องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 938 หลอกลวงจวินโม่ซ่าง
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 938 หลอกลวงจวินโม่ซ่าง
เห็นรถม้าไกลออกไป หนานกงเย่ไม่ได้ตาม หันกลับมองหวาชิง
“ใช่นางหรือไม่?”หวาชิงก็ได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับเรื่องของเฟิ่งหลิงอวิ๋น เล่าแพร่สะพัดว่าเฟิ่งหลิงอวิ๋นกับฉีเฟยอวิ๋นที่ถึงแก่กรรมแล้วเหมือนกันมาก
หวาชิงไม่เชื่อว่าโลกนี้จะมีการกลับชาติมาเกิด แต่หนานกงเย่ใส่ใจอย่างนั้น ต้องมีเหตุผลสาเหตุอย่างแน่นอน
“คนไปแล้ว”หนานกงเย่กล่าวจบจึงจากไป หวาชิงอยากเจอเฟิ่งหลิงอวิ๋น เลยตามไป แต่น่าเสียดายที่ไร้เงาเสียแล้ว เลยตามไม่ทัน
ระหว่างเดินทางกลับสีหน้าของหวาชิงไม่มีความสุขเลย นางด่าว่าหนานกงเย่ไม่ยึดถือสัจจะเป็นหลักตลอดการเดินทาง
หมอเทวดาที่ติดตามนาง บอกให้นางกล่าวพูดเสียงเบาๆ หลีกเลี่ยงการที่จะถูกลงโทษ
“กลัวอะไร ข้าไม่กลัวเขา ไม่เชื่อก็ทะเลาะกัน”
“เจ้าไม่กลัวหรอก เขาอยากจะเอาลูกสาวไปที่เมืองหลวง เจ้าลืมหรือ?”
“…..”หวาชิงเงียบลงทันที ไม่กล้าพูดมากแม้แต่คำเดียว เกรงว่าลูกสาวจะถูกพาไป
รถม้าของเฟิ่งหลิงอวิ๋นจอดอยู่ที่หุบเขายา ซูมู่ไห่หลับไปหลายวันแล้ว ลูกธนูที่อยู่บนร่างกายของเขาถูกดึงออก แต่เสียเลือดจำนวนมากสถานการณ์เลยไม่ดี บวกกับระหว่างการเดินทางมีหลุมมีบ่อสั่นสะเทือน เขาก็เฉียดตายมาแบบหวุดหวิด
เฟิ่งหลิงอวิ๋นพยายามยื้อชีวิตของเขา ถึงได้ดึงดันมาถึงหุบเขายา
ไป๋ซู่ซู่กับมู่เหมียนอยู่รอด้านหน้าหุบเขายา เฟิ่งหลิงอวิ๋นลงมาจากรถม้า จึงได้ถอดหมวกลง
พอเห็นเฟิ่งหลิงอวิ๋นไปซู่ซู่กับมู่เหมียนถึงกับชะงักงัน
ได้รับจดหมายของเฟิ่งหลิงอวิ๋น พวกนางยังมีความไม่เชื่ออยู่บ้าง คนจะวนเวียนกลับมาได้อย่างไร แต่พอเจอเฟิ่งหลิงอวิ๋น พวกนางเชื่อแล้ว
มู่เหมียนรีบเดินไปตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋น แล้วมองพินิจพิเคราะห์กล่าวขึ้นว่า“เป็นท่านจริงๆหรือ?”
“ข้าต้องไปแล้ว ไม่คุยอะไรกับพวกท่านมากความล่ะ ภายในรถม้ามีซูมู่ไห่ องค์ชายของปีกใต้ วันนี้ส่งมาคือต้องการรักษาชีวิตของเขาไว้ ข้าได้ยื้อชีวิตเขาได้แล้ว แต่หากจะดำรงชีวิตต่อไปเรื่อยๆนั้นยากมาก ทำได้เพียงพึ่งพิงพวกท่านแล้ว”
ไป๋ซู่ซู่มองไปที่รถม้า กล่าวว่า“ท่านไปเถอะ ตอนนี้กำลังสู้รบอยู่ทั่วสารทิศ คาดว่าจะต่อสู้อยู่หลายปี ในจดหมายของท่านกล่าวอย่างชัดเจน พวกข้าล้วนรู้ว่าท่านรีบไป”
มู่เหมียนจับเฟิ่งหลิงอวิ๋น กล่าวขึ้นว่า“ไม่ได้ ท่านไปอย่างนี้ไม่ได้ ข้าอยากจะดูท่านสักหน่อย”
“อย่าไร้สาระ นิสัยนี้ของท่านไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิดหนึ่ง รอไม่มีอะไรแล้ว ข้าจะกลับมาเยี่ยมท่าน”เฟิ่งหลิงอวิ๋นรีบเดินทางกลับไป ไม่มีเวลาคุยกันถึงเรื่องในอดีต
มู่เหมียนถึงได้ปล่อยมือกล่าวว่า“เดินทางปลอดภัย!”
“ได้!”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นเดินไปทางรถม้า เปิดออกแล้วไป๋ซู่ซู่กับมู่เหมียนจึงเดินไปดูคนด้านในรถ รอเฟิ่งหลิงอวิ๋นไปแล้ว ทั้งสองเลยเร่งดูซูมู่ไห่ จากนั้นได้เรียกคนมาหามซูมู่ไห่ลงจากรถม้า
ไป๋ซู่ซู่ใช้เข็มแทงฝังเข้าไปในศีรษะของซูมู่ไห่ ปิดกั้นความทรงจำของเขา
อย่างนี้ก็ไม่มีทางตายแล้ว
เฟิ่งหลิงอวิ๋นออกจากปีกใต้แล้วเร่งกลับแคว้นเฟิ่ง ครึ่งเดือนกว่าถึงกลับถึงแคว้นเฟิ่ง แคว้นเฟิ่งอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันจริง แต่หนานกงอวิ๋นเยียนไม่ได้ทำให้แคว้นเฟิ่งวุ่นวาย กลับกันกำลังฟังความคิดเห็นของเหล่าเสนาบดี ว่าต่อไปจะทำอย่างไรดี
เฟิ่งหลิงอวิ๋นกลับมาถึงพระราชวังแคว้นเฟิ่ง จึงรีบเปลี่ยนสถานะ
“ท่านแม่ ท่านสูงละหรือนี่?”หนานหงอวิ๋นเยียนยังเป็นองค์รัชทายาทไม่เพียงพอเลยนะ ทำไมถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้ ท่านพ่อก็สู้ค่อนข้างเร็ว พอพูดแล้วหนานกงอวิ๋นเยียนก็จิตใจห่อเหี่ยวอยู่บ้าง
เฟิ่งหลิงอวิ๋นดูความคิดของลูกสาวตัวเองออก แต่เธอก็ไม่ได้สนใจนาง กลับกันได้ถามเอ๋าชิงเกี่ยวกับเรื่องราวช่วงนี้ของแคว้นเฟิ่ง
“ที่จริงทั้งสองเมืองรู้ว่าปีกใต้ถูกตีพ่าย ไม่ได้เพ้อฝันจะเกี่ยวดองกับพวกเราแล้ว พวกเขาก็คิดว่าเรื่องการเกี่ยวดองทำให้หนานกงเย่เดือดดาล เพราะฉะนั้นพวกเขาเลยต้องการเชื่อมโยงร่วมพันธมิตรสามเมือง มีเพียงเท่านี้ถึงจะต้านทานหนานกงเย่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
สิ่งที่เอ๋าชิงกำลังกังวลใจคือเรื่องนี้ สามเมืองเชื่อมโยงพันธมิตรกันก็เหมือนสู้รบกันแล้ว
แต่เนื่องด้วยเหตุการณ์ต่างๆในบ้านเมืองของหนานกงเย่ในปัจจุบัน พวกเขาสามเมืองเชื่อมโยงพันธมิตรกัน ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนานกงเย่หรอก แต่เมื่อสามเมืองเชื่อมโยงกัน หลังจากที่เกิดเรื่องแล้วทั้งสามเมืองจะต้องรับผิดชอบ
“พวกเราไม่สามารถเป็นพันธมิตรได้ อยากจะสู้ก็สู้เอง แล้วก็ไม่สามารถร่วมมือกันได้ ไม่อย่างนั้นก็เป็นพันธมิตรกับหลิงอวิ๋น ร่วมกันต่อสู้ และก็ไม่สามารถเอาเมืองอู๋โยวมาร่วมด้วยเชียว แม้ว่าเมืองอู๋โยวจะมีความสามารถกองกำลังทหาร แต่จวินโม่ซ่างผู้นี้ ไม่มีทางต่อสู้คนได้ เกรงว่าเขายังไม่ได้สู้ก็ยอมจำนนเสียแล้ว”
“แต่เขาเป็นผู้สนับสนุนการต่อสู้นะพ่ะย่ะค่ะ”เอ๋าชิงเคยได้สัมผัสใกล้ชิดกับเมืองอู๋โยวแล้ว
“เจ้าไม่เข้าใจจวินโม่ซ่างผู้นี้หรอก เขาเป็นคนที่เยาะเย้ยถากถาง อวดดีบ้าระห่ำ มองเหมือนเขาจะเฉลียวฉลาด ที่จริงเขาไม่ได้ฉลาดเลย”
“แต่กระหม่อมได้สัญญาแล้ว”เอ๋าชิงกล่าวด้วยสีหน้าจนปัญญา เมื่อคืนเขาเพิ่งจะตอบตกลง ใครจะรู้ว่าวันนี้เฟิ่งหลิงอวิ๋นก็กลับมาแล้ว
เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองเอ๋าชิง กล่าวด้วยความเคร่งขรึมว่า“หากว่าทั้งสามเมืองเป็นพันธมิตรกัน ความสามารถของแคว้นเฟิ่งของข้ามากมาย เสียเปรียบที่สุด พวกเราควรจะเก็บรักษาความสามารถพละกำลังของบ้านเมือง เก็บไว้จนตอนท้ายแล้วเจราจากับหนานกงเย่ ในเมื่อรู้ว่าสู้ไม่ไหว ยังจะตายร่วมกัน สมองน้ำเข้าแล้วใช่หรือไม่?”
เอ๋าชิงชะงักงัน เป็นเวลานานถึงได้กล่าวขึ้นว่า“องค์รัชทายาทควรจะกลับมาให้ไวแล้ว”
“ข้าก็อยากจะกลับมาให้ไว หนานกงเย่ทะลวงบุกยึดพระราชวังปีกใต้ แม้แต่ประโยคเดียวข้าก็ไม่ได้พูดกับเขา ข้าก็กลับมา ข้าวิ่งอย่างรวดเร็วแล้ว เป็นเจ้าที่ปากไว”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นคิดแล้วก็โมโห กล่าวว่า“น่าโมโหเสียจริง!”
“เช่นนั้นตอนนี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”เอ๋าชิงไม่อยากล่าช้า อย่างไรต้องคิดหาวิธีมารับมือ
“ไม่มีวิธีอื่น พบเจอกันก่อนเถิด ไม่ได้ก็ต่อสู้เถิด เพียงแต่แคว้นเฟิ่งไม่สามารถออกไปสู้รบอย่างง่ายดาย หากว่าเมืองอู๋โยวไม่ออกรบ พวกเราก็ไม่ออกเช่นกัน”
“เหตุใดเมืองอู๋โยวถึงไม่ออกรบพ่ะย่ะค่ะ?”
“ไร้สาระ เขาอยากจะสู้รบเป็นบุคคลสุดท้าย เมืองอื่นถูกหนานกงเย่ทำลายแล้ว แน่นอนบุคคลว่าสุดท้ายจะต้องยอมจำนน แม้ว่าไม่รบและแพ้มันหน้าอาย แต่พูดอย่างชัดเจน แนวโน้มที่จะไป ไม่ยอมจำนนก็คือรอความตาย เหล่าอาณาประชาราษฎร์จะต้องทำตามคำสั่งไม่ไปต่อต้าน”
เอ๋าชิงตระหนักได้ในทันที จึงกล่าวขึ้นว่า“ความหมายขององค์รัชทายาทคือให้พวกเขาสู้รบ รอพวกเขาพ่ายยอมจำนน พวกเราค่อยยอมจำนนหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“พวกเราคือแคว้นเฟิ่ง ล้วนเป็นผู้หญิง หนานกงเย่จะไม่มีทางสู้รบกับพวกเราเช่นนั้น บวกกับความสัมพันธ์ของข้า อย่างน้อยเขาจะต้องไว้หน้า”
เอ๋าชิงกล่าวด้วยความรู้สึกเสียใจภายหลัง กล่าวว่า“องค์รัชทายาทน่าจะตรัสเร็วกว่านี้”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองไปด้วยความหงุดหงิด กล่าวขึ้นว่า“เจ้าก็ไม่ใช่เด็ก เป็นเสนาบดีของแคว้นเฟิ่ง เรื่องเหล่านี้ยังต้องให้ข้าบอกหรือ ข้าเป็นเสนาบดีแทนเจ้าเป็นเสียเลยก็ดี”
เอ๋าชิงหน้าดำคร่ำเครียด
เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองหนานกงอวิ๋นเยียน แล้วกล่าวว่า“เสี่ยวอวิ๋น!”
“ท่านแม่”หนานกงอวิ๋นเยียนไม่พูดไม่จาเป็นเวลานาน แต่ทว่าพอได้ยินเฟิ่งหลิงอวิ๋นเรียกกลับทะมัดทะแมง
เฟิ่งหลิงอวิ๋นใช้แววตาที่อบอุ่นมอง กล่าวว่า“จวินโม่ซ่างผู้นั้นเป็นคนโง่ เมื่อสมัยนั้นเขาคิดว่าตนเองเยี่ยมยอด สิบปีนี้ แม่ก็ได้เห็นการพัฒนาของเมืองอู๋โยว แม้ว่าการพัฒนาของพวกเขาจะไม่เลว แต่ทว่าเขากลับไม่ใช่คนที่เฉลียวฉลาด แต่จะต้องระวังถังหลงคนข้างกายของเขา หากไม่มีถังหลง เขาก็ไม่มีทางมีวันนี้หรอก เจ้าเข้าใจที่แม่พูดหรือไม่?”
หนานกงอวิ๋นเยียนพยักหน้า กล่าวว่า“ข้าเข้าใจ ท่านแม่ต้องการให้ข้าขวางจวินโม่ซ่างไว้ รั้งไม่ให้เขามาเข้าร่วมพันธมิตรสามเมืองนี้ หากว่าเขาไม่มา ก็เท่ากับละทิ้งการเข้าร่วมพันธมิตร”
“ไม่ผิด แต่เจ้าอายุยังน้อย เกรงว่าเจ้าจะไม่มั่นคง หากเกิดเรื่องไม่ต้องสนใจอย่างอื่น ให้รีบกลับมาทันที”
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา พ่อของจวินโม่ซ่างบอกข้าว่าเขาไม่ใช่คนที่รับมือยาก”
“แม้จะพูดเช่นนี้ แต่อย่าประมาทเลินเล่อเชียว”
“อืม”
หนานกงอวิ๋นเยียนตอบตกลง แล้วสาวท้าวก้าวเดินไปกล่าวว่า“เฟยอิง ไปกัน!”
เฟยอิงชำเลืองมองเฟิ่งหลิงอวิ๋นพยักหน้าตอบรับ เลยเดินตามออกไป