องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 954 เป็นคนโง่เง่าหรือไม่
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 951 เป็นคนโง่เง่าหรือไม่
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่จวินเมิ่งและกล่าวว่า:“เจ้าชื่ออะไร?”
“จวินเมิ่ง”
“จวินเมิ่ง?”
ฉีเฟยอวิ๋นเขย่ากระดองเต่า และเหรียญทองแดงหลายเหรียญก็หล่นลงมา
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ นางมองจวินเมิ่งอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า:“เจ้าบอกวันเดือนปีมา”
จวินเมิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง:“ดวงชะตา!”
ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึง นางหยิบกระดองเต่าขึ้นมาและทำการคำนวณต่อ นางมองไปที่จวินเมิ่งและราชครูจวิน:“ยินดีกับท่านราชครูจวินด้วย”
“……”
ราชครูจวินตกตะลึง:“มีอะไรน่ายินดีกัน?”
“ตระกูลจวินมีวีรบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อที่จะรวบรวมใต้หล้าให้เป็นปึกแผ่น ท่านราชครูจวินได้เสียสละคนในครอบครัวเพื่อแลกกับการรวบรวมใต้หล้าให้เป็นปึกแผ่นของท่านอ๋องเย่ สวรรค์ไม่มีทางที่จะลืมท่านราชครูจวิน”
สีหน้าของจวินเมิ่งทรุดลง:“ท่านต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มและมองไปที่จวินเมิ่ง:“เด็กคนนี้หน้าตางดงาม และพ่อแม่ของนางก็เป็นคนฉลาด แม้ว่าจะเคยทำผิด แต่นางก็ฉลาดและจิตใจดี บางทีอาจเป็นการสั่งสมที่ดีในชาติปางก่อนก็ได้ หรือบางทีอาจเป็นคำสอนที่ดีของท่านราชครูจวิน ข้าเห็นว่าดวงชะตาของนางได้เคลื่อนย้ายแล้ว และจะได้แต่งงานในไม่ช้า
สามีในอนาคตของนางจะต้องเป็นผู้มีคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ และเป็นจักรพรรดิที่ดีแห่งยุค”
“หา?”
ราชครูจวินและฮูหยินรองตกตะลึง
จวินเมิ่งเงียบและไม่พูดไม่จาอยู่นาน
ราชครูจวินไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบ:“มิน่าใช่ องค์ชายของฝ่าบาท……อายุ……”
ราชครูจวินมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นอยู่นาน:“ขอถามว่าตอนนี้พระชายาอายุเท่าไหร่แล้ว?”
“สิบแปดแล้ว”
ราชครูจวินไตร่ตรองอย่างรอบคอบ:“อาจจะเป็นองค์รัชทายาท?”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า:“หากข้าจำไม่ผิด เด็กคนนี้น่าจะอายุยี่สิบแล้ว?”
จวินเมิ่งหน้าแดง เมื่อหญิงสาวอายุสิบสามก็ต้องหมั้นหมายแล้ว และเมื่ออายุสิบห้าก็จะต้องแต่งงาน
นางอยู่ที่นี่ก็สุขสบายดี และมีคนมาขอแต่งงานไม่น้อย แต่ท่านปู่อาวุโสไม่ยอมรับ และนางก็ไม่ชอบเช่นกัน จนเวลาล่วงเลยมาถึงอายุยี่สิบแล้ว
เดิมทีนางอยากอยู่ดูแลท่านปู่อาวุโสให้ดี ๆ และไม่คิดว่าจะพูดถึงเรื่องของเขา แต่องค์รัชทายาท?
จวินเมิ่งไม่พูดอะไร นางเพียงแค่ก้มหน้าลง
ราชครูจวินกล่าวว่า:“ข้าคิดว่าจะรอให้ท่านอ๋องเย่และพระชายาเย่มาที่นี่ ข้าจะฝากฝั่งเด็กคนนี้ไว้กับพวกท่าน และคิดว่าจะเลือกบรรดาซื่อจื่อที่ดีให้กับนาง แต่ไม่คิดว่านางจะมีดวงชะตาเช่นนี้ แต่ข้าไม่อยากจะขัดแย้งกับตำหนักใดในวังทั้งสิ้น
“แต่นางมีชะตากรรมเป็นหงส์ที่ต้องอยู่ไปในวัง อย่างน้อยก็เจ็ดสิบปี” เมื่อฉีเฟยอวิ๋นพูดถึงเรื่องนี้ ราชครูจวินก็ตกตะลึง
“ท่านว่าอะไรนะ เจ็ดสิบปี?” ราชครูจวินสูดหายใจเข้าลึก ๆ
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“นี่เป็นชะตากรรมที่สวรรค์ลิขิต เหตุใดท่านราชครูจวินต้องถือสา?”
“เช่นนั้นองค์รัชทายาทล่ะ?” ราชครูจวินเป็นกังวล
“ท่านราชครูจวิน ชะตาชีวิตของหงส์คือชะตาของฮองเฮา หากชะตาชีวิตของหงส์น้อยกว่าเจ็ดสิบปี นั่นก็ไม่ใช่ และพระพันปีก็มีชะตานี้เช่นกัน”
ราชครูจวินรู้ว่าไม่สามารถถามได้ เขาจึงไม่ถามอีก
เขาถอนหายใจ:“ช่างเถอะ ปล่อยนางไป”
ฮูหยินรองกล่าวว่า:“พระชายาเย่ วันนี้ก็พักเสียที่นี่เถิด หญิงสาวผู้นี้ทำอาหารเป็น และเล่านิทานเพื่อผ่อนคลายได้”
“ก็ดี ท่านอ๋อง พวกเราพักที่นี่เถิดเพคะ”
“อืม”
เด็กทั้งสองคนออกไปเล่นข้างนอก และจวินเมิ่งก็ตามออกไป หลังจากที่จวินเมิ่งออกไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็กล่าวว่า:“ท่านราชครู การกลับชาติมาเกิดของท่านอาจไม่ดีนัก แต่ท่านและฮูหยินรองยังมีชีวิตอยู่ได้อีกสิบกว่าปี”
ราชครูจวินเลิกคิ้ว:“สิบกว่าปี?”
“อืม”
ฮูหยินรองก็ประหลาดใจเช่นกัน
ราชครูจวินถอนหายใจ:“ข้าทำเรื่องชั่วร้ายมาไม่น้อย ไม่คิดว่าจะอายุยืนยาวเช่นนี้”
“อีกอย่าง พระจันทร์มีแหว่งเว้า คนเราก็มีพรากจาก เมื่อเจริญงอกงามก็ย่อมต้องเสื่อมถอย ท่านราชครูจวินรีบถอนตัวทั้ง ๆ ที่อยู่ในฐานะอันรุ่งโรจน์ เป็นคนต้องเหลือทางรอด จึงจะดีสำหรับคนรุ่นหลัง
ตามคำกล่าวที่ว่าหากมีสิบคะแนนในใจ จะเก็บไว้เจ็ดคะแนน และการที่ท่านราชครูจวินอยู่ที่นี่ก็เพื่อหญิงสาวผู้นี้”
ราชครูจวอนเหลือบมองจวินเมิ่งที่ยืนอยู่ข้างนอก:“ตั้งใจปลูกดอกไม้ แต่ดอกไม้กลับไม่ออกดอก ไม่ตั้งใจปักกิ่งหลิว แต่ต้นหลิวกลับให้ร่มเงา ในตอนนั้นท่านป้าและท่านแม่ของนาง ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่ก็ให้นางได้ไป ช่างน่าประหลาดใจ!”
“ใช่!” ฉีเฟยอวิ๋นหยิบขวดออกมาจากตัว แล้ววางลงตรงหน้าราชครูจวิน:“นี่เป็นสิ่งที่ข้ามอบให้ท่านราชครูเพื่อยืดอายุขัย ท่านราชครูต้องมีชีวิตที่ดีและคอยช่วยเหลือจวินเมิ่ง”
“ข้าไม่อยากจะสนใจเรื่องของราชสำนัก แต่หากนั่นเป็นชะตาชีวิตของนางก็ทำได้เพียงช่วยนาง”
ราชครูจวินรู้สึกอึดอัดใจ:“พวกเราอาศัยอยู่ที่นี่ และไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียว องค์รัชทายาทจะมาได้อย่างไร?”
“…” ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่ หนานกงเย่ประหลาดใจ:“ข้าไม่เคยชอบเขา มาถามข้าทำไม”
“ในตอนนั้นท่านอ๋องทรงช่วยจวินเมิ่งไว้ แสดงให้เห็นว่าท่านอ๋องเป็นดาวนำโชคของจวินเมิ่ง ตอนนี้ดาวนำโชคอยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นดวงชะตาของจวินเมิ่งก็จะมาถึงแล้วเช่นกัน”
ราชครูจวินมองไปที่หนานกงเย่และพยักหน้า
ในวันเดียวกันสองสามีภรรยาก็พักอยู่ที่นี่ หลังจากพลบค่ำก็มีคนลงจากม้าที่ทางเข้าหมู่บ้าน
หนานกงอวี้เหรินหยุดที่ห้าประตู และผู้ติดตามข้างหลังก็พูดว่า:“องค์รัชทายาท……”
“เจ้าเรียกข้าว่าอวี้เหริน เจ้าเรียกข้าว่าองค์รัชทายาทไปทั่วทุกที่ เจ้าเกรงว่าจะไม่มีใครรู้จักข้าหรือ เจ้าออกไปห่าง ๆ ไม่ต้องตามข้า”
หนานกงอวี้เหรินเหลือบมองผู้ที่ติดตามอย่างไม่สบอารมณ์
ผู้ติดตามถอยออกไป:“ที่นี่เป็นหมู่บ้าน หากองค์รัชทายาททรงเสด็จเข้าไปเพียงลำพัง แล้วเกิดอะไรขึ้น จะทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“ในตอนนี้บ้านเมืองสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง หากเกิดอะไรขึ้นแล้วอย่างไร?จะกินข้าเข้าไปอย่างนั้นหรือ เจ้าหลบไปก่อน”
หนานกงอวี้เหรินเดินเข้าไปในหมู่บ้าน แต่ผู้ติดตามไม่ได้ตามเข้าไปด้วย
หนานกงอวี้เหรินได้ยินว่าหนานกงเย่ไม่เป็นไรแล้ว เขาจึงอยากมาดู หลายปีมานี้ทั้งสองคนเป็นเหมือนน้ำกับไฟ และมักจะเข้ากันไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะร่างกายของหนานกงเย่ย่ำแย่ เขาไม่มีทางที่จะปล่อยหนานกงเย่ไปแน่
หนานกงอวี้เหรินถูกหนานกงเย่กดขี่ตั้งแต่เด็ก หลังจากที่หนานกงเย่ป่วยอยู่หลายปี เขาก็ดีขึ้น
ตอนนี้เขาต้องการจะทำให้หนานกงเย่และฉีเฟยอวิ๋นแยกออกจากกัน เพื่อให้หนานกงเย่ได้ลิ้มรสของการตกเป็นเป้า
และหาที่นี่พบเพราะหลงทาง
แต่ได้ข่าวว่าหนานกงเย่มาที่หมู่บ้านนี้
เมื่อออกไปข้างนอก หนานกงอวี้เหรินจะสวมเสื้อผ้าธรรมดา และระหว่างทางที่มาเขาก็พบอันธพาลหลายคน หลังจากที่จัดการแล้วเข้าก็มาที่นี่
เขาสวมเสื้อผ้าสีน้ำเงินเข้มที่ขาดรุ่งริ่ง ทำให้ดูเหมือนขอทานและชาวยุทธที่ตกอับ
ผู้ติดตามคิดว่าหากเข้าไปในหมู่บ้านแล้วจะถูกมองว่าเป็นคนร้าย เนื่องจากเขาถือดาบเปื้อนเลือดและเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง
หนานกงอวี้เหรินเดินเข้าไปในหมู่บ้าน และเห็นหญิงผู้หนึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู จึงอยากจะเข้าไปสอบถามสถานการณ์ เขาเห็นคนสองสามคนเดินผ่านไปอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ หญิงผู้นั้นไม่ทันได้สังเกต สองคนนั้นฉกถุงในมือของนางไป
หญิงผู้นั้นตกใจและถอยหลังไปสองสามก้าว จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
หนานกงอวี้เหรินไล่ตามไป และต่อสู้กับคนสองสามคนนั้น เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นว่ามีคนกำลังต่อสู้กัน นางก็เดินกลับมา หนึ่งในนั้นหยิบก้อนหินขึ้นมาและต้องการจะฆ่าหนานกงอวี้เหริน หนานกงอวี้เหรินรู้ว่ามีคนอยู่ข้างหลังเขา แต่ไม่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีพละกำลังมากและทุบไปที่ไหล่ของเขา
ด้วยความเจ็บปวด เขาจึงทิ้งดาบที่อยู่ในมือ
เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นความโกลาหลที่อยู่ตรงหน้า นางจึงหยิบดาบยื่นให้เขา และผู้คนก็วิ่งหนีไป จวินเมิ่งมองชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นสภาพที่ตกอับของเขา นางก็คิดว่าเขาเป็นชาวยุทธภพ
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
หนานกงอวี้เหรินเหลือบมองไหล่ของตัวเอง และถามนางว่า:“เจ้าอายุเท่าไหร่?”
จวินเมิ่งลำบากใจเล็กน้อย:“ไม่สะดวกที่จะบอก ข้าจะช่วยดูไหล่ให้เจ้า”
จวินเมิ่งเดินไปและเห็นว่ามีเลือดไหลเต็มไหล่ของเขา นางจึงรีบกล่าวว่า:“วันนี้มีแขกมาที่บ้านของข้า จึงไม่สะดวกที่จะเชิญเจ้าเข้าไป ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นชาวยุทธภพ เจ้าเดินเองได้หรือไม่?”
หนานกงอวี้เหรินไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่มองไปที่จวินเมิ่ง จวินเมิ่งสงสัยว่าเขาเป็นคนโง่เง่าหรือไม่!