องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 939 อะไรสำคัญ
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 936 อะไรสำคัญ
จักรพรรดิปีกใต้ลืมตาขึ้น และเมื่อเห็นซูมู่ไห่ก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า:“เป็นข้าที่ดูถูกดูแคลนเจ้ามากเกินไป เจ้าตายต่อหน้าข้า ข้ามีบุตรมากมาย และข้าอยากจะตายช้ากว่าเจ้าพวกเจ้าสักหน่อย ทำไมถึงไม่สมดังปรารถนา?”
จักรพรรดิปีกใต้รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บุตรชายของเขาล้วนแต่ตายหมดแล้ว
ในชีวิตของเขาออกศึกมานับไม่ถ้วน และต่อสู้เพื่ออำนาจของจักรพรรดิมาโดยตลอด แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ไม่เพียงแต่จะตายก่อนเวลาอันควร แต่คนผมขาวยังต้องมาส่งศพคนผมดำ แล้วเขาจะมีความสุขได้อย่างไร
“ลูกยังไม่ตาย ทำไมทรงตรัสว่าลูกตายแล้ว?ในพระทัยของเสด็จพ่อ ลูกช่างไร้ประโยชน์?” ซูมู่ไห่ไม่สบอารมณ์
จักรพรรดิปีกใต้นิ่งอยู่นานกว่าจะตอบสนอง เขาค่อย ๆ หันไปมองด้านข้าง เป็นไปไม่ได้ที่บ่าวในวังจะตายหมดแล้ว ในวังมีคนไม่กี่คนที่เป็นคนของพระชายาองค์รัชทายาท หากถูกฆ่าตายแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกฆ่าตายจนหมดสิ้น
จักรพรรดิปีกใต้ลังเล และเห็นเฟิ่งหลิงอวิ๋นในชุดสีแดง
เมื่อมองไปที่ใบหน้าของเฟิ่งหลิงอวิ๋น จักรพรรดิปีกใต้ก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ:“เจ้าเป็นหญิงผู้นั้นใช่หรือไม่?”
จักรพรรดิปีกใต้ลุกขึ้นจากเตียง ซูมู่ไห่จึงรีบเข้าไปช่วยประคองจักรพรรดิปีกใต้ให้ลุกขึ้น
เฟิ่งหลิงอวิ๋นกล่าวว่า:“เป็นไปได้ยากมากที่ท่านจะจำข้าได้ และเราได้พบกันในตอนที่ยังมีชีวิต”
เมื่อจักรพรรดิปีกใต้ได้ยินน้ำเสียงนี้ เขาก็หัวเราะจริง:“ข้าคิดว่าไม่ช้าก็เร็วเราต้องได้พบกัน แต่ไม่คิดว่าจะได้พบกันในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่”
จักรพรรดิปีกใต้ยื่นมือให้เฟิ่งหลิงอวิ๋นและต้องการให้นางไปหา
เดิมทีเฟิ่งหลิงอวิ๋นไม่อยากไป แต่หากนางไม่ไป จักรพรรดิปีกใต้ก็จะยืนกราน ดังนั้นนางจึงต้องเดินไปหา
จักรพรรดิปีกใต้จับมือของเฟิ่งหลิงอวิ๋น เขากัดฟันและกลืนน้ำลาย จากนั้นกฌมองดูใบหน้าของเฟิ่งหลิงอวิ๋นอย่างละเอียดถี่ถ้วนและกล่าวว่า:“ตอนที่ข้าพบกับท่านแม่ของเจ้า ลักษณะท่าทางของนางก็เหมือนเช่นเจ้าในตอนนี้ พวกเจ้าเหมือนกันยิ่งนัก นางสบายดีหรือไม่?”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นทำอะไรไม่ถูก:“มันผ่านไปนานมากแล้ว เหตุใดถึงยังสนใจ?”
“จะไม่สนได้อย่างไร เดิมทีข้าอาจจะดีกว่านี้ เป็นจักรพรรดิที่ดีและมีอายุยืนยาว แต่ตอนนี้กลายเป็นคนอายุสั้น และยังเป็นจักรพรรดิของแคว้นที่ล่มสลาย เหลือเพียงความอัปยศให้กล่าวขานไม่ชั่วกาลนาน ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของท่านแม่เจ้า” แววตาของจักรพรรดิปีกใต้เต็มไปด้วยความคับแค้นใจ
“ช่างเป็นจักรพรรดิที่ไร้คุณธรรม ยัดเยียดข้อหาให้กับสตรี พูดอะไรก็นำภัยมาสู่แคว้น พูดอะไรก็นารีเป็นเหตุ ไม่ใช่เป็นเพราะจักรพรรดิที่ไร้ประโยชน์หรือ?” เมื่อเฟิ่งหลิงอวิ๋นกล่าวเช่นนั้น จักรพรรดิปีกใต้ก็สีหน้าเปลี่ยน
ซูมู่ไห่กล่าวในทันทีว่า:“เหตุใดเจ้าถึงกล่าวเช่นนี้?”
“เช่นนั้นข้าต้องกล่าวอย่างไร?ราวกับว่าไม่เป็นเช่นนั้น หากบุรุษมีความสามารถ สตรีผู้หนึ่งจะสามารถทำลายใต้หล้าได้หรือ?ท้ายที่สุดก็เป็นจักรพรรดิที่ไร้ประโยชน์ แต่กลับโยนความผิดให้สตรี เพื่อให้ชื่อเสียงของตนเองสะอาด”
“เจ้ายังจะพูดอีก?” ซูมู่ไห่โกรธจัด
เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองไปที่จักรพรรดิปีกใต้:“หรือว่าท่านไม่คิดเช่นนั้น?”
จักรพรรดิปีกใต้ลังเลอยู่นานและกล่าวว่า:“เจ้ากล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นก็คงจะจริง บุรุษไร้ประโยชน์ แล้วยังจะโยนความผิดให้สตรี ข้ายอมรับ
ข้าช่างไร้ประโยชน์ยิ่งนัก หากข้ามีประโยชน์ ข้าก็คงจะไม่ยกท่านแม่ของเจ้าให้ซูอู๋ซิน ซูอู๋ซินแย่งชิงบ้านเมืองของข้า แล้วยังจะแย่งสตรีของข้าอีก จะว่าไปแล้วก็เป็นข้าที่ไร้ประโยชน์ และไม่ได้มีประโยชน์เท่าเขา”
ซูมู่ไห่ไม่สบายใจ แต่เฟิ่งหลิงอวิ๋นกลับยิ้ม
“สามารถมีความคิดเช่นนี้ได้ แสดงว่าท่านปล่อยวางแล้ว” เฟิ่งหลิงอวิ๋นไม่ได้ชื่นชม แต่คิดเช่นจริง ๆ
จักรพรรดิปีกใต้ไม่ต้องการพูดอะไร เขาสวมรองเท้าและเดินบนพื้น เขาเหลือบมองเท้าทั้งสองข้าง และมองไปที่เฟิ่งหลิงอวิ๋น:“ข้าไม่เป็นไรแล้ว?”
“ทำไมถึงไม่เป็นไรแล้ว?” เฟิ่งหลิงอวิ๋นไม่ใช่ฉีเฟยอวิ๋นอีกต่อไปแล้วนางเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง นางไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้น แม้ว่าทักษะทางการแพทย์ของนางจะดีขึ้น แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนอายุขัยของคนได้
เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมชาติและเป็นลิขิตสวรรค์ ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงได้
จักรพรรดิปีกใต้ตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะ
เมื่อเสียงหัวเราะเบาลง จักรพรรดิปีกใต้ก็เหลือบมองคนที่อยู่ในห้องบรรทมและมองไปที่ซูมู่ไห่:“แคว้นต้าเหลียงโจมตีปีกใต้ของข้า ตอนนี้เป็นช่วงเวลาคับขัน เจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่ เจ้าไปเถอะ”
ซูมู่ไห่กล่าวว่า:“ลูกขอสงบศึกแล้ว”
จักรพรรดิปีกใต้ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขามองไปที่ซูมู่ไห่และถามว่า:“ทำไมเจ้าถึงคิดอยากจะขอสงบศึก?”
จักรพรรดิปีกใต้ผ่านอุปสรรคต่าง ๆ มามากมาย เขารู้ดีว่าศึกครั้งนี้ไม่มีทางอื่นนอกจากขอสงบศึก แต่การขอสงบศึกนั้นหมายถึงความอัปยศไปชั่วกาลนาน
หากเขาตายไปแล้วก็พอที่จะยอมรับได้ แต่องค์รัชทายาทเพียงคนเดียวของเขายังอายุน้อย และหนทางยังอีกยาวไกล หากยอมรับความอัปยศไปชั่วกาลนาน วันหน้าจะยืนหยัดอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างไร?
“ไม่ใช่ทั้งหมด เป็นนางที่กล่าวเช่นนั้น” ซูมู่ไห่เหลือบมองเฟิ่งหลิงอวิ๋นอย่างดูถูกเหยียดหยามและไม่พอใจ
เฟิ่งหลิงอวิ๋นชินแล้ว ความซาบซึ้งใจของบางคนไม่ใช่เพียงแค่ผิวเผิน และความเลวของบางคนก็ไม่ใช่เพียงแค่ผิวเผินเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่คุ้มค่าที่จะใส่ใจ
จักรพรรดิปีกใต้มองไปที่เฟิ่งหลิงอวิ๋นและไม่คิดเช่นนั้น อันที่จริงแล้วหญิงผู้นี้ฉลาดมาก
“ในเมื่อขอสงบศึกแล้ว เช่นนั้นก็รอการกลับมาของหนานกงเย่ เจ้าไม่ได้กลับไปนานมากแล้ว ในวังมีเรื่องวุ่นวายมากมายที่ต้องให้เจ้าไปจัดการ เจ้าไปเถอะ ให้นางอยู่เป็นเพื่อนข้าที่นี่”
ซูมู่ไห่เหลือบมองเฟิ่งหลิงอวิ๋น จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
หลังจากที่ซูมู่ไห่จากไป จักรพรรดิปีกใต้ก็ให้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ถอยออกไป เขาเดินไปนั่งลง และเฟิ่งหลิงอวิ๋นก็นั่งลงเช่นกัน
“ข้ามีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน?” จักรพรรดิปีกใต้รู้ตัวดี ดูเหมือนว่าไม่มีอะไร แต่เขาไม่สามารถประคับประคองได้อีกต่อไปแล้ว
ในตอนนี้ดี แต่เกรงว่าจะเพียงชั่วคราวเท่านั้น
เฟิ่งหลิงอวิ๋นก็ไม่ได้ปิดบังเช่นกัน:“ร่างกายของท่านในตอนนี้ น่าจะอยู่ได้อีกสิบวันถึงครึ่งเดือน สำหรับท่านแล้ว สิบวันถึงครึ่งเดือนก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นปัญหาในการรับมือกับผลที่ตามมา”
จักรพรรดิปีกใต้นิ่งสงบอยู่นาน เขาไม่ได้ตอบโต้และถามว่า:“จะสามารถรักษาปีกใต้ไว้ได้หรือไม่?”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นส่ายหัว:“เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนใจของหนานกงเย่ได้”
“หากข้าจับตัวเจ้าไปข่มขู่ล่ะ?”
“ต่อให้เจ้าจะขังข้าอยู่ที่นี่เป็นร้อยปี เขาก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจ เขาจะต้องเสียสละข้าเพื่อนำสันติสุขมาสู่ใต้หล้า เขาจริงจังกับความเป็นความตายมาก แต่เขาลงมือในเวลานี้ หมายความว่าทุกอย่างเรียบร้อย เขาไม่มีทางเปลี่ยนใจเพราะใครอย่างแน่นอน เขาอาจจะวุ่นวายเพื่อข้าสักสองสามวัน แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังตัดสินใจที่จะโจมตี ในตอนนี้เรื่องที่ต้องทำไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เขาจะต้องเดิมพันว่าท่านจะฆ่าข้าหรือไม่ แต่หากท่านฆ่าข้าแล้ว เขาก็จะทำให้ราษฎรชาวปีกใต้เดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ท่านเป็นคนฉลาด ในฐานะจักรพรรดิ ท่านควรคำนึงถึงราษฎรและไม่สามารถนำราษฎรมาเล่นสนุกได้ ดังนั้นเขาจึงสามารถที่เดิมพันได้ แต่หากท่านฆ่าข้าจริง ๆ หลังจากที่ข้าตายไปแล้ว เขาจะเจ็บปวดทรมานอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการยกทัพของเขาอย่างแน่นอน”
จักรพรรดิปีกใต้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง:“เช่นนั้นจะทำอย่างไร หากข้าต้องเห็นปีกใต้ล่มสลาย แล้วข้าจะไปพบบรรพบุรุษได้อย่างไร?”
“ไม่ใช่ว่าไม่มีหนทาง ยังพอมีอยู่บ้าง” เฟิ่งหลิงอวิ๋นจิบน้ำ จักรพรรดิปีกใต้ยังคงครุ่นคิด และรอให้ฉีเฟยอวิ๋นตอบ แต่ฉีเฟยอวิ๋นไม่ตอบ เขาจึงไม่เคลื่อนไหวใด ๆ แต่หลังจากนั้นสักพัก ก่อนที่จักรพรรดิปีกใต้จะเอ่ยปาก เฟิ่งหลิงอวิ๋นไม่รีบร้อนที่จะพูด แต่กลับจิบน้ำอีก
จักรพรรดิปีกใต้จึงทำได้เพียงถามว่า:“เช่นนั้นเจ้าก็พูดมาเถอะ ว่าต้องทำอย่างไร”
“ในเมื่อไม่มีหน้าจะไปพบบรรพบุรุษ เช่นนั้นก็ทำให้เต็มที่เสียดีกว่า เป็นจักรพรรดิที่ดีของแคว้นที่ล่มสลาย เมื่อท่านตายแล้ว ผู้อื่นก็จะไม่สาปแช่งท่าน และอย่างน้อยก็สามารถปกป้องบุตรชายของท่านได้ ท่านคิดว่าอย่างไร”
เมื่อเฟิ่งหลิงอวิ๋นกล่าวเช่นนี้ จักรพรรดิปีกใต้ก็เข้าใจ อันที่จริงในใจของเขาก็คิดเช่นนี้ เพียงแต่แปลกใจที่มีความคิดเช่นเดียวกัน
“หากข้ายอมจำนน จะรักษาปีกใต้ไว้หรือไม่?”
“มาถึงตอนนี้แล้ว ท่านยังไร้เดียงสาอยู่อีกหรือ จักรพรรดิปีกใต้สำคัญหรือว่าเป็นชีวิตของบุตรชายท่านสำคัญ?”