องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 957 เกิดเรื่องที่เมืองหลวง
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 954 เกิดเรื่องที่เมืองหลวง
ฉีเฟยอวิ๋นมองราชครูจวิน “แคว้นเหลียงมีต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดปี ว่ากันว่าวันที่ท่านอ๋องประสูติมีการหว่านพืชผล ต้นไม้คงอยู่แผ่นดินจะยังคงอยู่”
ราชครูจวินงงงัน “ท่านอ๋องเย่?”
หนานกงเย่กระแอมสองครั้งพลางมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “ท่านอ๋องมีอายุขัยสามร้อยปี หลังจากสามร้อยปีนั้นข้าไม่รู้”
“…..”
ราชครูจวินไม่ซักถามอะไรอีก เขารับของหมั้นในวันนี้ จากนั้นหนึ่งเดือนให้หลังจึงมีงานอภิเษกขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นเหลียง ซึ่งว่ากันว่าพระชายาเอกคือบุตรสาวบุญธรรมของพระชายาเย่
…..
หลังจากการอภิเษกขององค์รัชทายาทผ่านไปไม่นานก็มีข่าวว่าท่านอ๋องเย่ป่วยหนัก ดังนั้นพระชายาเย่จึงพาท่านอ๋องเย่ไปอยู่ในป่าเขาอย่างสันโดษ
เมื่ออ๋องเย่จากไป จวนอุปราชก็กลายเป็นจวนชินอ๋องโดยมีมู่ชินอ๋องเป็นผู้ดูแล
รถม้าออกจากเมืองหลวง และฉีเฟยอวิ๋นก็ตรงไปพบเซวียนเหอเป็นคนแรก
ถึงอย่างไรก็ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ เมื่อพบเซวียนเหอ ฉีเฟยอวิ๋นจึงพบว่าองค์หญิงอวิ๋นออกบวชอยู่ที่นั่นจริงๆ
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่ซึ่งยืนอยู่ข้างกาย แววตาของเขาเย็นเยียบ เขาคงไม่คิดว่าลูกสาวของเขาจะไม่แต่งงาน สุดท้ายก็กลายเป็นนักบวชเต๋าและยกให้เซวียนเหอเป็นอาจารย์ของตน
แต่ที่พูดได้ก็คือ ในที่สุดเสี่ยวอวิ๋นก็เลือกที่จะชอบใครสักคน
เฉินอวิ๋นเจี๋ยแต่งงานแล้ว หลังจากแต่งงานกับภรรยาสาวได้หนึ่งปีเขาก็ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง
ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากพูดอะไรให้มากความ แต่บางคนกลับยังดื้อดึง
ที่น่าแปลกก็คืออวิ๋นเลี่ยจากไปแล้ว แม้ว่าความรักในครั้งนั้นจะเจ็บเจียนตาย ทว่าอวิ๋นเลี่ยก็จากไปในท้ายที่สุด แต่เฟยอิงยังอยู่
เฟยอิงดีใจเป็นอย่างมากเมื่อพบฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่ เขาตรงมาหาและเตรียมจะคุกเข่า
ฉีเฟยอวิ๋นประคองเฟยอิงขึ้นมา “พี่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น ท่านจำไม่ได้แล้วหรือว่าข้ากับท่านเป็นพี่น้องกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน”
เฟยอิงลุกขึ้น ตอนนี้เขากลายเป็นชายวัยกลางคนแล้ว
เขาตกตะลึงเมื่อเห็นหนานกงเย่ที่ดูเหมือนบุรุษวัยยี่สิบปี
“ท่านอ๋อง”
“ข้ากินยาขนานวิเศษเข้าไปทำให้กลายเป็นคนหนุ่มอีกครั้ง เจ้าอย่าได้เอะอะไป พระชายาบอกว่าข้าจะอยู่ได้ถึงสามร้อยปี เราเกรงว่าจะทำให้คนในเมืองหลวงหวาดกลัวจึงจากมา ว่าจะหาที่พักเสียหน่อย”
เฟยอิงกล่าวว่า “เช่นนั้นที่นี่ก็ได้ขอรับ”
“พวกเขายังไม่ได้ไปไหน ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่หรอก ถ้าท่านอยากไปก็ไปเถิด เสี่ยวอวิ๋นอยู่ที่นี่ได้ไม่เป็นไร”
เซวียนเหอเดินออกมาจากด้านใน เขาสวมจีวรสีดำตามแบบของนักบวชเต๋า คนที่เดินตามมาข้างกายคือเสี่ยวอวิ๋น ในวัดเต๋าแห่งนี้ไม่มีใครนอกจากพวกเขาสามคน
หนานกงเย่มองลูกสาวและเดินเข้าไปหา “เสี่ยวอวิ๋น”
“ท่านพ่อ”
เสี่ยวอวิ๋นเองก็โตขึ้นแล้ว หนานกงเย่เดินเข้าไปหาบุตรสาวและสังเกตนางโดยละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง เขานึกถึงตอนที่แต่งงานกับเจ้าของร่างเดิม ทั้งสองคนดูเหมือนกันทุกประการ
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่แต่ไม่สะดวกที่จะพูดออกมา
พ่อลูกพบหน้ากันและคุยกันไม่จบไม่สิ้น ขณะที่พวกเขาคุยกัน ฉีเฟยอวิ๋นก็หันไปคุยกับเซวียนเหอและเฟยอิง
หลายปีที่ไม่ได้เจอกันพวกเขาแก่ตัวขึ้นมาก ฉีเฟยอวิ๋นมองพวกเขาราวกับมองผู้อาวุโส
ทุกคนพูดคุยกันตลอดทั้งคืนไม่ยอมหลับยอมนอน เมื่อรุ่งสางฉีเฟยอวิ๋นจึงจากไปพร้อมกับหนานกงเย่ ตอนที่จากไปเสี่ยวอวิ๋นยังไม่ตื่น หนานกงเย่ลงจากภูเขาพร้อมกับฉีเฟยอวิ๋นและไม่คิดจะพูดอะไร
เมื่อลงมาจากภูเขาและขึ้นไปนั่งบนรถม้า ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามเขาว่า “ท่านอยากจะอยู่กับลูกสาวที่นั่นใช่ไหมเพคะ”
“นางไม่ชอบอยู่กับข้า เหตุใดข้าจึงต้องอยากอยู่ที่นั่นด้วย” หนานกงเย่ระเบิดอารมณ์และนึกอยากจะอยากจะตีใครสักคน
ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะ “ท่านละก็อวดดีเกินไปแล้ว ท่านอยากจะฆ่าเซวียนเหอแต่ว่าฆ่าไม่สำเร็จ สุดท้ายก็ทำให้ลูกสาวกลายมาเป็นลูกศิษย์เขา แต่ก็ไม่มีอะไรแย่นะเพคะ ท่านอ๋องคิดถึงลูกสาวและอยากให้นางมาดูแล ถ้าเป็นได้แบบนั้นท่านคงมีความสุข”
หนานกงเย่ลืมตาขึ้นและจ้องมองฉีเฟยอวิ๋น “ท่านช่างใจดำเสียจริง!”
“ดีกว่าท่านที่ส่งเฮ่าเทียนกับเฮ่าเหวินไปก็แล้วกัน ไม่ยอมพาไป คุยกันไว้แล้วว่าจะพาไป ท่านก็ยืนยันว่าจะเดินทางลำพัง”
“แค่เราก็ดีแล้ว จะพาพวกเขาไปทำไมกัน”
“…..”
หนานกงเย่ปิดเปลือกตาลงอย่างไม่ค่อยสบายใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองผิด แต่วันทั้งวันเขากลับไม่พูดเลยจนคำเดียว
เรื่องของลูกสาวคือความเจ็บปวดภายในใจของเขา
นางจะไม่มีวันแต่งงานไปชั่วชีวิตและบำเพ็ญตนอยู่ในวัดเต๋า ซึ่งเขาไม่รู้เลยว่านางบำเพ็ญตนไปเพื่ออะไร
เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเสี่ยวอวิ๋นรักเขาอย่างสุดหัวใจ
ต่อให้กลับชาติมาเกิดอีกครั้งเขาก็คงปล่อยวางไม่ได้อยู่ดี
ไม่กี่เดือนให้หลัง ฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่เปลี่ยนที่พำนักไปเรื่อยๆ และไปเยี่ยมลูกทุกคนจนครบภายในหนึ่งปี
หนึ่งปีต่อมา พวกเขาได้พบกับซูอู๋ซินและเฟิ่งไป่ซูซึ่งอาศัยอยู่ ณ ภูเขาที่สวยงามและมีธารน้ำใสสะอาด
ในช่วงหลายปีที่ผ่าน พวกเขาใช้ชีวิตอย่างปราศจากความเศร้าและความกังวลพร้อมกับลูกอีกสองคน
นอกจากนี้พวกเขายังไปที่หุบเขายาเพื่อไปเยี่ยมซูมู่ไห่ซึ่งไม่หลงเหลือความทรงจำใดๆ เลย
มีเพียงคนเดียวที่เสียชีวิตเร็วเกินไปคือซูอู๋เฮิ่นผู้เป็นจักรพรรดิแห่งปีกใต้
ทว่าคนเดียวที่พวกเขาไม่เจอคือเฟิงอู๋ชิง ฉีเฟยอวิ๋นหาเขาไม่พบ
มีคนบอกว่าไม่มีหอทิงเฟิงอีกต่อไปแล้ว ว่ากันว่าเฟิงอู๋ชิงตายไปแล้วเพราะไม่มีใครพบเจอเขามานานหลายปี
ฉีเฟยอวิ๋นคิดคำนวณอย่างรอบคอบ เป็นเรื่องจริงที่นางไม่ได้เจอเขามานานหลายปี ตั้งแต่เกิดมาในครั้งนี้นางยังไม่ได้พบหน้าเขาเลย
ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ริมน้ำ นางมองหนานกงเย่จากเงาสะท้อนบนผืนน้ำและถามว่า “เขาตายแล้วหรือ”
หนานกงเย่หันกลับมา “ใครรึ”
“เฟิงอู๋ชิง”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาตายแล้วหรือยัง ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้ปรากฏตัวในตอนที่โจมตีปีกใต้ด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพี่ชายของจักรพรรดิปีกใต้มิใช่หรือ” หนานกงเย่มีสีหน้าไม่พอใจ
“ถ้าหากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเขาล่ะ ถ้าเขาสบายดีเหตุใดจึงไม่มาปรากฏตัว? แต่พอนึกถึงหน้าของเขาขึ้นมา เขาดูไม่เหมือนคนที่จะอายุสั้นเลยนะ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ทำไมเราถึงไม่เห็นว่าพวกหมอเทวดา อู๋กั่วหรือคนอื่นๆ เศร้ากันเลยล่ะ” ฉีเฟยอวิ๋นเต็มไปด้วยความสงสัย
หนานกงเย่เลิกคิ้วมองฉีเฟยอวิ๋น “ข้าเองก็ไม่ได้ทำอะไรกับเขาสักอย่าง เหตุใดจึงต้องหยั่งเชิงข้าเช่นนั้นด้วย อีกอย่างเวลาก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ ข้าก็ไม่กลัวเขาหรอก ไม่แน่ตอนนี้เขาอาจจะแก่จนไม่รู้ว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรแล้วก็ได้”
ฉีเฟยอวิ๋นนึกกลุ้มใจอยู่ครู่หนึ่ง “ว่ากันตามหลักเหตุผล ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ซูอู๋ซินก็น่าจะไม่มีความสุข”
“ท่านคิดว่าไงล่ะ”
หนานกงเย่ปล่อยให้เป็นเรื่องของฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ข้าเป็นหมอรักษาคน ไม่ใช่หมอดู”
“ไม่เห็นต่างกันตรงไหน ข้าว่าอวิ๋นอวิ๋นทำได้ทุกอย่าง”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงกับหนานกงเย่ นางไม่ได้พบกับเฟิงอู๋ชิงมานานและคิดว่ามันแปลก เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตายไปแล้ว แต่การที่ยังมีชีวิตแต่หายไปอย่างไร้ร่องรอยนั้นทำให้นางแปลกใจมาก
“ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง หวังว่าจะยังมีชีวิตอยู่และหวังว่าเราจะได้พบกันอีก” ฉีเฟยอวิ๋นติดใจสงสัยเรื่องที่เฟิงอู๋ชิงหายตัวไป
แม้แต่อู๋ซัง ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน นางหาตัวไม่พบและรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างขาดหายไป
ทั้งสองคนเดินทางวนเวียนไปมาแล้วหลายที่ หนานกงเย่ยังคงชอบที่จะอยู่ในเมืองหลวง ดังนั้นจึงตัดสินใจกลับไปที่เมืองหลวงอีกครั้ง เพียงแต่พวกเขาไม่ได้เข้าไปในเมืองหลวงและอาศัยอยู่อย่างสันโดษที่เนินเขาสิบลี้
ทั้งสองคนออกไปข้างนอกเป็นประจำ ที่ไหนมีโรคระบาด พวกเขาจะไปที่นั่น
เมื่อหนานกงเย่อายุได้ห้าสิบปี พวกเขาทั้งคู่กลับไปที่เมืองหลวงอีกครั้งและเปิดหอร้อยสมุนไพรที่นั่น
ทุกเช้าจะมีการตรวจรักษาผู้ป่วยโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจำนวนสิบคน ไม่เพียงแต่จะตรวจโรคให้เปล่าๆ แต่ยังรักษาให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ในปีนั้นจักรพรรดิเหยี่ยนตี้สละบัลลังก์และพาฮองเฮาปลีกตัวไปอยู่อย่างสันโดษโดยไม่มีการกล่าวถึงสถานที่ที่ไป
และแล้วแคว้นเหลียงก็เกิดความวุ่นวายภายในปีเดียวกันนั้นเอง
มีผู้คนซึ่งอยู่นอกเมืองกำลังรวมตัวกันก่อกบฏและมีกองกำลังทหารสองแสนนายบีบบังคับให้สละราชย์
ประชาชนในเมืองหลวงตื่นตระหนก เหล่าขุนนางต่างหาทางออกไม่ได้
ที่นอกหอร้อยสมุนไพร มีคนสี่คนยืนอยู่ที่นั่นและมองไปยังประตูเมือง