องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 946 ตามเสด็จปู่ให้ไปคิดบัญชี
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 946 ตามเสด็จปู่ให้ไปคิดบัญชี
“เช่นนั้นแล้วนางกล่าวสิ่งใด ได้สั่งสอนเจ้าหรือไม่?”
“สั่งสอนแล้ว เสด็จยายบอกว่าข้าคือหลานคนโต แม้เป็นญาติที่เกี่ยวข้องฝั่งแม่ แต่ก็ต้องมีแบบอย่างที่ดี ห้ามไม่มีระเบียบกฏเกณฑ์”
“เสด็จยายของเจ้ากล่าวถูกต้องแล้ว แต่จำไว้นะ ก็อย่าทำให้ตนเองกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม วันข้างหน้าก็ต้องพยายามช่วงชิงด้วยตนเอง อย่าเพราะว่าเจ้าเป็นหลานคนโต ก็เลยไม่สามารถพยายามช่วงชิงได้ หากเจ้าเจอสิ่งที่ชอบ ก็ต้องช่วงชิงมา”
เฮ่าเหวินคิดพิจารณาอยู่สักครู่หนึ่ง มองเฮ่าเทียนที่ไม่ได้ของเมื่อครู่นี้แล้วกล่าวขึ้นว่า“ข้าต้องการสิ่งนั้น”
“เช่นนั้นเจ้าเอาไปเถิด”
“ได้”
เฮ่าเหวินเอื้อมมือไปหยิบยาสมุนไพร แล้วดอมดม จากนั้นขมวดคิ้วกล่าวถามว่า“เสด็จย่า นี่คือสิ่งใด?”
“เจ้าว่าคือสิ่งใดล่ะ?”ฉีเฟยอวิ๋นค่อนข้างรักเฮ่าเหวิน เด็กคนนี้รู้เรื่องรู้ความ
“ข้าคิดว่าคือดอกไห่ถาง แต่พอเอามาแล้วไม่ใช่ เหตุใดไม่เข้าใจเลย”
“อืม เจ้าฉลาดมาก นี่คือดอกไห่ถาง แต่ดอกไห่ถางก็ไม่เหมือนกัน ประเภทนี้คือบ่มเพาะออกมา ตอนที่ดอกไม้บานลมพัดปลิดปลิวหิมะโปรยปราย ตอนที่ดอกไม้ล่วงหล่นได้เริ่มวสันตฤดู”
เฮ่าเหวินราวกับได้รับของล้ำค่า กล่าวว่า“เช่นนั้นสิ่งนี้ก็เป็นยาสมุนไพรที่ไม่เลวทีเดียว”
“แน่นอน เจ้าเก็บไว้นะ รอถึงเวลาที่เจ้ารู้ว่ายานี้สามารถทำสิ่งใดได้ ก็ถึงเวลาที่เจ้าจะได้เข้าเรียนรู้วิชาทางการแพทย์แล้ว ”ฉีเฟยอวิ๋นลูบเฮ่าเหวินเฮ่าเหวินมีความสุขเป็นอย่างมาก แล้วมองอามู่
อามู่กล่าวขึ้นว่า“หากเจ้าชอบที่จะอยู่ที่นี่ หากเสด็จย่าของเจ้าอนุญาต เช่นนั้นเจ้าก็อยู่เถิดนะ”
พ่อลูกมีความผูกพันกัน แน่นอนว่าอามู่รู้ความคิดของลูกชาย
ฉีเฟยอวิ๋นไม่รอให้เฮ่าเหวินกล่าวอะไร เลยกล่าวว่า“เช่นนั้นเจ้าอยู่เถิด”
เฮ่าเหวินดีใจเป็นอย่างมาก รีบยกสองมือขึ้นหันไปทำความเคารพฉีเฟยอวิ๋น
“เจ้าเข้าไปดูด้านในก่อน ข้าจะคุยกับท่านพ่อของเจ้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าเหวินกอดดอกไห่ถางที่อยู่ในมือเข้าไปศึกษาอย่างมีความสุข ฉีเฟยอวิ๋นเลยได้พูดคุยกับอามู่
เฮ่าเทียนกลับมาถึงจวนอุปราช แล้วเดินไปหาหนานกงเย่ด้วยความเดือดดาล พอมาถึงด้านนอกประตูได้ถูกคนรั้งไว้ มีคนเกรงว่าจะรบกวนหนานกงเย่ ทำให้ล่าช้าต่ออาการโรคของหนานกงเย่
เฮ่าเทียนกล่าวด้วยความเดือดดาลว่า“หลีก ข้าต้องการพบเสด็จปู่ พวกเจ้าไม่มีสิทธิขวาง ออกไป!”
แม้ว่าเฮ่าเทียนจะอายุน้อย แต่ทว่าเขาหยิ่งผยอง อยู่ที่จวนอุปราชเขาไม่เกรงกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น
หนานกงเย่ได้ยินเสียงหลานโวยสนั่นอยู่ด้านนอก กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาขึ้นว่า “ให้เทียนเอ๋อร์เข้ามา ผู้ใดขวางเขา?”
คนที่อยู่หน้าประตูจนปัญญา เลยจำใจต้องให้เฮ่าเทียนเข้าไป
เข้ามาถึงด้านในห้อง เฮ่าเทียนจึงรีบเดินไปดูหนานกงเย่ พอมาถึงตรงหน้าได้สูดจมูกฮึดฮัด ร่ำไห้ออกมา
หนานกงเย่นึกว่าเด็กน้อยคนนี้เจ็บช้ำสงสารที่เขาป่วย เลยกล่าวว่า“ร้องไห้ทำไม ปู่ยังไม่ใช่ว่ายังปกติไม่ตายหรือ?”
เฮ่าเทียนเช็ดซับน้ำตา กล่าวว่า“เสด็จปู่ยังดีอยู่ ไม่มีทางตาย เสด็จปู่จะมีอายุยืนร้อยปี ท่านพี่บอกว่าเขาจะตั้งใจเรียนวิชาทางการแพทย์ เสด็จปู่จะต้องไม่เป็นไร”
หนานกงเย่ลูบเฮ่าเทียน กล่าวขึ้นว่า“ขึ้นมาเถิด มาอยู่เป็นเพื่อนปู่สักครู่ คนเหล่านี้ไม่ใช่คนดี หลอกลวงปู่”
“พวกเขายังรั้งขวางข้าไม่ให้ข้าเข้ามาเยี่ยมเสด็จปู่ด้วย”
เฮ่าเทียนกล่าวจบจึงมองไปทางองครักษ์ที่อยู่หน้าประตูคิดเรื่องใช้ไม้กระดานตีพวกเขา
หนานกงเย่กล่าวว่า“รอปู่หายแล้ว จะให้พวกเขาขอโทษเจ้า เจ้าเข้าไปด้านใน แล้วถอดรองเท้าออกเลย”
เฮ่าเทียนไม่ได้ถอดรองเท้า กลับกันได้เอากระดาษที่อยู่ในอ้อมกอดออกมา มองหนานกงเย่พร้อมกับกล่าวว่า“เสด็จปู่ ท่านดูสิ เสด็จย่าผู้นี้ร้ายมาก คิดไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนชื่อเทียนเอ๋อร์ เทียนเอ๋อร์ไม่ชอบ เสด็จปู่จะต้องแก้แค้นให้เทียนเอ๋อร์นะ
ท่านพ่อก็ไม่ช่วยข้า แล้วก็ช่วยเสด็จย่ากัน”
เป็นเวลานานหนานกงเย่ถึงได้มองไปที่ของในมือเฮ่าเทียน มองเห็นตัวอักษรเหล่านั้นบนกระดาษ เขาสีหน้าเปลี่ยนทันที เขาหยิบกระดาษนั้นมาดู แขนถึงกับสั่นระริก
“นี่คือ?”
หนานกงเย่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเห็นลายมือของฉีเฟยอวิ๋น
“สิ่งนี้เอามาจากไหน?”หนานกงเย่สั่นเทา
เฮ่าเทียนกล่าวว่า“ด้านนอกเมืองหลวงสิบลี้ มีหญิงผู้หนึ่งที่อายุดูน้อยกว่าท่านแม่ บอกว่าคือเสด็จย่าของข้า ข้าไม่เชื่อ!”
เฮ่าเทียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความสุข เปลี่ยนชื่อให้เขา เขาต้องการมาหาเสด็จปู่ให้ไปแก้แค้นให้
หนานกงเย่มองไปทางประตู กล่าวด้วยความโมโหว่า“เข้ามานี่!”
คนที่อยู่ด้านหน้าประตูต่างทยอยเข้ามา พอหนานกงเย่เจอคนเลยถามด้วยความโมโหว่า“สิบลี้นี้ผู้ใดมาหรือ?”
เวลานี้พ่อบ้านอาวุโสเดินมาด้านหน้า กล่าวว่า“เล่ากันว่าพระชายากลับมาแล้ว แต่สองวันก่อนหิมะตกหนัก เลยไม่สามารถเข้าเมืองหลวงได้ ก็เลยไม่ได้มา กระหม่อมก็อยากจะไปดู วันนี้ล้วนไปแล้ว เมื่อครู่เพิ่งจะมีคนมารายงานข่าวดี เสี่ยวเฉียวจวิ้นจู่คลอดแล้ว เป็นคู่ ยินดีกับท่านอ๋องด้วยได้เป็นท่านปู่แล้ว”
พ่อบ้านกล่าวอย่างมีความสุข ความสามารถของซื่อจื่อคนที่ห้ามากมาย เบิกยาไม่กี่รส หลังจากกินแล้วก็ให้กำเนิดลูกสองคน เรื่องนี้ก็เป็นที่รู้กันดี ตั้งแต่องค์หญิงใหญ่จนถึงเสี่ยวเฉียวจวิ้นจู่ ได้เป็นที่ยืนยันสิ่งเหล่านี้แล้ว
แต่เล่ากันว่ายานี้แพงมาก คนทั่วไปไม่ได้กินหรอก เพราะฉะนั้นในเมืองหลวงจะมีไม่กี่คนที่ได้กิน
มีตั๋วเงินแต่ไร้โชคชะตาพรมลิขิต ซื่อจื่อคนที่ห้าไม่อยู่ หาคนไม่เจอ เอาตั๋วเงินมาก็ไร้ประโยชน์
มีเพียงคนในจวนแล้ว ถึงได้มีโอกาส
หนานกงเย่กอบกุมมือแน่น กล่าวตะคอกว่า“เตรียมรถ”
พ่อบ้านอับอายจนเหงื่อตก จนเวลานี้แล้ว ท่านเพิ่งจะเตรียมรถ ท่านไปทำอะไรที่ไหนตั้งนาน?
แต่ก็ไม่สามารถที่จะไม่สนใจเขาได้ เขาเป็นอย่างนี้แล้ว
พ่อบ้านรีบไปจัดเตรียม จากนั้นเรียกคนมาประคองหนานกงเย่ลงจากเตียง หนานกงเย่นั่งบนรถเข็นไปที่รถม้า
เฮ่าเทียนนั่งหดหู่ใจอยู่อีกด้านดูแล้วเป็นคนที่รู้จักกัน เช่นนั้นไม่สามารถที่จะพูดมั่วซั่วได้
หนานกงเย่นั่งมองกระจกอยู่ในรถม้า เฮ่าเทียนคิดป่วยเป็นอย่างนี้แล้ว ยังมีอะไรน่าดูอีก ขาเท้าก็ไม่ดี แล้วก็เดินไม่ได้ด้วย
เสด็จย่าสวยสง่าอายุน้อย แน่นอนว่าไม่ชอบเสด็จปู่หรอก
เฮ่าเทียนคิด เป็นอย่างนี้ล่ะก็ เช่นนั้นต้องให้เสด็จย่าผู้นั้นก็เปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์แล้วเช่นกัน แบบนั้นถึงจะคู่ควรกัน พอคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เฮ่าเทียนเลยพยักหน้า อย่างนี้ดี
ปู่กับหลานมาถึงเนินเขาสิบลี้ทางนอกเมืองหลวง ก็มองเห็นด้านนอกห้องมีคนยืนอยู่จำนวนไม่น้อยและรถม้าจำนวนไม่น้อยเลยเช่นกัน
เฮ่าเทียนไม่ได้มีความสุขขนาดนั้น เหตุใดถึงได้มีคนมาเยอะขนาดนี้?
รถม้าของจวนแม่ทัพสามสี่คัน ยังมีรถม้าของวังหลวงและอื่นๆอีก คนเยอะขนาดนี้?
พอหยุดลงได้สักพักหนึ่ง เฮ่าเทียนหันไปมองหนานกงเย่ที่ลงรถ มีคนผลักรถเข็น ปู่กับหลานหันเดินเข้าไปในเรือน
เฮ่าเทียนมองคนบริเวณโดยรอบ มองเสด็จตากับเสด็จยาย แต่เขาไม่ชอบพวกเขาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว พวกเขาพูดนั้นเขาล้วนไม่ชอบ โดยเฉพาะพวกเขาพูดถึงเสด็จปู่
หากเปลี่ยนเป็นคนปกติ ก็คงต้องวิ่งไปทำความเคารพนานแล้ว เฮ่าเทียนทำเหมือนไม่เห็นทั้งสองคน ก้าวเท้าเดิน จูงมือของหนานกงเย่มุ่งเดินไปทางเรือน
องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้มองเด็กคนนี้ก็ไม่รู้ว่าความโมโหมาจากไหน หนานกงเย่ปล่อยตามอำเภอใจจนไม่ไหวแล้ว
“เจ้าดูเขา”องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา อวิ๋นหลัวฉวนเหลือบมองคือไม่ไหวจริงๆ แต่พวกเขาคือเสด็จตา อย่างไรก็ไม่สามารถไปสั่งสอนควบคุมเขา หนานกงเย่ก็ไม่ยินยอมด้วย
อวิ๋นหลัวฉวนมองปู่และหลานที่มาถึงหน้าประตู รู้สึกว่าเป็นอย่างนี้ ดูสิว่าจะมีคนจัดการพวกเขาหรือไม่
“ฝ่าบาท วันนี้คนเยอะ หม่อมฉันว่าวันพรุ่งนี้พวกเราค่อยมาไหมเพคะ”อวิ๋นหลัวฉวนก็ไม่อยากอยู่ต่อ
เดิมองค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้อยากจะอยู่ดูฉีเฟยอวิ๋น รอแล้วครึ่งชั่วยามก็ไม่ออกมารับเลย
เขาเป็นองค์จักรพรรดิ การรักษาหน้าก็คือยังต้องการอยู่