อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 1 ลูกชิ้นลูกหนึ่ง
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 1 ลูกชิ้นลูกหนึ่ง
หยุนหว่านหนิงตื่นขึ้นเพราะความเจ็บปวด
เสียงหายใจของผู้ชายดังอยู่ข้างหู นางพยายามลืมตาขึ้น……ประสานเข้ากับดวงตาแดงก่ำของชายหนุ่มเข้าพอดี สายตาเต็มไปด้วยความรังเกียจและชิงชัง
ให้ตายเถอะ
เดิมทีนางเป็นพนักงานของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ คืนนี้นางกำลังเข้าเวรอยู่
แต่ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที นางกำลังเช็ดทำความสะอาดกำไลข้อมือหยกชิ้นหนึ่งอยู่ ทันใดนั้นก็รู้สีกเจ็บแปลบที่ปลายนิ้วและมีเลือดหยดออกมา กำไลหยกชิ้นนั้นดูดกลืนเลือดเข้าไป ทันใดนั้นก็ปล่อยแสงจ้าแยงตาออกมา
นางถูกแสงสว่างคลุมเอาไว้ ทันใดนั้นก็หายวับไปจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ
และหลังจากตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นางก็ถูกผู้ชายหน้าด้านคนนี้กดเอาไว้บนเตียงและกำลังทำเรื่องอย่างว่า
อีกอย่าง ท่าทางนี้ก็น่าอับอายเกินไปกระมัง ……นางเหมือนคนที่ใช้สนองตัณหาของผู้ชายคนนี้ มากกว่าจะเป็นภรรยาที่เพิ่งจะแต่งงานกันหมาดๆ ช่างซวยจริงๆเลย
หยุนหว่านหนิงชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็ดิ้นรนต่อต้านสุดแรงเกิด “ไสหัวไป คนผีทะเล แกอยากตายหรือไง”
เห็นนางตื่นขึ้นมาแล้ว คิ้วของชายหนุ่มก็ขมวดแน่นขึ้น เอามือปิดดวงตาของนางเอาไว้ทันที
หยุนหว่านหนิงพยายามจะดิ้นรน แต่ว่าร่างกายนี้ช่างอ่อนแอเสียเหลือเกิน
การต่อต้านของนาง กลับกระตุ้นให้ชายหนุ่มโกรธมากยิ่งขึ้น เขาตบลงมาที่หน้าของนางอย่างแรง ตบจนนางมองเห็นดวงดาววิบวับเต็มไปหมด “หยุนหว่านหนิง เจ้าบอกว่าเจ้าทนความเหงาไม่ได้ไม่ใช่หรือ แม้แต่ข้ารับใช้ในจวนอ๋องเจ้าก็ยังชอบ”
“คืนวันแต่งงานเช่นนี้ เจ้ากำลังดูถูกข้าหรืออย่างไร”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะสนองให้เจ้าเอง”
ความเจ็บปวดรุนแรง ทำให้หยุนหว่านหนิงร้องขึ้นอย่างน่าอนาถ
นางไม่ได้รู้สึกถึงความหฤหรรษ์เลยแม้แต่น้อย รับรู้เพียงการหยามเหยียดและความเจ็บปวดอย่างไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้น
เขาถอนร่างลุกขึ้น ดวงตายังคงแดงก่ำเหมือนเดิม ยืนมองหยุนหว่านหนิงที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความอ่อนล้าเต็มที “เพื่อให้ได้แต่งงานกับข้า เจ้าถึงกับใช้แผนการสารพัด ”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มลอง ว่าอะไรคือการอยู่ไม่สู้ตาย”
ระหว่างที่พูด เขาก็สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ผืนผ้าที่เคยใช้เช็ดมือ ถูกกระแทกไปที่ใบหน้าของหยุนหว่านหนิง “เด็กๆ ตั้งแต่วันนี้ไปกักบริเวณพระชายาให้อยู่แต่ในเรือนชิงหยิ่ง ไม่มีคำสั่งจากข้า ห้ามให้ใครเข้าเยี่ยมอย่างเด็ดขาด”
“ถ่ายทอดคำสั่งของข้าลงไป พระชายาไม่สบายต้องการพักผ่อนเงียบๆ บ่าวรับใช้ในเรือนชิงหยิ่งทั้งหมด ให้ย้ายไปรับใช้ที่ลานด้านหน้า”
“ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ให้ปิดประตูของเรือนชิงหยิ่งซะ”
พูดจบแล้ว เขาก็เดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง ทิ้งไว้เพียงเงาหลังที่เลือนรางเท่านั้น
หยุนหว่านหนิงนั้นรู้สึกอ่อนแรงมาก
ร่างกายนี้ถูกทรมานจนเหลือแค่ลมหายใจเฮือกเดียวเท่านั้นแล้ว นางนอนอยู่บนเตียงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ได้แต่มองดูประตูห้องที่ถูกปิดลงอย่างไร้น้ำใจด้วยตาปริบๆ
นางใช้สติปัญญาเท่าที่เหลืออยู่พยายามนึกย้อนกลับไป
ที่นี่คือราชวงศ์เป่ยจวิ้น เป็นรัชสมัยที่ไม่เคยถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์
ผู้ชายที่แสดงความใคร่กับนางราวกับสัตว์ป่าคนนั้นชื่อว่าโม่เยว่ เป็นอ๋องหมิงในสมัยนี้ สามีของนาง
นาง เดิมทีเป็นบุตรสาวคนโตของจวนยิ่งกั๋วกง คุณหนูหยุนหว่านหนิง
นางหลงรักโม่เยว่มาตั้งแต่เด็ก แต่กลับไม่อยู่ในสายตาเขาเลย ……เพื่อจะได้แต่งงานกับเขา นางคิดแผนการนับไม่ถ้วน และแผนการครั้งนี้นางได้ใช้น้องสาวแท้ๆของเขาโม่เฟยเฟยเป็นเครื่องมือ
ทำเอาโม่เฟยเฟยเกือบจะถูกย่ำยีให้เสียหาย
แม้ว่านางจะสามารถแต่งงานเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องหมิงได้อย่างราบรื่น แต่โม่เยว่ก็เกลียดนางเข้ากระดูกดำ
คืนนี้ เป็นคืนเข้าหอของพวกเขา
นางถูกตบตีอย่างเหี้ยมโหดจากคำสั่งของโม่เยว่ จากนั้นก็ถูกเขาข่มขืนด้วยความรุนแรง
หยุนหว่านหนิงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว หลับตาลง เข้าสู่ห้วงแห่งความมืดมน
……
ผ่านไปสี่ปี
โม่เยว่เดินอย่างรวดเร็วเข้าไปในจวนอ๋อง ใบหน้าเขาดำคล้ำมาก ในดวงตาเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว ราวกับสิงโตที่เดือดจนใกล้จะปะทุแล้ว องครักษ์ที่ตามอยู่ทางด้านหลัง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เมื่อไปถึงห้องโถงใหญ่ เขาก็ทุบโต๊ะเก้าอี้ แจกันและแก้วน้ำแตกกระจายเต็มพื้น
“หยุนหว่านหนิงตัวดี ข้าก็แค่ให้เจ้าพักฟื้นสี่ปีเท่านั้น ถึงกับกล้าเขียนจดหมายไปยั่วยุไทเฮา คงจะรอไม่ไหวที่จะออกจากเรือนชิงหยิ่งซินะ อยากถูกข้าเล่นงานให้ตายหรืออย่างไร”
เขาเงยหน้าขึ้น เส้นเลือดสีแดงในดวงตาของเขาปูดขึ้นอย่างชัดเจน
“ข้าจะสงเคราะห์เจ้าเอง”
เขาทำเสียงขึ้นจมูก เดินไปทางเรือนชิงหยิ่งด้วยท่าทีโมโหสุดขีด
ไหนเลยจะคิดว่าเพิ่งจะเดินไปถึงด้านนอกของเรือนชิงหยิ่ง องครักษ์ที่ติดตามอยู่ทางด้านหลังก็รีบเข้าไปขวางหน้าเขาเอาไว้ “ท่านอ๋อง มีการเคลื่อนไหว”
เมื่อมองตามสายตาของทั้งสองคนไป เห็นเพียงด้านล่างของกำแพงมีรูเล็กๆรูหนึ่ง
เหมือนว่ารูนั่นจะถูกบางสิ่งอุดเอาไว้ ข้างในมีเสียงกรอบแกรบดังขึ้น ราวกับว่ากำลังมีคนคุ้ยเขี่ยสิ่งของอยู่ที่รูนั่น ……ไม่ช้า มือขาวๆ อวบๆคู่หนึ่งก็ยื่นออกปรากฏอยู่ตรงหน้าของโม่เยว่
เห็นมือขาวอวบคู่นี้ ในของเขาก็อ่อนลงอย่างไร้สาเหตุไปครู่หนึ่ง
มืออวบคู่นั้นตะกายไม่กี่ครั้ง ใบหน้ากลมๆก็โผล่ออกมาจากรูกำแพง
เขามองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง มุดตัวออกมาทางด้านนอกอย่างยากลำบาก
แม้จะเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ แต่รูกำแพงก็ไม่ได้ใหญ่นัก
เจ้าเด็กคนนี้ดูก็รู้ว่าถูกเลี้ยงดูอย่างดี ร่างอวบอ้วนติดอยู่กับรูกำแพงตรงนั้น เขาดิ้นรนอย่างยากลำบากอยู่หลายที ก็ยังคงคลานออกมาไม่ได้ แต่กลับได้ยินเสียงคนหลุดหัวเราะดังขึ้นจากทางด้านข้าง
โม่เยว่กลั้นไม่ไหว
นั่นก็เป็นเพราะว่า เจ้าเด็กซนคนนี้น่ารักมากจริงๆ
ดูแล้วอายุน่าจะไม่เกินสามขวบ มีดวงตากลมๆ ใบหน้ากลมๆ หัวกลมๆ ร่างกลมๆ……
เหมือนลูกชิ้นจริงๆ
“ท่านหัวเราะอะไร”
เจ้าก้อนแป้งชูกำปั้นเล็กๆขึ้นมา ทำท่าราวกับว่าตนเองดุมาก ร้องด้วยเสียงเล็กๆของเขาว่า “ยังไม่รีบลากตัวข้าออกไปอีก ถ้าหากข้าถูกบีบตายอยู่ตรงนี้จะทำอย่างไร”
นี่เด็กคนนี้ กำลังออกคำสั่งกับเขาอย่างนั้นหรือ
โม่เยว่มองไปรอบๆ มีเพียงเขากับองครักษ์ทั้งสองคนเท่านั้น
เขาเลิกคิ้วขึ้น ยื่นมือชี้ไปที่จมูกของตนเอง “เจ้ากำลังสั่งข้าอย่างนั้นหรือ”
“เจ้านั่นแหละ ยังไม่รีบมาช่วยอีก”
เจ้าก้อนแป้งถลึงตาให้เขาอย่างโมโห
โม่เยว่“……”
องครักษ์หรูโม่กับหรูยี่กำลังจะเข้าไป กลับถูกโม่เยว่ร้องห้ามให้ถอยออกไป “พวกเจ้าถอยไปก่อน”
เขาเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า ย่อตัวนั่งลงตรงหน้าเจ้าก้อนแป้ง“เจ้าก้อนแป้ง เจ้ากี่ขวบแล้ว เจ้าเป็นลูกบ้านไหน ทำไมจึงมาอยู่ในจวนของข้าได้ แล้วยังมุดรูสุนัขอีกต่างหาก”
บางทีอาจเป็นเพราะเห็นว่าเจ้าก้อนแป้งที่มีท่าทีโมโหนั้นน่ารักมาก
เขาก็ยื่นมือออกไป ตบที่ศีรษะเล็กๆของเขาเบาๆ
สัมผัสไม่เลว……
“ท่านนะสิเจ้าก้อนแป้ง ครอบครัวท่านเป็นเจ้าก้อนแป้งกันทั้งบ้าน”
เจ้าก้อนแป้งถลึงตาให้เขา ชูกำปั้นที่ไม่มีพิษสงของเขาขึ้นมา “ท่านนั่นแหละที่มุดรูสุนัข รูเล็กๆนี่ ข้าขุดมันขึ้นมาเอง”
เจ้าตัวเล็กนี่ ช่างกล้าพูดมาก
กล้าขุดรูกำแพงในจวนของเขา หรือว่าเจ้าก้อนแป้งจะเกิดปีชวดหรืออย่างไร
“ในเมื่อเจ้าเป็นคนขุดขึ้นมาเอง ทำไมจึงติดอยู่ในนั้นเล่า”
เห็นเขาน่ารักมาก ความกราดเกรี้ยวของโม่เยว่ก็มลายหายไปจนหมดสิ้น เขามองเด็กน้อยอย่างรู้สึกสนุก อยากจะแกล้งเด็กขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
หรูโม่กับหรูยี่ที่อยู่ข้างๆมองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
ท่านอ๋องของพวกเขา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยชอบเด็กเลย
“ไม่ต้องมายุ่ง ช่วงนี้ข้ากินเยอะไปหน่อย คงจะอ้วนขึ้น”
เจ้าก้อนแป้งส่ายหน้าอย่างภูมิใจ “ท่านจะช่วยหรือเปล่า จะช่วยก็รีบลากตัวข้าออกไป ไม่ช่วยก็อย่าพูดมาก เสียเวลาข้าคลานออกไปด้านนอก”
เขาพลางพูด พลางพยายามดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง
สุดท้าย ก็เห็นว่าคลานออกไปไม่ได้จริงๆ จึงก้มศีรษะเล็กๆของเขาลงอย่างโมโห
“ทำไม ขอร้องให้คนอื่นช่วยยังทำท่าอวดดีเช่นนี้ พ่อแม่เจ้าไม่สอนเรื่องการขอความช่วยเหลือจากคนอื่นหรืออย่างไร”
โม่เยว่มองเขาด้วยรอยยิ้มขัน
รู้สึกว่าท่าทีอวดดีของเจ้าก้อนแป้ง ดูคุ้นตามาก ……เหมือนกับ เหมือนกับเขาตอนเด็กๆไม่มีผิด
“พ่อข้าตายไปตั้งนานแล้ว ท่านอย่ามาซ้ำเติมบาดแผลในใจข้า”
เจ้าก้อนแป้งที่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจ้องมองเขาเขม็ง กำลังจะเปิดปากพูด ก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งดังกังวานขึ้นมาในลานบ้าน “หยุนเสี่ยวหยวน เจ้าออกมานะ”