องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 936 ล่อเสือออกจากถ้ำ
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 933 ล่อเสือออกจากถ้ำ
เฟิ่งหลิงอวิ๋นได้ยินว่าสงครามเริ่มขึ้นแล้ว และเหลือบมองเอ๋าชิง เอ๋าชิงกล่าวว่า:“ในที่สุดสงครามก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว”
“ซูมู่ไห่มาแล้วใช่หรือไม่?”
“มาแล้ว”
เอ๋าชิงรู้สึกประหลาดใจ:“เหตุใดท่านถึงแน่ใจว่าซูมู่ไห่จะมา หรือว่าท่านคิดว่าซูมู่ไห่ก็มีวิธีที่จะจัดการกับท่านเช่นกัน?”
“ในเมื่อเขาสามารถมาได้ ก็ไม่อาจตัดความเป็นไปได้นี้ออกไป แต่หากจะพูดถึงวิธีการก็ไม่อาจเทียบได้กับปีกใต้ หลายปีก่อนพวกเราเคยพบซูมู่ไห่ ในตอนนั้นเขาดูเหมือนเด็กและเฉลียวฉลาดมาก
แต่การพบกันคราวนี้ เขาเปลี่ยนไปมากและเฉลียวฉลาดมากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตามการที่เขาสามารถมาที่นี่ได้ ไม่ใช่ความตั้งใจของเขาอย่างแน่นอน แม้ว่าจะผสมปนเป แต่ก็ต่างจากปีกใต้มาก”
“แล้วเหตุใดเขาถึงมาในเวลานี้?” เอ๋าชิงสงสัย
“ประการแรกคือการร่วมมือกับแคว้นเฟิ่งเป็นไปได้ที่จะชนะ ประการที่สองคือเป็นเพราะข้า เขาเต็มใจที่จะแต่งงานกับข้า และประการที่สามคือจักรพรรดิปีกใต้ต้องการให้บุตรชายของเขาอยู่มีชีวิตรอด”
“จักรพรรดิปีกใต้?”
“จักรพรรดิปีกใต้มีพระโอรสไม่มากนัก ในปีนั้นมีเพียงซูมู่ไห่และซูมู่หรงที่มีความสามารถ ซูมู่หรงเป็นผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศมาแต่กำเนิด แต่น่าเสียดายที่ตายเร็วเกินไป ในขณะที่ซูมู่ไห่ได้รับการเลี้ยงดูจากจักรพรรดิปีกใต้ ตอนนี้เขาได้ทุ่มเททำงามให้จักรพรรดิปีกใต้อย่างหนัก และในสายตาของจักรพรรดิปีกใต้ ซูมู่ไห่คือทุกสิ่งของเขา
เมื่อทั้งสองแคว้นเข้าสู่สงคราม องค์รัชทายาทจะต้องต่อสู้จนถึงที่สุดอย่างแน่นอน ตามสถานการณ์ในตอนนี้ หากหนานกงเย่โจมตีปีกใต้ เป็นไปไม่ได้ที่ซูมู่ไห่จะยอมตายดีกว่ายอมจำนน และท้ายที่สุดซูมู่ไห่ก็มีเพียงหนทางแห่งความตายเท่านั้น
หากเป็นเช่นนี้ จักรพรรดิปีกใต้จะไม่รู้สึกสงสารบุตรชายได้อย่างไร ตอนนี้เขาแก่แล้ว และไม่ได้อารมณ์อ่อนไหวมากนัก หากบอกว่าในตอนนั้นเป็นเพราะอารมณ์อ่อนไหว เช่นนั้นตอนนี้เขาก็ต้องการที่จะรักษาสายเลือดเดียวของเขาไว้
ซูมู่ไห่มาเพื่อสู่ขอ เขาคิดว่ามันเป็นโอกาส บางทีเขาอาจจะมีชีวิตรอดก็ได้”
“แต่เมื่อมาที่แคว้นเฟิ่งแล้ว เขาก็ต้องกลับไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสู้รบเพียงไม่กี่วัน หรือว่าจะสู้รบเสร็จภายในไม่กี่วัน?”
“หากเป็นคนอื่นอาจจะต้องใช้เวลาในการสู้รบกัน แต่หนานกงเย่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเขาต้องการจะสู้รบหรือไม่ หากต้องการจะสู้รบจริง ๆ เขาก็สามารถโจมตีเมืองหลวงของปีกใต้ได้ในระยะเวลาอันสั้น และนี่ก็เป็นความกังวลของจักรพรรดิปีกใต้ เขารู้จักหนานกงเย่เป็นอย่างดี ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาจักรพรรดิปีกใต้แก่ชราลงและเป็นกังวลมาก และเขาต้องส่งคนไปจับตาดูหนานกงเย่อย่างแน่นอน
หากเมื่อสิบปีก่อนพวกท่านสามารถตระหนักได้ และล้อมจับหนานกงเย่ไว้ ก็คงจะฆ่าเขาได้ตั้งนานแล้ว และคงไม่มีวันนี้
เมื่อสิบปีก่อนตอนที่ข้าไปจากที่นี่ เป็นช่วงที่เสี่ยวอวิ๋นคลอด ก่อนที่เสี่ยวอวิ๋นจะคลอด ข้าได้จัดเการให้เฟยอิงและคนอื่น ๆ คอยคุ้มกันหนานกงเย่อยู่ตลอดเวลา เป็นเพราะข้ารู้ว่าในหมู่ของพวกท่านมีบางคนต้องการจะฆ่าหนานกงเย่
และเมื่อสิบปีก่อนเขาเคยบุกโจมตีแคว้นอู๋โย่วจนได้รับชัยชนะ แม้ว่านั่นจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเป็นผู้นำทัพ แต่ตอนที่เขาอายุสิบสาม ว่ากันว่าเขาได้กวาดล้างแคว้นเล็ก ๆ รอบ ๆ แคว้นต้าเหลียง เพื่อไม่ให้แคว้นเหล่านั้นกล้าที่จะรุกรานแคว้นต้าเหลียงอีก และส่งเครื่องราชบรรณาการให้ต้าเหลียงทุกปี
ในตอนนั้นเขาอายุเพียงแค่สิบสามและสามารถที่จะกวาดล้างผู้ที่รุกรานชายแดนได้แล้ว อันที่จริงนั่นเป็นภัยคุกคามอันใหญ่หลวง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นจักรพรรดิที่อายุน้อยมากจนศัตรูคาดไม่ถึง หรือเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งเหล่านั้น และปล่อยให้หนานกงเย่เติบโต
เรื่องที่แคว้นอู๋โย่วเกือบจะล่มสลายเป็นเพียงครั้งที่สอง หากข้าเป็นจักรพรรดินีของแคว้นเฟิ่ง ในเวลานั้นข้าจะไม่ปล่อยหนานกงเย่ไปอย่างง่ายดาย เพราะข้ารู้ว่าการเก็บเขาไว้จะเป็นหายนะ
บางทีมันอาจจะเป็นลิขิตสวรรค์ และแคว้นอื่น ๆ ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ส่วนครั้งที่สามคือเมื่อสิบปีก่อน ก่อนที่ข้าจะให้กำเนิดเสี่ยวอวิ๋น นั่นเป็นครั้งแรกที่หนานกงเย่เปิดเผยความทะเยอทะยานของเขา
แม้ว่าพวกท่านกับปีกใต้จะร่วมมือกันเพื่อทำลายแคว้นเฟิ่งและต้องการที่จะล้มล้างแคว้นต้าเหลียง แต่หนานกงเย่เผยให้เห็นความชั่วร้ายที่ปกปิดไว้ หากเขาไม่ได้เจตนาที่จะครอบครองใต้หล้า เขาก็คงจะไม่โจมตีเมืองทั้งสองของแคว้นเฟิ่ง และสี่เมืองของปีกใต้ จุดประสงค์ของเขาคือต้องการจะขยายอาณาเขตของแคว้นของต้าเหลียง และทำให้กองทัพของแคว้นต้าเหลียงแข็งแกร่ง
หากเป็นเพียงการขับไล่ผู้รุกราน แคว้นเฟิ่งและปีกใต้ก็คงจะเป็นหนึ่งเดียว
ข้ากังวลว่าจะมีใครมากำจัดเขา ดังนั้นข้าจึงให้เฟยอิงและพวกเขาเตรียมพร้อมไว้
อย่างไรก็ตามทุกอย่างที่แคว้นเฟิ่งได้สงบลงแล้ว ข้าเชื่อว่าเป็นเพราะเสด็จแม่และเสด็จพ่อ และพวกเขาก็ไม่ได้ต้องการจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
พวกเขาเป็นคนฉลาด สถานการณ์ใต้หล้าในตอนนี้ เมื่อแยกนานแล้วย่อมรวม เมื่อรวมนานแล้วย่อมแยก
จักรพรรดิปีกใต้ย่อมรู้อย่างแน่นอน มิเช่นนั้นเขาคงไม่ให้ซูมู่ไห่มาที่นี่
เขารู้จักความสามารถของหนานกงเย่มานานแล้ว และรู้ว่าสักวันหนึ่งต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ แต่เขาฉลาด เขารู้ว่าเขาพลาดโอกาสที่ดีที่สุดที่จะฆ่าหนานกงเย่ และวันนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว
เขาไม่ได้ฆ่าสัตว์ร้ายในตอนที่มันหลับใหล เมื่อเขาตื่นขึ้นมาและอยากจะฆ่ามันก็สายเกินไปเสียแล้ว
แต่……”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นลังเล เอ๋าชิงประหลาดใจและกล่าวว่า:“แต่อะไร?”
“จักรพรรดิปีกใต้คิดว่าข้าตายแล้ว และคิดว่าหนานกงเย่ไม่สามารถปลุกใจให้ฮึกเหิมได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ระมัดระวัง
เมื่อข้าตายแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะฆ่าหนานกงเย่ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ลงมือ คนอื่น ๆ แคว้นเฟิ่งไม่มีทางที่จะฆ่าราชบุตรเขย จวินโม่ซ่างแห่งแคว้นอู๋โย่วเป็นคนโง่คนหนึ่งและไม่ได้คิดมากมายเช่นนั้น เหลือเพียงแค่ปีกใต้และแคว้นหลิงอวิ๋นเท่านั้น เมื่อสิบปีก่อนแคว้นหลิงอวิ๋นอ่อนแอมาก แน่นอนว่าไม่สามารถที่จะสร้างความขัดแย้งได้ มีเพียงปีกใต้เท่านั้นที่สามารถทำเช่นนี้ได้ อย่างไรก็ตามจักรพรรดิปีกใต้สุขภาพไม่ค่อยดีนัก และซูมู่ไห่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนานกงเย่ หากเสียเวลาต่อไปก็กลายเป็นอากาศ”
“ท่านตายไปแล้วก็ยังต้องการที่จะปกป้องเขา?” เอ๋าชิงไม่เชื่อ
เฟิงหลิงอวิ๋นเหลือบมองเอ๋าชิง:“ก่อนที่คนเราจะตาย ย่อมมีเรื่องมากมายที่มิอาจปล่อยวางได้ ท่านยังไม่ตายและท่านก็ไม่สามารถปล่อยว่างอวิ๋นเลี่ยได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้า?”
“……พวกท่านสองสามีภรรยามีเจตนาไม่ดี เหตุใดต้องล้มล้างแคว้นอื่น ๆ ด้วย?”
“เมื่อรวมเป็นหนึ่งแล้วก็จะสามารถหลีกเลี่ยงความโกลาหลได้ อย่างน้อยก็จะไม่มีสงครามไปอีกหลายปี มีอะไรไม่ดี”
“ไม่มีอะไรไม่ดี และคงมีเพียงท่านที่คิดว่าดี?”
เฟิงหลิงอวิ๋นยิ้ม:“เขามีความสุขก็ดีแล้ว!”
ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก หากเขามีความสุข นางก็ไม่ได้มาอย่างเสียเปล่า แต่น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่กับนางไปจนถึงอายุร้อยปีหรือไม่
ไม่กี่วันต่อมา เมื่อซูมู่ไห่มาถึงเมืองหลวงของแคว้นเฟิ่ง เอ๋าชิงก็ส่งคนไปต้อนรับและจัดงานเลี้ยงที่นอกวัง
ซูมู่ไห่รีบเข้าไปในห้องและเดินไปเดินมา เขารอที่จะได้พบเฟิ่งหลิงอวิ๋น แต่เขารอก็ไม่ไหว
แคว้นเฟิ่งเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงหนึ่งวัน ซูมู่ไห่ถามผู้คนที่มาว่า:“องค์รัชทายาทล่ะ?”
“องค์รัชทายาททรงประชวรมาหลายวันแล้ว ทรงอยู่ระหว่างการรักษาพระอาการ เกรงว่าองค์ชายจะทรงประชวรไปด้วย จึงอีกหลายวันกว่าจะพบได้” คนผู้นั้นกล่าวด้วยความเคารพ
สีหน้าของซูมู่ไห่ดูแย่มาก:“ข้าไม่กลัวอะไรทั้งนั้น พวกเจ้าจะกลัวอะไร?”
“บ่าวไม่ได้กลัว เป็นองค์รัชทายาทที่ทรงเป็นห่วง”
“ไปบอกนาง ข้าไม่กลัว” ซูมู่ไห่รีบร้อนที่จะกลับไป และยิ่งเป็นกังวลที่จะรวมสองแคว้นเข้าด้วยกัน ในตอนนี้ที่แคว้นต้าเหลียงได้เปิดฉากทำสงครามแล้ว เกรงว่าจะสายเกินกว่าที่จะกลับไป ไม่ต้องพูดถึงเรื่องชายแดนเลย ต่อให้เป็นม้าเร็วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะวิ่งไปส่งข่าวได้เร็วขนาดนั้น
ซูมู่ไห่กังวลว่าหากเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ เขาจะกลับไปไม่ทัน
เมื่อคนผู้นั้นกลับมารายงาน เอ๋าชิงก็บอกว่าสามารถที่จะได้พบกันได้คืนนี้ แต่ยังไม่ทันจะได้พบกัน ปืนใหญ่ของหนานกงเย่ก็โจมตีเมือง
จักรพรรดิปีกใต้รอให้ผู้คนจากแคว้นเฟิ่งมาถึง แต่ก็ไม่สามารถรอได้
เฟิ่งหลิงอวิ๋นเข้าพบกับซูมู่ไห่ในคืนนั้น ซูมู่ไห่สวมเสื้อคลุมสีดำ เมื่อเข้ามาและเห็นเฟิ่งหลิงอวิ๋น เขาก็ตกตะลึง แล้วรีบเดินไปหาเฟิ่งหลิงอวิ๋น:“อวิ๋นอวิ๋น”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นลุกขึ้นและโบกมือให้คนอื่น ๆ ออกไป เหลือเพียงแค่เอ๋าชิง เฟยอิง และเฟิ่งหลิงอวิ๋นเท่านั้น
มีโต๊ะที่ถูกจัดวางไว้หน้าห้องโถง เฟิ่งหลิงอวิ๋นบอกใบ้ให้ซูมู่ไห่นั่งลง แต่ซูมู่ไห่ไม่มีกะจิตกะใจที่จะนั่งและรีบกลับไป!