องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 942 อาศัยความวุ่นวายหลบหนี
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 939 อาศัยความวุ่นวายหลบหนี
เอ๋าชิงมองหนานกงอวิ๋นเยียนออกไปและมองไปยังเฟิ่งหลิงอวิ๋น: “ที่จริงแล้วการสู้รบในครั้งนี้สู้กันอย่างเปิดเผยและต้องขนะอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องกล่าวถึงลูกชายทั้งหลายของหนานกงเย่แม้แต่ท่านแม่ลูกก็จะชนะแบบ.. แล้วเหตุใดจึงต้องทำให้เรื่องราวยุ่งยากด้วย?”
“ผู้อื่นทำเพื่อสิ่งใดข้าไม่รู้ แต่ข้าทำเพื่อมิให้แคว้นเฟิ่งบาดเจ็บล้มตาย สู้รบโดยไร้ซึ่งผู้คนล้มตายนั่นมิใช่การสู้รบแต่ว่าราษฎรทั้งหลายนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องสู้รบเช่นเดียวกับท่านเสนาบดีเอ๋า”
เอ๋าชิงมองออกไปด้านนอกท้องพระโรงแล้วกล่าวว่า: “เช่นนั้นขั้นต่อไปก็คือให้พวกเขาทั้งสองแคว้นสู้รบกันก่อนซะแล้ว”
“พวกเราจะต้องร่วมมือกับหลิงอวิ๋น เช่นนั้นก็ต้องให้หนานกงเย่ไปตีแคว้นอู๋โยวก่อน แต่ว่าถึงแม้จวินโม่จะอวดดีทว่ากลับเป็นคนขลาดเขลา ข้าราชบริพารของเขาถังหลงก็จะริเริ่มไม่ต่อสู้เองจนถึงท้ายที่สุด แต่พวกเราจะบังคับให้เขาสู้”
“เช่นนั้นองค์รัชทายาท.……”
“เสี่ยวอวิ๋นไปพบเขา เขาจะสนับสนุนการร่วมมือของสามแคว้นเอง ท่านไปหาคนปลอมตัวเป็นพวกเขา รอจนกว่าจวินโม่ซ่างจะจากไปแล้วแกล้งทำเป็นทำร้ายเสี่ยวอวิ๋น เสี่ยวอวิ๋นจะบอกต่อให้หนานกงเย่เองเป็นธรรมดา ส่วนท่านนั้นก็แพร่ข่าวลือไปว่าจวินโม่ซ่างเข้าใจผิดว่าเสี่ยวอวิ๋นเป็นข้า พยายามลักพาตัวและทำร้ายเสี่ยวอวิ๋น
หนานกงเย่เป็นห่วงเป็นใยเสี่ยวอวิ๋นเช่นนั้นก็จะโจมตีเมืองอู๋โยวก่อน เขาซึ่งเป็นองค์จักรพรรดิก็จะไม่สามารถยอมจำนนในเวลานี้ได้”
เอ๋าชิงสูดลมหายใจเข้าลึก: “ท่านมีกลอุบายเช่นนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ!”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองไปยังเอ๋าชิง: “หากท่านทำเพื่ออวิ๋นเลี่ยท่านก็จะทำเช่นนี้”
เอ๋าชิงคิดว่าก็อาจจะใช่
หนานกงอวิ๋นเยียนไปพบจวินโม่ซ่างส่วนเฟิ่งหลิงอวิ๋นไปพบเซวียนเหอ
ทั้งสามแคงว้นเตรียมพร้อมที่จะร่วมมือกัน เซวียนเหอและจวินโม่ซ่างก็ได้เร่งมาถึง เวลากระชั้นชิดทุกคนไม่ได้มีเวลาให้คิดมากนัก รวมถึงขณะที่ซูมู่ไห่มาถึงแคว้นเฟิ่งหนานกงเย่ก็เริ่มโจมตีปีกใต้แล้วทั้งสองคนนั้นไม่กล้าชะล่าใจ
เฟิ่งหลิงอวิ๋นปรากฏตัว เซวียนเหอกำลังดูภาพวาดหนึ่งอยู่ในห้อง สถานที่นัดพบอยู่ในพระราชวังเฟิ่งหลิงอวิ๋น
ได้ยินเสียงเสื้อผ้าอันซับซ้อนลากพื้นมาเซวียนเหอก็รู้ว่ามีคนมาแล้วจึงหันหลังมองไปทางด้านบนของท้องพระโรง เฟิ่งหลิงอวิ๋นสวมเสื้อคลุมหงส์สีเหลืองหยุดอยู่ที่ด้านบน สี่ตาประสานกันจากนั้นจึงได้เดินลงมาจากด้านบน
เอ๋าชิงเดินตามอยู่ด้านหนึ่ง เฟิ่งหลิงอวิ๋นกล่าวว่า: “เสนาบดีเอ๋า ข้ากับจักรพรรดิหลิงอวิ๋นเป็นสหายเก่ากัน ท่านถอยออกไปก่อนเถอะ รอให้จักรพรรดิแห่งอู๋โยวมาถึงท่านค่อยมาบอกข้า”
“พะย่ะค่ะ”
เอ๋าชิงออกไปก่อน เฟิ่งหลิงอวิ๋นเดินลงบันไดมา มีเก้าอี้อยู่ตรงด้านล่าง เฟิ่งหลิงอวิ๋นเดินไปนั่งลง นั่งลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองเซวียนเหอ เซวียนเหอเฝ้ามองเฟิ่งหลิงอวิ๋นอยู่ตลอดจนกระทั่งเฟิ่งหลิงอวิ๋นนั่งลง เขาจึงเดินไปแล้วนั่งลงด้วยกัน
“ปีใหม่ท่านก็สิบเอ็ดแล้ว” เซวียนเหอนึกถึงอายุในตอนนี้ของเฟิ่งหลิงอวิ๋นก็รู้สึกขบขันเล็กน้อย
สิบปีแล้ว สิบปีมานี้เขานั้นนึกถึงนางอยู่ตลอด เทียบกับฉวนเอ๋อร์แม้ว่าจะน้อยกว่านัก แต่นางตายไปแล้วสำหรับเขาแล้วได้รับการกระทบยิ่งนัก
เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองไปยังเซวียนเหอ: “อย่าได้กล่าวถึงเรื่องเก่าเลย กล่าวถึงสถานการณ์ในตอนนี้ท่านคิดว่าพวกเราจะสู้รบในครั้งนี้อย่างไรดี?”
เซวียนเหอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง: “หนานกงเย่ได้ยึดปีกใต้เอาไว้แล้ว เขาใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนใช้กำลังทหารดั่งเทพ เกรงว่าสามแคว้นร่วมมือกันก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้ก็ต้องดูว่าสามารถทนได้นานแค่ไหน”
“ท่านต้องการยอมจำนนหรือ?” เฟิ่งหลิงอวิ๋นฟังความหมายของคำพูดของเซวียนเหอไม่ออก
“ต้องการ เพียงแค่ราษฎรในคว้นหลิงอวิ๋นของข้าปลอดภัยข้าเต็มใจทำตาม หากว่าหนานกงเย่สังหารข้าก็คือสังหารข้าราชบริพารที่ยอมจำนนซึ่งเป็นสิ่งที่จักรพรรดินั้นถื ข้าจะยอมจำนนเพียงแค่เขาไม่ทำร้ายประชาราษฎร์แคว้นหลิงอวิ๋นของข้า
เฟิ่งหลิงอวิ๋นไม่คิดเลยว่าเซวียนเหอจะทำเช่นนี้ เป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดยอมที่จะถูกทอดทิ้งดีกว่าก็จะไม่ทำร้ายราษฎร นี่จึงจะเป็นผู้ที่มีเมตตาและคุณธรรม
หากว่าซูมู่ไห่พ่อลูกเป็นเช่นนี้ได้ก็จะดีนัก เหตุใดถึงต้องให้คนตายมากมายเช่นนั้นหล่ะ
เฟิ่งหลิงอวิ๋นยิ้ม: “หากว่าท่านยินยอมที่จะยอมจำนนเช่นนั้นข้าก็จะยอมจำนนด้วย อาศัยแสงประกายของท่านได้ด้วยพอดี”
“ท่านจะยอมจำนนได้ง่ายดายเช่นนี้เลยหรือ วันนี้จวินโม่ซ่างไม่ยอมมาสักทีก็เพราะถูกแผนการของท่านทำให้เรื่องเท็จกลายเป็นจริง คาดว่าเขายังนึกว่าสามารถพบเจอท่านได้กำลังดีใจอยู่สินะ?”
ถูกมองออกเฟิ่งหลิงอวิ๋นก็ไม่สะดวกกล่าวสิ่งใดจากนั้นลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า: “ท่านไม่เคยมาที่พระราชวังเฟิ่ง ข้าจะพาท่านไปดูรอบๆ”
“ได้”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นพาเซวียนเหอไปเดินดูโดยรอบก็ค่ำมืดเสียแล้ว
จวินโมซ่างรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นหนานกงอวิ๋นเยียนและไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลาเนิ่นนาน: “ไม่ได้บอกว่าพบในพระราชวังหรือ เหตุใดถึงมาที่นี่? ท่านไม่ได้คิดถึงข้าดังนั้นจึงได้มาเจอข้าล่วงหน้าหรอกนะ?”
จวินโม่ซ่างคิดว่าผู้ที่มาคือเฟิ่งหลิงอวิ๋นจึงไม่ได้ระมัดระวังตัวมากนัก
สีหน้าของเฟยอิงดูไม่ได่เลย: “จวินโม่ซ่าง พูดจาให้ดีๆหน่อย”
จวินโม่ซ่างเลิกคิ้วด้วยหน้าตาไม่พอใจ: “บังอาจ ข้าเป็นผู้ที่เจ้าจะพูดด้วยตามอำเภอใจได้หรือ?”
เฟยอิงชี้ดาบไปยังจวินโมซ่าง: “ทางที่ดีท่านควรจะให้เกียรติจวิ้น……อวิ๋นเอ๋อร์หน่อย อย่าได้พูดจาไร้สาระ ไม่เช่นนั้นข้าจะให้เลือดท่านสาดนองทั่วตรงนั้น”
ถังหลงตกใจไม่น้อยแล้วเหลือบมองทางด้านเฟิ่งหลิงอวิ๋น แม้ว่าจะเป็นการกลับชาติมาเกิดของฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่สามารถพูดจาเหยียดหยามเช่นนี้ได้ เฟยอิงทำเช่นนี้ไม่ผิด
“ฝ่าบาท ท่านอย่าได้ทำสิ่งใดเรื่อยเปื่อย พวกเรามาเพื่อร่วมมือกันไม่ได้มาสร้างปัญหา ยิ่งกว่านั้นองค์รัชทายาทอายุยังน้อย ท่านจะพูดจาหยามเหยียดเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ถังหลงคว้าจวินโม่ซ่างเอาไว้แล้วกระซิบกระซาบ จากนั้นจวินโม่ซ่างก็เหวี่ยงแขนเสื้อออกแล้วช่างเถอะ
“องครักษ์ผู้นี้ฝ่าบาทมิได้ทรงจงใจขอท่านอย่าได้หุนหันพลันแล่น เช่นไรเป็นการพบเจอกันของสองแคว้นไม่เป็นการดีที่จะพบเจอกันด้วยทหารและดาบ!”
ถังหลงไกล่เกลี่ยเฟยอิงจึงได้วางดาบลง
เสี่ยวอวิ๋นเหลือบมองเฟยอิงจากนั้นจึงเดินไปนั่งยังฝั่งหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ที่มาในวันนี้เพื่อถามท่านเกี่ยวกับเรื่องราวของความร่วมมือกันของสามแคว้น อย่าได้พูดเรื่องไร้สาระ”
จวินโม่ซ่างหน้าตาไม่พอใจ: “ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี เหตุใดท่านถึงได้จองหองเช่นนี้ดังเช่นลูกสาวผู้นั้นของท่าน”
เสี่ยวอวิ๋นเลิกคิ้ว: “เช่นไร? นางทำให้ท่านขุ่นเคืองหรือ?”
“นางยังไม่กล้ายั่วให้ข้าโกรธเพียงแต่นิสัยของนางเหมือนกับเจ้าเช่นนี้ช่างแย่ยิ่งนัก ภายหน้าไม่สามารถออกเรือนได้แล้ว”
เสี่ยวอวิ๋นส่งเสียงอย่างเย็นชา: “บอกมาเถอะว่าพวกท่านคิดที่จะร่วมมือกันเช่นไรและจะสู้รบกันเมื่อใด?”
“สู้รบนั้นข้าดูเอง ยังจะต้องคิดวางแผนให้ดีนอกจากนี้สู้รบก็ไม่มีประโยชน์กับพวกเรา ท่านก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับหนานกงเย่เขาเป็นสามีของท่าน ตอนนี้เขาเริ่มสู้รบท่านกับเขาก็ไม่พอใจเป็นธรรมดา” จวินโม่ซ่างกล่าวอย่างเต็มไปด้วยหลักการแต่เสี่ยวอวิ๋นกลับมีหน้าตาทึ่ดูถูกดูแตลน ช่างไร้ยางอายจริงๆ
จวินโม่ซ่างนั่งลงเสี่ยวอวิ๋นจึงถามว่า: “เช่นนั้นท่านคิดจะยอมจำนนหรือ?”
“ไม่แน่นอน ข้าว่าไม่งั้นท่านกับข้าร่วมมือกันให้หลิงอวิ๋นไปต่อสู้ เช่นไรพวกเขาก็เคยมีเรื่องกันมาก่อนซึ่งความสัมพันธ์นั้นไม่ดี ศัตรูเผชิญหน้ากันก็ยิ่งโกรธแค้นกันใช่หรือไม่?”
“เจ้าฝันไปเถอะ แล้วหากว่าเอาชนะหลิงอวิ๋นได้หล่ะพวกเราจะทำเช่นไร?”
“หากว่าเอาชนะได้พวกเราสู้ไปด้วยกันก็พอแล้ว” จวินโม่ซ่างต้องการให้แคว้นเฟิ่งสู้ก่อนแต่ตอนนี้กล่าวสิ่งใดไม่ได้
เสี่ยวอวิ๋นลุกขึ้น: “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้งั้นข้าจะกลับก่อน รอให้พวกเขาต่อสู้กันขึ้น แคว้นเฟิ่งของเราสู้รบ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้ายอมจำนนเป็นคนสุดท้าย”
กล่าวจบเสี่ยวอวิ๋นก็จากไป จวินโม่ซ่างไม่คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะราบรื่นเช่นนี้จึงหันหลังกลับไปดูคนนั้นได้จากไปแล้ว
แต่ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หนานกงอวิ๋นเยียนเดินออกประตูตามเฟยอิงไปยังรถม้า ไม่ทันรอก็มีคนพุ่งออกมาโดยที่คนสิบกว่าคนโจมตีมาทางหนานกงอวิ๋นเยียน เฟยอิงรีบพุ่งตัวออกไปทันทีแต่ได้รับการขยิบตาจากอีกฝ่าย เฟยอิงจึงได้เข้าใจและแสร้งทำเป็นได้รับบาดเจ็บ ฝ่ายตรงข้ามตบฝ่ามือหนึ่งเข้าที่ศีรษะของเสี่ยวอวิ๋น มุมปากของเสี่ยวอวิ๋นเลือดไหลจนคนนั้นได้ล้มลงบนพื้น เฟยอิงกระโจนพุ่งเข้าไปกอดคนเอาไว้
รอจนคนจากไปมีดสองสามเล่มถูกโยนลงบนพื้น เฟยอิงหยิบขึ้นมาดูมีเครื่องหมายอยู่ด้านบน เฟยอิงมองแว๊บเดียวก็ดูออกว่าเครื่องหมายเป็นของเมืองอู๋โยว
จากนั้นถึงได้ล้อมศาลาพักม้าที่จวินโม่ซ่างตั้งรกรากอยู่เอาไว้ เมื่อจวินโม่ซ่างสังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติเฟยอิงก็ได้อุ้มเสี่ยวอวิ๋นเข้ามาและสั่งให้สังหารให้หมด จวินโม่ซ่างมีคนน้อยกว่าจึงทำได้เพียงแค่อาศัยความวุ่นวายหลบหนีไป