ้าจะไปกับพวกข้าหรือ?”
“องค์รัชทายาทกล่าวว่าต้องการแต่งงานกับอวิ๋นเยียนจะต้องผ่านการทดสอบของพวกท่านก่อนจากนั้นก็เป็นท่านอุปราช งั้นข้าก็ต้องอยู่ข้างกายพวกท่านจึงจะทำให้พวกท่านยอมรับข้าได้”
เจ้าห้าเหลือบมองเอ๋าชิง: “แล้วเขาหล่ะ?”
อวิ๋นเลี่ยหันหลังกลับยกเสื้อคลุมแล้วคุกเข่าลง: “ท่านพ่อ อวิ๋นเลี่ยรู้ว่าท่านพ่อรักอวิ๋นเลี่ยจึงได้ถ่ายทอดวิทยายุทธให้ตั้งแต่เด็ก เชิญอาจารย์ที่ดีที่สุดและสอนหลักการให้อวิ๋นเลี่ยด้วยตนเอง
อวิ๋นเลี่ยก็สาบานว่าจะกตัญญูต่อท่านพ่อให้ดี แต่แคว้นเฟิ่งเป็นใต้หล้าของบุตรสาวสุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่สถานที่ที่อวิ๋นเลี่ยจะอยู่ได้
อวิ๋นเลี่ยออกท่องไปและยิ่งจะต้องแต่งงานกับอวิ๋นจวิ้นจู่ ขอให้ท่านพ่อส่งเสริมด้วย”
“เจ้าไปเถอะ ดูแลตัวเองให้ดี”
“อวิ๋นเลี่ยขอลา!”
อวิ๋นเลี่ยก้มศีรษะคำนับแล้วลุกขึ้นมองดู จากนั้นพุ่งกระโจนขึ้นไปนั่งด้านหลังของเจ้าห้า เจ้าห้าเหลือบมองโดยไม่ตั้งใจจากนั้นหันศีรษะแล้วจากไป อวิ๋นเลี่ยอายุน้อยกว่าเล็กน้อยจึงกอดเจ้าห้าเอาไว้เลยเนื่องจากจากไปอย่างรวดเร็ว
ตรงหน้าเอ๋าชิงมีเพียงแค่ผงฝุ่นจากกีบม้าไร้ซึ่งสิ่งอื่นใด เขาจ้องมองไประยะไกลเป็นเวลานานจึงได้กลับไปด้านในรถม้าแล้วจากไป
ระหว่างทางกลับไปม้าของหนานกงเย่ผ่านข้างกายเขา เอ๋าชิงหยุดรถม้าทันทีจากนั้นเปิดม่านขึ้นมองไป หนานกงเย่ผ่านไปอย่างรวดเร็วจากนั้นหันกลับมามองเขาเขาก็ลุกขึ้นในทันทีแล้วกล่าวว่า: “อวิ๋นเลี่ยไม่เป็นไรแล้วสามวันก็เพียงพอแล้ว ท่านอย่าได้ผิดสัญญาไม่เช่นนั้นข้าจะไม่ปล่อยท่านไป”
หนานกงเย่หันหลังกลับไม่ใส่ใจ เอ๋าชิงจึงได้กลับไป
รถม้ากลับไปถึงวังหลวงของแคว้นเฟิ่งแล้ว เมื่อเห็นเฟิ่งหลิงอวิ่นเอ๋าชิงก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับเฟิ่งหลิงอวิ๋น
เฟิ่งหลิงอวิ๋นไม่ได้รู้สึกแปลกใจเพียงแค่เหลือบมองเอ๋าชิงแล้วถามว่า: “ท่านรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกใช่ไหม?”
“ก็มีบ้าง” เอ๋าชิงจำต้องยอมรับความอัศจรรย์ของครอบครัวเฟิ่งหลิงอวิ๋น
เฟิ่งหลิงอวิ๋นเพียงแค่เหลือบมองเอ๋าชิง: “ข้าเกิดมาพร้อมกับความทรงจำของสองชาติก่อนหน้านี้และเป็นไปได้ว่าเกิดในชาติหน้าก็อาจเป็นเช่นนี้อีก ที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็ไม่มีสิ่งใดน่าประหลาดใจเลย
เพียงแต่ว่าเสนาบดีเอ๋าเคยคิดหรือไม่ว่าใต้หล้ารวมสมานเป็นเวลานานต้องแตกแยกแตกแยกเป็นเวลานานก็ต้องรวมสมาน?”
เอ๋าชิงเหม่อลอย: “ไม่เคยคิดมาก่อน แต่แคว้นเฟิ่งก็ตั้งรากฐานมานานหลายร้อยปีแล้วหากว่าถูกทำลายอยู่ในมือขององค์รัชทายาทจริงๆก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่หากว่าถูกส่งออกไปให้ด้วยวิธีนี้ในใจเอ๋าชิงนั้นไม่ยินยอมนับพันนับหมื่น”
“หากว่าหนานกงเย่ชนะอีกสามแคว้น สุดท้ายแล้วที่สามารถต่อกรได้ก็มีเพียงแคว้นเฟิ่งเท่านั้นและแคว้นเฟิ่งก็จะเป็นสนามรบสุดท้ายของเขาเป็นแน่ หากว่าองค์รัชทายาทไม่ใช่ข้าอาจจะสามารถปล่อยไปได้แต่องค์รัชทายาทก็กลับเป็นข้า เช่นนั้นก็จะไม่ปล่อยไปเป็นแน่ เสนาบดีเอ๋าเคยคิดหรือไม่ว่าเนื่องจากเหตุใด?
เฟิ่งหลิงอวิ๋นถามเอ๋าชิง ส่วนเอ๋าชิงนั้นพิจารณาเป็นเวลานาน: “เนื่องด้วยความสามารถขององค์รัชทายาท?”
“ไม่ใช่ เนื่องจากข้าเป็นภรรยาของเขาซึ่งเขาเป็นอุปราชของเมืองต้าเหลียง เขาต้องการรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งไม่ผิด เขาไม่ต้องการให้หลายสิบปีหรือกระทั่งหลายร้อยปีต่อจากนี้ทั่วทุกสารทิศยังมีการรบราฆ่าฟันกัน เป็นความรับผิดชอบของจักรพรรดิเช่นเขาแต่เขาก็เป็นคน เป็นคนที่มีอารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหก
ใต้หล้าคือรักของเขาและข้าคือความปรารถนาของเขาท่านเข้าใจไหม? ”
เฟิงหลิงอวิ๋นกล่าวเช่นนี้เอ๋าชิงนั้นพยักหน้า: “เข้าใจ”
เหตุใดเอ๋าชิงจะไม่มีรัก เหตุใดจะไม่มีอารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหก เฟิ่งไป่ซูคือความปรารถนาของเขา ส่วนแคว้นเฟิ่งก็คิอรักของเขา
แม้ว่าจะผ่านพ้นไปนานหลายปีแต่ว่าสำหรับเอ๋าชิงแล้วในช่วงเวลาสิบปีนี้ไม่มีเวลาใดที่เขาจะไม่คิดถึงเฟิ่งไป่ซู เพียงแต่ว่านางไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี พอคลอดลูกแล้วทิ้งลูกเอาไว้ก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
เขาคิดว่าแม้ว่าจะกลับมาดูก็ยังดี แต่ทุกครั้งนางก็จะแอบมาพร้อมจากไปอย่างลับๆ และแคว้นเฟิ่งนั้นไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงสะเทือนฟ้าสะเทือนดินนางก็ไม่มีเหตุผลอย่างเป็นทางการที่จะกลับมา
ถึงขนาดที่เอ๋าชิงรอคอยมานานหลายปีแล้วกลับรู้สึกว่าครั้งนี้อาจจะเป็นโอกาส แม้ว่าจะไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเท่าใดแคว้นเฟิ่งถูกทำลายเช่นไรก็ต้องกลับมา
เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองว่าเอ๋าชิงคิดได้แล้วจึงกล่าวว่า: “ที่ข้านี่ไม่มีเรื่องอันใด สองสามวันนี้อวิ๋นจวิ้นจู่อาจจะโศกเศร้าอยู่ไม่กี่วัน ในเมื่ออวิ๋นเลี่ยไม่เป็นไรแล้วท่านก็วางใจเถอะ เขาจะไม่เป็นไรอยู่แล้ว แม้ว่านิสัยของเจ้าห้าออกจะแปลกประหลาดอยู่บ้างแต่เขาก็ยังมีขอบเขต หากว่าอวิ๋นเลี่ยมีความสัมพันธ์อันใดกับอวิ๋นจวิ้นจู่จริงๆเช่นนั้นเจ้าห้าก็จะดูแลอวิ๋นเลี่ยเป็นอย่างดี ในเมื่อเจ้าห้าพาอวิ๋นเลี่ยไปก็จะดูแลเขาให้ปลอดภัย ท่านก็คิดถึงปัญหาที่จะต้องเผชิญต่อไปเถอะนะ”
เอ๋าชิงลังเล: “มีปัญหาอันใด?”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นอยากจะหัวเราะ: “คณะทูตทั้งสามแคว้นยังไม่ได้จากไป พวกเขาทั้งหมดต้องการเลิกล้มการอภิเษกสมรสระหว่างข้าซึ่งเป็นองค์รัชทายาทกับหนานกงเย่ ยกเลิกแล้วแทนที่ ท่านเสนาบดีเอ๋าลืมเรื่องนี้ไปแล้วหรือ?”
“มิใช่ว่าปฏิเสธไปแล้วหรือ?” เอ๋าชิงไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้ เรื่องนี้นั้นได้ปฏิเสธไปแล้วก็ให้พวกเขาไปก็พอ