องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 949 เสี่ยวเฉียวต้องการแยกทาง
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 949 เสี่ยวเฉียวต้องการแยกทาง
ในสายตาคนอื่นนั่นคือเกียรติอันยิ่งใหญ่
แต่ในสายตาของหนานกงเย่ มันคือความปลิ้นปล้อนของจักรพรรดิเหยี่ยนตี้!
พระองค์ไม่เต็มใจจะส่งโอรสของตัวเองไปจึงให้เขาส่งลูกชายของเขาไป ในตอนที่ลูกชายของเขาไปปกครองยังสถานที่ต่างๆ เขาตั้งตารอคอยให้จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ให้กำเนิดโอรสทุกวัน จะได้ให้โอรสของพระองค์ไปปกครองยังที่นั้นๆ
ตอนนี้จักรพรรดิเหยี่ยนตี้มีโอรสสี่ห้าพระองค์แล้ว ในที่สุดก็ถึงวันที่เขารอคอย ลองดูสิว่าคราวนี้จะมีข้อแก้ตัวอะไรอีก
ถ้าองค์หญิงไม่ไปอามู่ก็คงต้องไป เขาจำเป็นต้องให้องค์หญิงไปและทำให้จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ไม่สบายพระทัย
ฉีเฟยอวิ๋นเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้าของหนานกงเย่ หนานกงเย่หันกลับมาและจับมือฉีเฟยอวิ๋น สายตาของทั้งคู่สอดประสานกัน หนานกงเย่กอดฉีเฟยอวิ๋นไว้ “คิดว่าจะไม่ได้เจอกันอีกเสียแล้ว คิดว่าข้าจะได้พบกับอวิ๋นอวิ๋นอีกครั้งก็ต่อเมื่อข้าตายไปแล้วเท่านั้น”
ฉีเฟยอวิ๋นขบขัน “ใครบอก ที่นั่นไม่มีสารพันธุกรรมเหลือแล้ว อะไรก็ไม่เหลือเลย ข้าจะกลับไปได้อย่างไร และต่อให้ท่านอ๋องสิ้นพระชนม์ก็ไปหาข้าที่นั่นไม่ได้อยู่ดี ท่านอ๋องโง่หรือเปล่า”
“…..” หนานกงเย่ผละออกและมองฉีเฟยอวิ๋น
“ท่านอ๋อง ข้าจะตรวจร่างกายให้นะ”
นั่นเองหนานกงเย่จึงดึงมือของฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปใกล้รถเข็น ฉีเฟยอวิ๋นจับมือหนานกงเย่และเริ่มตรวจอาการ
หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋น “ท่านยังมี…”
ฉีเฟยอวิ๋นชายตามอง “ยังมีสิเพคะ ระบบนี้จะอยู่กับข้าตลอดไป แน่นอนว่ากับเจ้าห้าก็เช่นกัน ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมลูกๆ คนอื่นจึงไม่มีนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้
ข้าไม่ได้ใช้มาหลายปีเพราะไม่อยากทำลายสิ่งแวดล้อมชีวกายภาพ”
“สิ่งแวดล้อมชีวกายภาพ?” หนานกงเย่ยังไม่คุ้นเคยกับคำแปลกๆ เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งแวดล้อมชีวกายภาพเป็นอย่างไร
ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายว่า “ก็คือการทำลายสิ่งที่มีมาแต่แรกเริ่มน่ะ อย่างเช่นภูเขาแม่น้ำ ต้นไม้ดอกไม้
การเกิดและการตายคือสิ่งที่สวรรค์กำหนด ข้าไม่อยากแทรกแซง ข้าเป็นเช่นนี้กับคนอื่นๆ
แต่ข้าอยากจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายๆ ปี อยากใช้ชีวิตดีๆ ร่วมกับท่านอ๋อง”
หนานกงเย่ไม่พูดอะไร ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและหยิบมีดขึ้นมากรีดที่ข้อมือ จากนั้นจึงยื่นข้อมือไปตรงหน้าหนานกงเย่ หนานกงเย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะดึงข้อมือของฉีเฟยอวิ๋นเข้าหาและดูดเลือดของนาง
ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ตรงหน้าหนานกงเย่และโอบศีรษะของเขาไว้
ภายในห้องเงียบสงัด เส้นผมของหนานกงเย่ร่วงลงสู่พื้น ผมสีขาวผลัดออกไปและแทนที่ด้วยเส้นผมสีดำนิลที่งอกขึ้นมา การฟื้นตัวเป็นไปอย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง
หนานกงเย่ปล่อยมือฉีเฟยอวิ๋นและก้มลงมองเส้นผมสีเงินบนพื้น จากนั้นจึงหันกลับมามองที่ไหล่ของตน
ฉีเฟยอวิ๋นก้าวถอยหลังพลางจับมือของหนานกงเย่ “ท่านลองลุกขึ้นสิ”
หนานกงเย่มองสองขาของตนเอง เขาเลิกผ้าห่มขึ้นและลุกออกจากรถเข็น เมื่อเขาก้าวเดินไปสองสามก้าวฉีเฟยอวิ๋นจึงปล่อยมือ แต่หนานกงเย่รีบคว้ามือของนางไว้ทันทีเพราะกลัวว่าฉีเฟยอวิ๋นจะทิ้งเขา
ฉีเฟยอวิ๋นขบขัน “ท่านทำอะไรน่ะ ข้าไม่หนีไปไหนหรอก”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะหนีหรือไม่หนี ก็ท่านใจร้ายขนาดนั้น” หนานกงเย่ทำหน้าโกรธๆ นางเป็นผู้หญิงใจร้าย เพราะอย่างนั้นนางจึงไม่เคยกลับมาเลย
ฉีเฟยอวิ๋นมองออกว่าหนานกงเย่กำลังคิดอะไร รู้ว่าไม่ได้คิดถึงนาง รู้ว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับนาง!
ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยอย่างโกรธเคือง “ไม่ว่าจะหนีไปไหน หัวใจของข้าก็อยู่กับท่าน แม้ว่าวิญญาณของข้าจะสลายข้าก็หนีจากเงื้อมมือท่านไม่พ้น ท่านยังมีห่วงทองอยู่ในมือ ท่านจะทิ้งเมื่อใดก็ได้ ท่านทำให้ข้าติดกับดัก เป็นท่านที่ไม่ไปตามหาข้า ตัวเองไม่มีความสามารถแล้วยังจะมาแค้นอะไรอีก
คนที่ควรจะโกรธคือข้าต่างหาก ท่านไม่ไปตามหาข้า ข้าก็ไม่ควรจะกลับมา อยู่ที่นั่นข้าทำอะไรไม่ได้ แต่ข้าก็กลับมาด้วยตัวเองมิใช่หรือ”
“ท่านกลับมาหาข้างั้นหรือ? ข้าไม่ไปตามหาท่านงั้นหรือ?” เวลานี้หนานกงเย่มีพละกำลังเต็มเปี่ยมราวกับกลับมาอายุยี่สิบอีกครั้ง เขามองฉีเฟยอวิ๋นและย่างสามขุมเข้าไปหา ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากจะถอยหนี ต่อให้หนานกงเย่จะแข็งแกร่งมาก ทว่าเขาจะทำอะไรนางได้
แต่ต้นกล้าที่ป่วยเมื่อครู่นี้ หลังจากดื่มเลือดไปเมื่อครู่ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน และเขาก็ก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
น่ากลัว… แม้ว่าจะไม่มีความดุร้ายเผยให้เห็นบนใบหน้า แต่ดวงตาของเขากลับน่ากลัวเหมือนจะกลืนกินคนได้ทั้งเป็น ทีละนิดๆ
ฉีเฟยอวิ๋นร่างกายบอบบางอยู่แล้ว เมื่อถูกหนานกงเย่บีบคั้นเช่นนี้นางจึงก้าวถอยหลัง
ที่ด้านหลังมีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นถูกกั้นไว้ตรงนั้น ขณะนี้ใบหน้าของหนานกงเย่เริ่มหล่อเหลาขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าที่เคยซีดขาวก่อนหน้านี้เริ่มมีสีแดงระเรื่อ และแสงสีแดงก็ปรากฏให้เห็นบนหน้าผาก
ฉีเฟยอวิ๋นที่อยู่ชิดผนังเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ท่านก็อายุมิใช่น้อยแล้ว เด็กๆ ยังอยู่ข้างนอก เสี่ยวเฉียวกับหวังฮวายอันก็อยู่ในนี้ ท่านหน้าไม่อายหรืออย่างไร”
“จะเรียกว่าหน้าไม่อายได้อย่างไร ข้าแตะต้องพระชายาของตัวเองไม่ได้แล้วหรือ ยิ่งไปกว่านั้นพระชายายังเด็กขนาดนี้ ข้าเองก็คงไม่แก่แล้วละ”
หนานกงเย่ใช้มือทั้งสองข้างโอบรอบเอวของฉีเฟยอวิ๋นและดึงนางเข้ามาแนบกาย
ทั้งสองคนหายใจกระชั้นถี่เพราะไม่ได้กอดกันแบบนี้มานานหลายปี พวกเขารู้สึกเหมือนคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก ทั้งประหม่าและตื่นเต้น ควบคุมตัวเองไม่ได้กันทั้งคู่
ถึงอย่างไรก็คิดถึงมานานหลายปีและใช่ว่าตลอดหลายปีมานี้จะไม่คิดอะไรเลย ถ้าในหัวใจมีแค่คนคนนี้เพียงผู้เดียว เช่นนั้นแล้วควรจะจัดการกับคนผู้นี้อย่างไร?
ฉีเฟยอวิ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าของนางแดงก่ำ
“หนานกงเย่…” ยังไม่ทันที่ฉีเฟยอวิ๋นจะพูดจบ ริมฝีปากของนางก็ถูกปิดกั้น ฉีเฟยอวิ๋นเบิกตากว้าง ลมหายใจของหนานกงเย่หนักหน่วงและแทบทนไม่ไหวที่จะกลืนกินฉีเฟยอวิ๋นลงไปทั้งตัว
เพื่อที่เขาจะได้ชดเชยช่วงเวลาหลายปีที่ไม่ได้พบเจอนาง
ตอนนี้ฉีเฟยอวิ๋นอายุสิบแปดปีแล้ว ช่วงหลายปีที่ผ่านมาความคิดถึงที่เขามีต่อฉีเฟยอวิ๋นยิ่งแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ
เขาเกลียด เกลียดโลกนี้ เกลียดทุกคน
ทั้งสองคนจูบกันจนกระทั่งหวังฮวายอันเปิดประตูเข้ามา ฉีเฟยอวิ๋นรีบเบนหน้าหนีทันที
ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังไปและยุ่งอยู่กับการเช็ดมุมปาก เจ็บแทบแย่ ไปเรียนรู้วิธีกัดมาจากไหน
หนานกงเย่หันไปมองหวังฮวายอันและเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “อยากตายรึ”
หวังฮวายอันไม่ได้สำลักตาย แต่จะให้พูดอย่างไร
เขาเอ่ยอย่างจนปัญญาว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะถามนิดหน่อย เมื่อใดเสี่ยวเฉียวจึงจะกินอะไรเสียที วันนี้นางยังไม่ได้กินอะไรเลย แม้แต่น้ำนมก็ไม่มี”
หวังฮวายอันกลัดกลุ้มเรื่องน้ำนมมาก ไม่มีฮูหยินกั๋วจิ้วคนไหนให้นมลูกเองทั้งวัน ในจวนของพวกเขาล้วนมีแม่นมกันทั้งนั้นมิใช่รึ เหตุใดจะต้องให้นมเองด้วย
“วันนี้เดี๋ยวก็มีน้ำนมแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองหวังฮวายอัน รู้สึกแปลกใจกับความไม่พอใจของเขา นางไม่รู้ว่าเขาไปไม่พอใจอะไรมาจากไหน ลูกชายสองคนของเขาก็เป็นเด็กดีไม่ใช่เหรอ
“ร่างกายของเสี่ยวเฉียวอ่อนแอ ถ้าต้องเลี้ยงและให้นมลูกเองข้าเกรงว่าจะไม่เหมาะ คงจะดีกว่าถ้าให้แม่นมมาเลี้ยง เหตุใดจะต้องเลี้ยงเองด้วย” หวังฮวายอันปล่อยวางเรื่องนี้ไม่ได้
ฉีเฟยอวิ๋นมองหวังฮวายอันที่ยืนทึ่มและเอ่ยอย่างโกรธเคือง “ปล่อยให้เสี่ยวเฉียวเลี้ยงเอง ส่วนท่านก็หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว”
หวังฮวายอันชะงัก แม้ว่าฉีเฟยอวิ๋นจะเป็นแม่ของเสี่ยวเฉียว แต่นางก็ไม่ควรจะพูดแบบนั้น
“ข้า…”
“กั๋วจิ้ว ท่านทำอะไรน่ะ” เสียงที่ไม่พอใจของเสี่ยวเฉียวดังมาจากในห้อง นางวางแผนว่าจะไม่กลับไปงั้นหรือ
เมื่อหวังฮวายอันหันกลับไปก็ได้ยินเสี่ยวเฉียวพูดว่า “ในเมื่อท่านไม่พอใจคำพูดของท่านแม่ ต่อไปก็อย่ามาหาข้าอีก หย่ากับข้าเถอะท่านกั๋วจิ้ว”
เสี่ยวเฉียวหันกลับไปด้วยสีหน้าเย็นชา
หวังฮวายอันเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เสี่ยวเฉียว “ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงแค่อยากให้ท่านให้แม่นมมาเลี้ยงลูกเท่านั้น”
“แม้ว่าการใช้แม่นมจะทำให้สะดวก แต่ใครจะรู้ว่าเป็นโรคอะไรบ้างหรือเปล่า ปกติเป็นคนสะอาดสะอ้านหรือไม่ ความคิดความอ่านเป็นอย่างไร ทุกคำพูดทุกการกระทำของพวกนางจะส่งผลถึงลูก ข้าไม่ชอบ ถ้าแม่นมหัวเราะเสียงดัง ลูกก็จะเป็นแบบเดียวกัน
ท่านกั๋วจิ้วกลับไปเถิด พรุ่งนี้ข้าจะส่งหนังสือหย่าไปให้ ส่วนเรื่องลูก ข้าคงจะมอบให้ท่านไม่ได้ กั๋วจิ้วต้องให้ข้าดูแล ไม่ต้องมาพูดเรื่องการดูแลเด็กๆ อีก
ข้ายังมีเรือนของตัวเองอยู่ที่จวนอุปราช ดังนั้นข้าจะไปอยู่ที่นั่น”
“ท่านทำอะไรน่ะ ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย”
หวังฮวายอันตกใจ เขาต้องอยู่กับเสี่ยวเฉียวทั้งวันทั้งคืน มิเช่นนั้นเขาจะนอนไม่หลับ
“ท่านไม่ได้พูดอะไรเลย การที่ท่านไปพูดแบบนั้นกับท่านพ่อท่านแม่ก็เหมือนกับการตบหน้าข้า ถ้าข้าไปพูดแบบนั้นกับท่านพ่อท่านแม่ของท่านบ้างล่ะ”
เสี่ยวเฉียวคิดแล้วรู้สึกน้อยใจ
หวังฮวายอันเพิ่งจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง “ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าเสียไปตั้งนานแล้ว!”
เสี่ยวเฉียวมองเขาและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “แยกทางกันเถอะ!”