องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 950 คนที่ราชครูจวินไม่ยอมรับ
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 950 คนที่ราชครูจวินไม่ยอมรับ
หวังฮวายอันไม่เต็มใจที่จะหย่าร้าง แต่เมื่อเห็นท่าทางของเสี่ยวเฉียว เขาก็กลัวและรีบออกจากบ้านเพื่อไปหาฉีเฟยอวิ๋น เขาทำได้เพียงขอความเมตตา
ฉีเฟยอวิ๋นมองดูหวังฮวายอันอยู่ครูหนึ่ง นางไม่ได้พบหวังฮวายอันมาหลายปีแล้ว
“เสี่ยวเฉียวไม่มีทางหย่า ท่านดูแลเสี่ยวเฉียวให้ดี ๆ” บางครั้งฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วผู้ชายต้องการจะทำอะไร ให้เขาทำอะไร เขาก็ไม่ทำ ไม่ให้เขาทำอะไร เขาก็ไม่ทำ
หากทำผิดและหันกลับไปถาม เขาก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำอะไรผิด
หวังฮวายอันมองไปที่หนานกงเย่:“ทำไมท่านยังหนุ่มอยู่?”
หนานกงเน่กำลังอึดอัดใจ เป็นเพราะหวังฮวายอันอยู่ที่นี่ เขากับฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่สามารถทำอะไรได้
หนานกงเน่เหลือบมองหวังฮวายอันอย่างไม่พอใจ:“เจ้ายุ่งอะไรด้วย?”
เดิมทีหวังฮวายอันอยากจะด่าหนานกงเย่ แต่เพราะสถานะของเขา หวังฮวายอันจึงปล่อยผ่านไป เมื่อกลับมาที่ห้องของเสี่ยวเฉียว หวังฮวายอันก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก เมื่อครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้ว สิ่งที่เสี่ยวเฉียวกล่าวนั้นถูกต้อง และควรจะอบรมสั่งสอนลูกด้วยตนเอง
หนานกงเย่กำลังดื่มชาอยู่ในห้อง ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปเปิดประตูและสั่งให้อามู่เข้าไปก่อน ข้างนอกอากาศหนาวและยังมีเด็กอีกสองคน
อามู่พาด็ก ๆ เข้าไป เมื่อเฮ่าเทียนและเฮ่าเหวินเห็นหนานกงเย่ก็ตกตะลึงอยู่นาน อามู่ดีใจมากและรีบเดินไป:“ท่านพ่อ ท่านไม่เป็นไรแล้ว?”
“อืม” ในเวลานี้หนานกงเย่ดูเหมือนชายหนุ่มอายุยี่สิบ หน้าตาของเขางดงามราวกับภาพวาด
เฮ่าเทียนจ้องมองอยู่นาน จากนั้นก็มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นและเดินไปหาหนานกงเย่:“เสด็จปู่ ผมสีขาวของท่านล่ะ?”
“ดำหมดแล้ว” หนานกงเย่กล่าวอย่างเป็นกันเอง เฮ่าเทียนก้าวไปข้างหน้าและกล่าวว่า:“เสด็จปู่ เสด็จย่าทำใช่หรือไม่ขอรับ?”
“อืม”
“เสด็จย่า ท่านเก่งมาก!”
เฮ่าเทียนเลื่อมใสฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“ทักษะทางการแพทย์ก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีอะไรน่าเก่งกาจ เฮ่าเหวิน ดอกไห่ถังของเจ้ามีอายุยืนและมีสรรพคุณในการฟื้นคืนชีพ วันหน้าเจ้าจะได้เป็นหมอที่มีวิชาแพทย์ชั้นยอด และสามารถรักษาผู้ที่ใกล้ตายให้รอดชีวิตได้
“หลานเข้าใจแล้วขอรับ”
ใบหน้าของเด็กทั้งสองคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่และเดินไปหา
“คืนนี้พวกเจ้าก็ค้างเสียที่นี่ อามู่ เจ้ากลับไปเถอะ ต่อไปหากเด็ก ๆ สามารถเดินทางได้แล้วก็จะพามาส่ง แม่กับท่านพ่อจะคอยดู ส่วนเรื่องอื่น ๆ ไม่ต้องมารบกวน ข้ากลับมาครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้ผู้คนจากราชสำนักมา ส่วนท่านพ่อของเจ้าก็ป่วยหนักเกินเยียวยา และอาจจะตายในไม่ช้า ในเวลานี้จึงไม่อยากพบใคร
ไปบอกฝ่าบาทว่าเขาอยู่ที่เนินเขาสิบลี้ และไม่ต้องให้คนมาที่นี่ บอกว่ามีสัตว์ร้ายอยู่บนเขาและมันทำร้ายผู้คน
รอให้ผ่านช่วงนี้ไป เสี่ยวเฉียวก็จะอยู่ไฟครบแล้ว แม่กับท่านพ่อก็จะจากไป ส่วนเด็ก ๆ เมื่ออายุครบหนึ่งขวบ พวกเราก็จะพาไปด้วย และจะส่งกลับมาเมื่อพวกเขาอายุสิบขวบ”
“เช่นนั้นเจ้าห้าและคนอื่น ๆ จะไม่กลับมาหรือ หากต้องไปในอีกหนึ่งเดือนก็คงจะไม่เห็นแล้ว?”
“หากมีวาสนาจะต้องได้พบกันอย่างแน่นอน แต่หากไม่มีวาสนาก็คงไม่ได้พบกัน”
การตัดสินใจที่จะจากไปของฉีเฟยอวิ๋น ไม่สนใจว่าหนานกงเย่จะเต็มใจหรือไม่
อามู่ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก ดังนั้นเขาจึงไปจัดการ
ในคืนนั้นอามู่ส่งจดหมายไปบอกเจ้าใหญ่และคนอื่น ๆ แต่ถึงอย่างไรก็คงกลับมาไม่ทันภายในหนึ่งเดือน ประการแรกคือมีเรื่องมากมาย ประการที่สองคือการเดินทางยาวนานและอากาศหนาวเย็น จึงเป็นการยากที่จะกลับมาที่เมืองหลวง
คืนนี้ฉีเฟยอวิ๋นเป็นผู้หญิงอีกครั้ง ความเจ็บปวดจากการฉีกขาดทำให้นางไม่ได้พักผ่อนทั้งคืน แต่ร่างกายของหนานกงเย่มีพละกำลังมาก
เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นไม่เต็มใจ แต่เขาต้องการที่จะทำเช่นนี้ และสะกดจิตคนอื่น ๆ
หนานกงเย่ใช้เสียงขลุ่ยสะกดจิตให้ผู้คนหลับใหล ฉีเฟยอวิ๋นทั้งโกรธทั้งเกลียด แต่เมื่อถึงตอนกลางคืน แม้แต่พญาหมาป่าก็หลับไป
หนานกงเย่จึงไม่กลัวที่จะเคลื่อนไหวที่มีเสียงดังอีกต่อไป
ในช่วงครึ่งคืนหลังหานกงเย่ก็สงบลง และฉีเฟยอวิ๋นก็อยากไม่ลุกขึ้น เพราะนางรู้สึกไม่สบายใจ
จนกระทั่งเช้าหนานกงเย่ก็ยังไม่ได้นอน ฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะลุกขึ้น แต่ก็ถูกเขาดึงกลับไป
“นอนเถอะ ไม่ต้องไป หากเจ้าไป ข้ากลัวว่าเจ้าจะหายไปอีก”
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่ยังหนุ่มของหนานกงเย่:“ท่านอ๋อง ครั้งนี้หากพวกเราไม่ไปก็จะถูกจับได้ว่าเป็นอมตะ และจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในวันข้างหน้า”
ข้ารู้ เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ ข้าจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว จึงไม่มีเรื่องอะไรแล้ว”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นพักผ่อนอยู่ครึ่งวัน เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเที่ยง อาหารก็เตรียมพร้อมไว้แล้ว อามู่พาองค์หญิงใหญ่มาคารวะฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นให้ของบางอย่างแล้วเดินจากไป
องค์หญิงใหญ่ไม่ถือสา นางรู้ว่าแม่สามีผู้นี้ไม่ชอบคนเยอะ ๆ
ในตอนบ่ายฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่พาเด็กทั้งสองคนออกไป และไปที่หมู่บ้านห่างไกล
เมื่อไปถึงที่นั่น หนานกงเย่ก็เคาะประตู และไม่นานก็มีเสียงการเคลื่อนไหวของใครบางคน จากนั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมา
เมื่อประตูเปิด ฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นผู้หญิงที่หน้าตาคล้ายจวินเซียวเซียว หญิงผู้นั้นตกตะลึง จวินเมิ่งมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า:“พวกท่านเป็นใคร?มาหาใคร?”
“ที่นี่ใช่บ้านตระกูลจวินหรือไม่?” หนานกงเย่ถาม และรู้แล้วว่าหญิงผู้นี้เป็นใคร
จวินเมิ่งกล่าวว่า:“ใช่ พวกท่านเป็นใคร?”
“ข้าคืออ๋องเย่หรือหนานกงเย่ นี่คือฉีเฟยอวิ๋น พระชายาของข้า พวกเราสองสามีภรรยามาที่นี่เพื่อขอเข้าพบ” หนานกงเย่กล่าวอย่างราบเรียบ
จวินเมิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งและถอนสายบัว นางหันหลังกลับเข้าไปข้างใน และไม่นานก็ออกมามาเชิญพวกเขาเข้าไป
หนานกงเย่พาฉีเฟยอวิ๋นเข้าไป ในบ้านมีผู้สูงอายุนั่งอยู่สองคน ทั้งสองคนผมขาวหมดแล้ว แต่ดูพวกเขาจะยังแข็งแรง
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปคำนับราชครูจวินและฮูหยินรอง:“ฉีเฟยอวิ๋นคารวะท่านราชครูจวินและฮูหยินรอง ไม่ได้พบกันนานหลายปีแล้ว พวกท่านสบายดีหรือไม่?”
ราชครูจวินสายตาฝ้าฟาง เนื่องจากเขาอายุมากแล้ว
ฮูหยินรองจึงดีกว่า ทั้งสองคนมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างละเอียดถี่ถ้วนและงุนงงเล็กน้อย
“เป็นท่านจริง ๆ หรือ?” ราชครูจวินประหลาดใจมาก
ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามหนานกงเย่ไปข้างหน้าราชครูจวินและนั่งบนพื้น
ฮูหยินรองมองจวินเมิ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูและกล่าวว่า:“เจ้าไปเตรียมชามาให้แขกผู้มีเกียรติ”
“เจ้าค่ะ”
จวินเมิ่งหันหลังจากไป เฮ่าเหวินและเฮ่าเทียนนั่งลงข้าง ๆ
ฮูหยินรองถามเรื่องราวต่าง ๆ มากมายและบางอย่างก็รู้มาบ้างแล้ว
แต่ก็ถามว่า:“ไม่รู้ว่าข้ากับท่านราชครูจวินจะได้กลับชาติมาเกิดหรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นมองดูคิ้วที่เป็นกังวลของนาง และมองตรงไปที่บนหัวของราชครูจวิน จากนั้นก็หยิบกระดองเต่าที่นำติดตัวออกมา และจะคำนวณดวงชะตาให้ราชครูจวิน แต่ยังไม่ทันจะได้คำนวณก็ถูกหนานกงเย่จับมือไว้
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมอง หนานกงเย่ หนานกงเย่กล่าวว่า:“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเปิดเผยชะตาฟ้าลิขิต เจ้าเปิดเผยชะตาฟ้าลิขิตมากเกินไปแล้ว ข้าไม่ต้องการให้เจ้าล่วงเกินพวกเขา พวกเขาอยู่บนสวรรค์ พวกเราอยู่บนพื้น พวกเราสู้ไม่ได้ และข้าก็ยอมแพ้!”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่หนานกงเย่และนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นไม่คิดว่าหนานกงเย่จะสามารถยอมแพ้ได้
เมื่อนึกถึงหน้าตาท่าทางที่หยิ่งผยองของหนานกงเย่ในตอนที่เขายังหนุ่ม ฉีเฟยอวิ๋นก็ดึงมือของเขาออก:“ครั้งสองครั้งคงไม่เป็นไร”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่ราชครูจวิน:“ท่านราชครู ท่านบอกวันเดือนปีมา”
ราชครูจวินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และมองจวินที่เข้ามารินน้ำชา:“หญิงสาวผู้นี้เป็นเหลนของข้า ข้าชราแก่มากแล้ว และสามารถตายได้อย่างสงบ สวรรค์ไม่เมตตาข้า
ตั้งแต่อดีตมาจนถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์หรือเป็นขุนนางที่ทุจริต มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีจุดจบที่ดี และข้าก็ไม่ขาดแคลนสิ่งเหล่านั้นแล้ว
ดังนั้นจึงไม่สนใจอะไรอีกต่อไป
ข้าเพียงแค่อยากรู้ว่าหญิงสาวผู้นี้จะเป็นอย่างไรในวันข้างหน้า”
ราชครูจวินมองจวินเมิ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จวินเมิ่งเลยวัยที่จะออกเรือนแล้ว แต่ราชครูจวินไม่ยอมรับคนธรรมดาทั่วไป ดังนั้นเขาจึงปล่อยวางไม่ได้