องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 956 ตกหน้าผา
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 956 ตกหน้าผา
หนานกงเย่มองด้านล่าง ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าต้องรอให้ฟ้าสางแน่นอน จากนั้นก็จะเริ่มเป็นศึก
“นิสัยของเขาเหมือนกับท่านอ๋อง แม้จะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่ในกระดูกก็มีเลือดของตระกูลหนานกง และมีเลือดของท่านอ๋อง ท่านอ๋องคิดว่าเขาไม่เหมือนหรือ?เขาเติบโตอยู่ข้างกายท่านตั้งแต่เล็ก เป็นท่านดูแลเขาตลอด เขายโสโอหังอย่างยิ่ง ความผยองของเขาไม่เหมือนท่านหรือ?”
“ข้าแก่แล้ว ไปยุ่งกับเขาไม่ได้”
“เหอะ…..”ฉีเฟยอวิ๋นตลกขบขัน
หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋น ด้วยแววตาเย็นชา กล่าวว่า“เจ้าไร้จิตใจความรู้สึกสิ้นดี”
ฉีเฟยอวิ๋นหันลงไปมองด้านล่าง กล่าวว่า“เดิมชะตาชีวิตของเทียนเอ๋อร์ไม่ควรเป็นเช่นนี้ แต่ท่านให้ชื่อเขาแบบนี้ เขาคืออัสนิบาต ท่านให้ท้องฟ้าที่สดใส โลกอันยิ่งใหญ่นี้ ก็ควรจะมีดาวมฤตยูของเขา และซือถูฟ่างก็ไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์อะไร แต่เขาบังเอิญตกลงลำน้ำระหว่างซอกเขา ซึ่งบังเอิญกับเป็นชะตากรรมที่ถูกลิขิตไว้ของเทียนเอ๋อร์
ธาตุทั้งห้าของอัสนิบาตเป็นของไฟ และตำแหน่งของมันอยู่ทางทิศใต้ เราอยู่ทางเหนือที่นี่ และทิศทางไม่เอื้ออำนวย เพราะไฟแห่งอัสนิบาตก็เป็นพญามังกรด้วย ที่ใดมีมังกรอยู่จริง สามารถเลี้ยงดูเขาได้
ช่วงปีที่ผ่านมานี่ เขาอยู่ยงคงกระพันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก และเขาก็อยู่เหนือผู้คนเสมอ เพราะเขาคือไฟของมังกร
ไฟสามารถเผาไหม้ได้ทุกสิ่ง และในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงได้ เดิมไฟนั้นไม่มีรูป แต่รูปของมันคือไม้ ตามคำกล่าวที่ว่า เจาะทะลวงไม้ก่อไฟ เพราะฉะนั้นไฟจึงเกิดจากไม้ ไฟติดอยู่ที่ไม้ ไม้มีรูปอย่างไร เขาก็จะมีรูปร่างอย่างนั้น
ท่านอ๋องเป็นไม้ เพราะฉะนั้นท่านเลี้ยงเขา เลี้ยงได้ไม่เลว
แต่ท่านอ๋องเป็นไม้ การใช้ประโยชน์สำหรับเขาก็ไม่ได้มาก แม้จะสูงระฟ้า แต่ทว่ากลับไม่สามารถทำให้ชีวิตของเขาปราศจากความทุกข์กังวลใจได้
มีโชคชะตาประเภทหนึ่ง สามารถช่วยเขาได้ แต่น่าเสียดายหาไม่เจอ
หม่อมฉันเคยคิดคำนวนแล้ว ไม่มีคนผู้นี้”
หนานกงเย่มองไปกล่าวว่า“พูด”
ฉีเฟยอวิ๋นตกใจ กล่าวว่า“หม่อมฉันบอกว่าไม่มีก็คือไม่มีเพคะ”
“เจ้า…..”
แน่นอนว่านิสัยของหนานกงเย่จะต้องไปตามหา แต่ตอนนี้หาก็ไม่ทันแล้ว
ตอนที่ทั้งสองต่างเดือดดาล ฟ้าได้สว่างแล้ว
ประตูเมืองเปิดออก หนานกงเฮ่าเทียนได้ขี่ม้าออกไปแล้ว
หนานกงเย่มองลงไปกล่าวว่า“เทียนเอ๋อร์ เจ้ากลับไปก่อน เขาไม่โจมตีเมือง เจ้าก็ไม่ควรออกไป”
หนานกงเฮ่าเทียนเงยหน้าขึ้นมอง ไม่ฟังก็ออกไปเสียแล้ว
ฝั่งตรงข้ามมีชายคนหนึ่งขี่ม้าออกมา ทั้งสองฝ่ายไม่ได้คุยอะไรกันมากก็สู้กันแล้ว
ชัดเจนว่าความสามารถของคนผู้นั้นไม่สู้หนานกงเฮ่าเทียน ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า“ท่านไม่ควรพูดคำพูดเหล่านั้นกับเขา เขาโมโหท่านไม่เชื่อท่าน ถึงได้ไปหาพวกเขา ไม่อย่างนั้นเทียนเอ๋อร์ฉลาดและมีวิสัยทัศน์อย่างนั้น จะออกไปสู้รบด้วยตนเองได้อย่างไรเพคะ”
หนานกงเย่สีหน้าแย่มาก กล่าวว่า“ตอนนี้พูดอะไรมันมีประโยชน์?”
หนานกงเทียนเฮ่าสังหารฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็ว หนานกงเย่สั่งตีฆ้องเรียกทหารกลับ
ฝ่ายตรงข้ามหมุนตัววิ่ง ฉีเฟยอวิ๋นตะโกนขึ้นทันทีว่า“เทียนเอ๋อร์ อย่าตาม!”
หนานกงเฮ่าเทียนจะได้ยินได้อย่างไร เขาพุ่งตรงตามไป
ฉีเฟยอวิ๋นร้อนใจ เลยตามลงไป แต่ฝ่ายตรงข้ามยิงธนูออกมา หนานกงเย่รีบช่วยเธอ เวลานี้หนานกงเฮ่าเทียนได้ตามไปด้านในป่าลึกที่แสนไกลแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ท่ามกลางธนู หนานกงเย่อุ้มเธอขึ้นมาที่ศาลาบนประตูเมือง คนด้านล่างก็หมอบซุ่มโจมตีอยู่
ฉีเฟยอวิ๋นนอนลง ธนูแทงบนไหล่ของเธอ หนานกงเย่รีบดึงออก กอดปกป้องฉีเฟยอวิ๋นไว้ในอ้อมแขน แล้วมองไปทางด้านล่างประตูเมือง คนได้หายไปแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นมองเหล่าทหารทางด้านล่าง ไม่มีใครหนีพ้นได้ ทั้งหมดแพ้ย่อยยับ
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปแสนไกล กล่าวว่า“ท่านอ๋อง ท่านไปดูเร็ว หม่อมฉันมิเป็นไรเพคะ”
“ไม่เจอแล้ว ข้าหาไม่เจอแล้ว”คนด้านล่างเยอะขนาดนั้น ลงไปตอนนี้ เมืองนี้จะทำอย่างไร?”
“…….”
ฉีเฟยอวิ๋นร้องไห้ขึ้นมาทันที หนานกงเย่มองเธอ แล้วกระชับอ้อมแขนแน่นมาก
มีชีวิตมาห้าสิบปี คิดไม่ถึงว่าจะมีวันนี้!
“ทหารทั้งหมดบังคับใช้กฏอัยการศึก!”
หนานกงเย่กัดฟันตะคอกขึ้น
“ซือถูฟ่าง ข้าจะใช้มีดเฉือนเนื้อออกจากกระดูกของเจ้า!”
ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ด้วยความเหม่อลอย เธอรู้ เขาเจ็บปวด เขามองสิ่งล้ำค่าที่ถูกคนทำาร้ายตาย เขาจะกล้ำกลืนความโกรธนี้ได้อย่างไร
“วันพรุ่งนี้ เปิดประตูเมือง ข้าจะออกศึกด้วยตนเอง”หนานกงเย่ประคองฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น มองคนเหล่านั้นที่อยู่บนพื้น
ฉีเฟยอวิ๋นร่ำไห้โดยตลอด แต่ทว่ากลับไม่ได้พูดอะไรเลย
……..
หนานกงเฮ่าเทียนตามไปได้ไม่ไกลก็เห็นคนออกมาจากป่าไม้ มีคนหลายสิบคนมาจากแม่น้ำและทะเลสาบ พวกเขาถือโซ่ไว้ในมือพร้อมที่จะจับหนานกงเฮ่าเทียน
ในมือของหนานกงเฮ่าเทียนกุมดาบ มองเห็นคนเหล่านี้ จึงยกดาบขึ้น และถอดลูกธนูออกจากบนหลังม้า
ลูกศรธนูนับสิบลูกรวมกัน คนรอบข้างก็ต่างหลบ และเริ่มต่อสู้ในไม่ช้า
หญิงที่อยู่บนหลังม้าอยู่ฝั่งตรงข้ามมองหนานกงเฮ่าเทียน หลุบตามองคิดอย่างละเอียด เขารูปลักษณ์หล่อเหลาอย่างมาก
คนนับสิบต่อสู้กัน แต่สุดท้ายทั้งหมดได้ตายในกำมือของหนานกงเฮ่าเทียน
หนานกงเฮ่าเทียนมองมู่หม่านจื่อที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามแล้วเดินไป เขาสังหารคนอย่างหยาบกระด้าง ทุกพื้นที่ที่ก้าวเดินล้วนไปเลือดที่ไหลอาบอยู่
มู่หม่านจืออยู่บนหลังม้า ใบหน้าเล็กๆ ที่สวยงามของนางเปื้อนแปะไปด้วยความเย่อหยิ่ง หยิบคันธนูและลูกธนู เพ่งยิงหนานกงเฮ่าเทียนด้วยลูกธนูสิบลูกพร้อมกัน
มู่หม่านจือเป็นลูกสาวรองแม่ทัพของซือถูฟ่าง การก่อกบฏครั้งนี้ตระกูลมู่ไม่ได้ต้องการมีส่วนร่วม แต่ซือถูฟ่างบอกกับท่านพ่อของนางว่าต้องการจะแต่งงานกับนาง และนางก็มีอารมณ์ไม่ดีอยู่เสมอมา สิบเจ็ดปียังไม่ได้แต่งงานออกไป นี่ถึงได้มีเรื่องกองกำลังทหารก่อการกบฏขึ้นมา
ตระกูลมู่ตามซือถูฟ่างมาโดยตลอด ก่อกบฏตามด้วยก็ไม่รู้สึกว่าไม่ได้
หนานกงเฮ่าเทียนหลบหลีกลูกธนู ตามด้วยพุ่งกระโจนไปจับมู่หม่านจือ ผลสรุปทั้งสองคนต่อสู้กัน ไม่คิดว่าอีกด้านจะเป็นหน้าผาที่สูงชัน เลยตกลงไป
ก่อนลงไปหนานกงเฮ่าเทียนจับอยู่ครู่หนึ่ง ปิ่นปักผมของมู่หม่านจือถูกจับไว้
ผมที่อยู่ในมือของหนานกงเฮ่าเทียนกระจัดกระจาย มู่เหมียนหมุนตัว ทั้งสองสบสายตากัน เดิมมู่หม่านจือจะต้องตายอย่างไม่น่าสงสัย เพียงแค่หนานกงเฮ่าเทียนเตะถีบขาข้างหนึ่งก็สามารถขึ้นไปได้ แต่เขาใช้มือข้างหนึ่งโอบที่เอวของมู่หม่านจือ ทั้งสองกลิ้งลงไป
ทั้งสองล่วงลงไปก็สลบ จนหนานกงเฮ่าเทียนตื่นขึ้นมา
มองคนที่หมอบอยู่บนตัว หนานกงเฮ่าเทียนปัดผมที่ปกคลุมของมู่หม่านจือ ใบหน้าที่สวยสง่าอยู่ในสายตาของเขา หนานกงเฮ่าเทียนยิ้มเล็กน้อย เขาพลิกตัววางมู่หม่านจือลง แล้วลุกขึ้นเคลื่อนไหวตัว คิดไม่ถึงว่าจะไม่เป็นไร
พอหันมาหนานกงเฮ่าเทียนจึงเห็นมู่หม่านจือตื่น มู่หม่านจือลองลุกขึ้น พบว่าขาของตนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
มู่ดหมียนเม้มริมฝีปากมองหนานกงเฮ่าเทียนแล้วกล่าวว่า“เจ้าสังหารข้าเถิด”
“เพราะเหตุใด?”
หนานกงเฮ่าเทียนเดินมาตรงหน้าของมู่หม่านจือ คุกเข่าลงครึ่งหนึ่งมองนาง มู่หม่านจือเบนหน้าหนีกล่าวว่า“คนชนะกลายเป็นจักรพรรดิคนแพ้คือโจร เจ้าสังหารข้าก็ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องปกตหรือ?”
“นั่นไม่จำเป็น เมื่อสมัยนั้นเสด็จลุงเสด็จป้าของข้าได้ตกหลุมรักกัน เป็นรักแรกพบ ข้าเห็นว่าเจ้าก็ดีมากเลยนะ”
หนานกงเฮ่าเทียนโค้งเอวอุ้มมู่หม่านจือขึ้น กระตุกริมฝีปากแล้วเดินไปอีกด้าน มู่หม่านจือต่อสู้ดิ้นรนขัดขืนกล่าวว่า“เจ้าทำอะไร?”
“เสด็จปู่ของข้าพูดกับข้าว่า ได้พบผู้หญิงที่ชอบ ไม่จำเป็นต้องพูดมาก พูดมากไร้สาระทำให้เกิดเรื่องได้ง่าย ที่นี่พอดีกับเป็นห้องหอของเรา ข้าจะพาเจ้าไปร่วมหอ”
“เจ้าพูดเลอะเทอะอะไร?”มู่หม่านจือตกใจไม่น้อย หน้าซีดเผือดมาก
หนานกงเฮ่าเทียนหาถ้ำเจอ ทางด้านนั้นเหมือนเป็นที่พักธรรมชาติแห่งหนึ่ง
เดินถึงด้านใน หนานกงเฮ่าเทียนมอง ด้านบนพื้นคือหญ้า ก็นับว่าเป็นห้องเล็ก เพียงแค่มันจะไม่ค่อยอุ่น