องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 945 ไม่เห็นแล้ว
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 942 ไม่เห็นแล้ว
เฟิ่งหลิงอวิ๋นเดินไปถึงนอกตำหนัก ภายในท้องพระโรงมีขุนนางมากหน้าหลายตา โดยมีแม่ทัพเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นสตรีทั้งหมด
เอ๋าชิงยืนอยู่ด้านข้าง ขัดขวางผู้ที่จะบุกเข้ามา
เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองคนพวกนั้น อดอุทานที่มีสตรีมากกว่าบุรุษไม่ได้ ซึ่งสตรีเหล่านี้ล้วนแลดูมีพลังกำลัง ห้าวหาญ ส่วนผู้ชายกลับอ่อนช้อย ไม่มีเรี่ยวแรง ประหนึ่งขันทีก็ไม่ปาน
“พวกท่านคิดจะทำการใด?” ถึงแม้เฟิ่งหลิงอวิ๋นจะเป็นเด็กผู้หนึ่ง ทว่ากลับมีพลานุภาพล้นหลาม เมื่อนางลั่นวาจาออกมาก็ไม่มีผู้ใดกล้าหายใจเสียงดัง
เอ๋าชิงหันกลับไปมองเฟิ่งหลิงอวิ๋น “พวกนางอยากทำการศึกพ่ะย่ะค่ะ คิดว่าเป็นโอกาสทองในการโจมตีแคว้นต้าเหลียงพ่ะย่ะค่ะ หาไม่แล้วจะพลาดโอกาสไป ทั้งยังคิดจะจับอวิ๋นจวิ้นจู่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองเอ๋าชิงอย่างเย็นเยียบ “พวกนางพูดถูก ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีงาม รัชทายาทอย่างข้าก็เห็นด้วย เมื่อคิดจะบุกโจมตี ไยเจ้าจึงขัดขวาง?”
“……” เอ๋าชิงไม่ได้ตอบ เขาไม่เข้าใจเฟิ่งหลิงอวิ๋นเสียเลย เปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป
เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองไปยังเหล่าขุนนางใหญ่ “พวกเจ้าตัดสินใจก็พอ ข้าก็ไม่อยากล้าหลังผู้อื่น เช่นนั้นก็ทำสงครามเถอะ และข้าเห็นด้วยที่จะจับตัวอวิ๋นจวิ้นจู่ เมื่อครู่นางอยู่ด้านใน ฉวยโอกาสตอนไม่มีผู้ใดไหวตัว จงรีบลงมือโดยเร็วเถอะ จับได้แล้วจะทำให้แคว้นเฟิ่งปลอดภัย ซึ่งถือเป็นเรื่องไม่เลวเลย”
“หม่อมฉันขออาสาเพคะ”
มีคนไปที่ห้องบรรทมของเฟิ่งหลิงอวิ๋นทันทีทันใด ทว่าหาจนทั่วก็ไม่เห็นเงาคน
ออกมาแล้วส่ายหัว “ไม่เจอเพคะ”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองอีกฝ่าย “เป็นไปไม่ได้ ตอนรัชทายาทอย่างข้าออกมายังอยู่เลย”
“หรือว่ารู้ว่าพวกเราจะมาเลยชิ่งหนีก่อน?” มีคนถาม
เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองผู้ที่ทูลรายงาน “เพราะเจ้าคนเดียว”
ผู้ที่รายงานรีบคุกเข่า “รัชทายาทโปรดไว้ชีวิตด้วยเพคะ”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นไม่ได้ชายตามองแม้แต่ปราดเดียว หันไปมองคนอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์ “ถ่ายทอดพระราชโองการ”
ทุกคนรีบคุกเข่าลง เฟิ่งหลิงอวิ๋นกล่าวว่า “ระดมทหารแคว้นเฟิ่งไปประชิดพรมแดนแคว้นต้าเหลียง สู้กับแคว้นต้าเหลียงให้ถึงที่สุด”
สิ้นเสียง เฟิ่งหลิงอวิ๋นหมุนกายกลับเข้าห้องบรรทม
เอ๋าชิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ในที่สุดก็มาแล้ว
ครึ่งเดือนให้หลัง แคว้นต้าเหลียงมีศัตรูล้อมทุกด้าน สามแคว้นรวมเป็นพันธมิตรโจมตีแคว้นต้าเหลียง ทำให้แคว้นต้าเหลียงไม่รู้จะรับมือเช่นไร
ทว่าศึกครานี้ไม่ได้มีผู้ที่ต้องทำให้พะว้าพะวัง เพราะเฟิ่งหลิงอวิ๋นไม่ได้ร่วมทำสงครามด้วย นางอยู่แต่แคว้นเฟิ่งตลอด
สงครามที่ยืดเยื้อมานานหนึ่งปีเป็นอันจบสิ้น และหนานกงเย่เป็นฝ่ายคว้าชัยชนะ ด้วยกองกำลังหนึ่งแคว้นสามารถพิชิตกองกำลังทั้งสามแคว้นได้สำเร็จ
สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือ หนานกงเย่ อวิ๋นหลัวฉวน หนานกงจื่อฮวน ล้วนคว้าชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ในวันเดียวกัน
เมื่อทั้งสามแคว้นพ่ายแพ้ เซวียนเหอสิ้นชีพใต้กระบี่ของอามู่ เดิมทีเขามีโอกาสรอดชีวิต ทว่ากลับลงมือกับองค์หญิงใหญ่ ผลสุดท้ายคืออามู่ใช้กระบี่ลงมือสังหารเซวียนเหอทันที ยามที่สิ้นลมหายใจ เขามองแต่ทางที่อวิ๋นหลัวฉวนอยู่ เขาอยากเข้าใกล้อวิ๋นหลัวฉวน อยากให้มองเขาบ้าง ทว่าอวิ๋นหลัวฉวนไม่ได้แยแสเขา
อามู่ชักกระบี่ออกมา เซวียนเหอพลันเสียชีวิตล้มไปกองกับพื้น เมื่ออามู่ถอยห่าง เขาก็ทอดสายตามองไปยังฟากฟ้า พลางขยับมุมปาก ก่อนจะนึกถึงใบหน้าฉีเฟยอวิ๋น สุดท้ายก็หลับตาไปตลอดกาล
กองทัพม้าเหล็กแห่งแคว้นต้าเหลียงพุ่งทะยานไปยังค่ายทหารหลิงอวิ๋น ก่อเกิดลมชุดมหึมาพัดพาทุกสิ่งอย่างบนพื้นพสุธา เหล่าทหารในค่ายเจองานหนัก ผ่านไปเพียงชั่วอึดใจก็กลับมาสงบเงียบอีกครั้ง ฝูงม้าพุ่งลงไปอย่างบ้าบิ่น จากนั้นก็มีฝุ่นละอองเต็มพื้น
สายลมที่พัดเข้ามาครั้งนี้ ร่างเซวียนเหอถูกคนพาไปโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ในป่าลึก เซวียนเหอค่อยๆลืมตาขึ้น พลางเห็นเฟิ่งหลิงอวิ๋นกำลังล้างมือ เบื้องหน้าคือลำธารที่กว้างใหญ่ ด้านข้างมีเสี่ยวอวิ๋น อวิ๋นจวิ้นจู่ยืนมาเอามือไพล่หลัง
เสี่ยวอวิ๋นสวมพระภูษาสีชมพู มองมารดาที่อยู่ในลำธารไปพลาง ถามด้วยความประหลาดใจไปพลาง “ท่านแม่มีวรยุทธ์ร้ายกาจได้อย่างไร? ท่านพ่อต้องไม่รู้แน่ใช่ไหม?”
“กลับชาติมาเกิดมาก็เป็ฯนเลย ไม่ได้หรือ?” เฟิ่งหลิงอวิ๋นล้างมือเสร็จพลันลุกขึ้น เติมน้ำเข้าในกระบอกน้ำ จากนั้นก็หมุนกายไปมองเซวียนเหอที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว
เซวียนเหอมองเฟิ่งหลิงอวิ๋น “ท่านมาได้อย่างไร?”
“ข้าไม่มาแล้ว ท่านจะมีชีวิตรอดหรือ?” เฟิ่งหลิงอวิ๋นส่งกระบอกน้ำให้เขา เขารับมาดื่ม จากนั้นก็เช็ดปาก
เซวียนเหอมองรอบ ๆ ก่อนจะหัวเราะลั่น “คนของข้าตายกันหมดแล้ว ข้ามีชีวิตต่อไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด?”
“อย่าได้เอ่ยว่าไม่มีประโยชน์ ภูเขาลูกนั้นมีภิกษุเฒ่าอยู่ เขายังไม่มีลูกศิษย์ ท่านลองไปดู
จะอยู่ก็ดี จะตายก็ช่าง แล้วแต่โชคชะตาเถอะ”
เฟิ่งหลิงอวิ๋นลุกขึ้นจากไป ทว่าเสี่ยวอวิ๋นไม่ไป กลับเดินไปหาเซวียนเหอ “คนดี ท่านคิดจะตายอย่างเดียว แต่ไม่ควรตายในเงื้อมมือของเสด็จป้า เสด็จป้าขอให้ท่านแม่ช่วยท่าน ท่านต้องขอบคุณเสด็จป้า”
เซวียนเหอหันไปมองก็ไม่เห็นเฟิ่งหลิงอวิ๋นเสียแล้ว
เขาลุกขึ้นจากพื้น แล้วตรงไปยังอาราม เมื่อถึงตรงนั้นก็เห็นอวิ๋นหลัวฉวน นางส่งยิ้มมาให้ “จงชินอ๋อง สบายดีไหม”
เซวียนเหอกระอักกระอ่วนชั่วครู่ หลังมองสำรวจด้านในแล้วก็ไม่เห็นภิกษุเฒ่า มีเพียงอวิ๋นหลัวฉวนผู้เดียว
เซวียนเหอเดินเข้าไปใกล้ “ไม่เจอกันหลายปี เจ้ายังสบายดีไหม?”
“เหมือนเดิมทุกอย่าง ขอบคุณที่ท่านเป็นห่วง พวกเราเข้าไปเถอะ” อวิ๋นหลัวฉวนเชิญเซวียนเหอเข้าไป เขาลังเลชั่วครู่ มองไปยังด้านในอาราม ก่อนจะมองประตูปราดหนึ่ง
“ไม่ต้องแล้ว ที่นี่ดีมาก ไม่เหมาะที่จะคุยอดีตของพวกเรา แต่เป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรผู้เดียว กลับไปเถอะ และอย่ามาอีก”
อวิ๋นหลัวฉวนมองเซวียนเหอปราดหนึ่ง “ท่านรักษาตัวด้วย อาจจะลำบากหน่อยที่ต้องใช้ชีวิตต่อไป แต่หากท่านขอพรให้แก่พวกเขาที่นี่ หลังความตายพวกเขาคงจะสงบสุขไม่น้อย”
เซวียนเหอไม่ได้กล่าวสิ่งใด แค่มองอารามปราดหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในโดยที่ไม่เหลียวหลัง แต่อวิ๋นหลัวฉวนหันไปมองอีกฝ่าย “ท่านพี่เซวียนเหอ”
เซวียนเหอหยุดก้าวเดิน กล่าวว่า “พี่เซวียนเหอของเจ้าตายไปตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นหลิงอวิ๋นแล้ว
ข้าดีใจมากที่วันนี้เจ้ามา แต่ข้ายิ่งหวังให้นางมา เช่นนั้นข้าจะไม่มีสิ่งใดต้องเสียใจอีก”
สิ้นเสียง เซวียนเหอก้าวเข้าธรณีประตู ก่อนจะปิดประตูแล้วไม่ออกมาอีก
อวิ๋นหลัวฉวนจึงจะหมุนกายเดินจากไป
นางลงเขาโดยไม่หันไปมองแม้แต่ครั้งเดียว
ทว่าเสี่ยวอวิ๋นกลับแอบขึ้นเขา ผลักประตูอารามเข้าไปหาเซวียนเหอ โดยมีเฟยอิงติดตามมาแล้วเฝ้าอยู่ในลานบ้าน
เมื่อผลักประตูเข้าไป เสี่ยวอวิ๋นมองเซวียนเหอที่นอนอยู่บนเตียง แล้วเดินเข้าไปดู จากนั้นก็นั่งรอเขาตื่นขึ้นมา รอไปสามสี่วัน เซวียนเหอจึงจะตื่น ถามเสี่ยวอวิ๋น “ไยจึงเป็นเจ้า?”
“ท่านแม่กลัวท่านฆ่าตัวตาย จึงให้ข้ามาดูท่าน ตอนนี้อำนาจใหญ่ในใต้หล้าสูญเสียไปแล้ว ข้าไม่อยากกลับไป ท่านแม่บอกว่าอยู่ที่นี่ก็ปลอดภัย สองปีนี้ข้าไม่คิดจะกลับไป”
“ใช่รึ?” เซวียนเหอรู้สึกว่าเด็กหญิงผู้นี้ร่างเริงสดใสดี จึงไม่ได้ขับไสไล่ส่ง
เฟิ่งหลิงอวิ๋นจากไปก็กลับไปที่พระราชวังเฟิ่ง เอ๋าชิงเห็นนางกลับมา จึงเลิกปลอมเป็นเฟิ่งหลิงอวิ๋น
เฟิ่งหลิงอวิ๋นเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จสรรพ ขุนนางสามแผ่นดินในพระราชวังเฟิ่งก็มาเยือน ในมือถือไม้เท้าหัวหงส์ สื่อให้รู้ว่าจะจับตัวเอ๋าชิงกับเฟิ่งหลิงอวิ๋น ซึ่งทั้งสองคนไม่ได้ต่อต้าน
ตอนหนานกงเย่มาถึงก็ไม่เห็นใครแล้ว พระราชวังเฟิ่งอันกว้างใหญ่เหลือเพียงนางกำนัลและขุนนางสามแผ่นดินไม่กี่ชีวิต
หนานกงเย่นำคนยืนอยู่ตรงนั้น ขุนนางสามแผ่นดินเหยียดยิ้มเย้ยหยัน “เพื่อสตรีผู้หนึ่ง ท่านถึงกลับทำให้ปวงชนตกระกำลำบาก เช่นนั้นท่านก็อย่าคิดได้เจอสตรีผู้นี้เลย อันนี้คือผลตอบแทนที่ท่านทำลายแคว้นเฟิ่ง”
สิ้นเสียง เหล่าขุนนางเก่าต่างทยอยตายต่อหน้าหนานกงเย่ เมื่อสอบปากคำนางกำนัลทั้งหมดก็ไม่มีผู้ใดบอกได้ว่าเฟิ่งหลิงอวิ๋นอยู่แห่งหนใด