อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 102 บุกไปยังจวนอ๋องหมิง
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 102 บุกไปยังจวนอ๋องหมิง
“หากให้ไปแล้ว พวกเขาก็จะเชื่อใจข้า ถึงตอนนั้นข้าค่อยคิดหาวิธี ขโมยคืนกลับมาให้ท่านอ๋องก็พอ ซึ่งจะไม่มีใครรู้”
ฉินซื่อเสวียพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “แต่ต้องขโมยตราสัญลักษณ์มาจากรองแม่ทัพหวูนั้น ค่อนข้างยา”
รองแม่ทัพหวูคนนี้พูดยาก
เขาติดตามโม่หุยเฟิงมานาน เป็นลูกน้องที่เขาไว้ใจที่สุด
แต่รองแม่ทัพหวูคนนี้เป็นคนบักเดียว พูดตามตรงก็คือหัวรั้น
เป็นคนเรียบง่าย ไม่คิดอะไรซับซ้อน ปกติจะฟังคำสั่งโม่หุยเฟิงคนเดียว นอกจากคำสั่งของเขา ใครก็สั่งรองแม่ทัพหวูไม่ได้
ด้วยเหตุนี้จึงล่วงเกินคนในราชสำนักไม่น้อย
ขุนนางในราชสำนักล้วนเห็นแก่โม่หุยเฟิง จึงไม่คิดบัญชีรองแม่ทัพหวู
ไม่อย่างนั้น เขาคงถูกพวกเหล่าขุนนางร่วมมือกันทำร้ายจนตายเป็นร้อยรอบแล้ว
“ข้าจำได้ว่า พ่อไปมาหาสู่รองแม่ทัพหวูอยู่บ้าง จึงได้กลับจวนเซี่ยง เพื่อปรึกษาพ่อเรื่องนี้”
ฉินซื่อเสวียเงยหน้ามองดูฉินตงหลิน
“เรื่องนี้…..”
เขาพูดขึ้นมาอย่างลำบากใจว่า “พ่อกับรองแม่ทัพหวูเคยไปมาหาสู่กันหลายครั้ง แต่ขโมยตราสัญลักษณ์ไม่ใช่เรื่องเล็ก คิดอยากขโมยไปจากมือเขา ยิ่งไม่ใช่เรื่องง่าย”
รองแม่ทัพหวูมีฝีมือการต่อสู้ที่ดี หากคิดอยากขโมยตราสัญลักษณ์ จึงมีเพียงวิธีเดียว…..
คนคนนี้ชอบดื่มเหล้า ต้องมอมเหล้าเขาให้เมา ถึงจะมีโอกาส
“แต่ว่า….”
ฉินตงหลินขมวดคิ้วชนกัน พร้อมพูดขึ้นว่า “หากเรื่องนี้ถูกจับได้ เจ้าจะอธิบายกับท่าอ๋องยังไง? ยังมีฮองเฮา จะทำยังไง?”
“เรื่องนี้ข้าคิดแผนการรับมือไว้ตั้งแต่แรกแล้ว พ่อเอาตราสัญลักษณ์มาให้ข้าให้ได้ก็พอ
ฉินซื่อเสวียยอมเสี่ยงทุกอย่าง
ทางด้านโม่หุยเฟิงถือว่าอธิบายง่าย เพราะนางทำไปเพื่อให้โม่เยว่ไว้วางใจ
แต่ทางด้านฮองเฮาจ้าว…..
มือของฉินซื่อเสวีย วางบนท้องน้อยอย่างไม่รู้ตัว สายตาฉายแววลังเล
หากครั้งนี้สามารถแก้ไขเรื่องราวได้อย่างราบรื่น นางไม่เพียงได้รับความเชื่อใจจากโม่เยว่ ยังสามารถฉวยโอกาสกำจัดหยุนหว่านหนิงนังสารเลวคนนั้น กลายเป็นคนที่โม่จงหรานกับฮองเฮาจ้าวให้ความสำคัญ
เป็นการ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
……
ตอนนี้โม่เฟยเฟยก็พัฒนาขึ้นแล้ว
รู้ว่าฉินซื่อเสวียสั่งจื่อซู แอบสืบเรื่องที่นางไปยังจวนอ๋องหมิง ดังนั้นเมื่อฉินซื่อเสวียกลับไปแล้ว นางก็ไม่ได้ไปยังตำหนักหย่งโซ่วในทันที
รอจนมืดค่ำแล้ว นางค่อยพาโม่ลี่ไปเฝ้าเต๋อเฟยอย่างรีบร้อน
คืนนี้โม่จงหรานไปยังตำหนักสนมคนอื่น เต๋อเฟยนอนอยู่บนเตียงอย่างหลับตาไม่ลง
ได้ยินว่าองค์หญิงเก้ามา นางรีบลุกขึ้นมานั่ง พร้อมสั่งคนเผาถ่านในตำหนักเยอะๆ
“เสด็จแม่”
โม่เฟยเฟยมองดูโม่ลี่แวบหนึ่ง นางรีบไปปิดประตูตำหนัก พร้อมเฝ้าอยู่ข้างนอก
“เฟยเฟย ค่ำขนาดนี้แล้วไม่พักผ่อน มาหาเสด็จแม่ทำไม?”
เห็นลูกสาวสุดที่รักของตน เต๋อเฟยพูดขึ้นมาอย่างรักใคร่ว่า “มาใกล้ๆเสด็จแม่ ถอดรองเท้าแล้วนอนในผ้าห่ม อบอุ่นกว่า”
โม่เฟยเฟยถอดรองเท้า แล้วนอนอยู่ด้านข้างเต๋อเฟย
เต๋อเฟยรีบคลุมมือคลุมเท้าให้นาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ดูมือเท้าของเจ้าสิเย็นหมดแล้ว”
“เสด็จแม่ ที่ลูกมาดึกขนาดนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญจะบอกเสด็จแม่”
โม่เฟยเฟยถูกผ้าห่มห่อคลุมไว้อย่างแน่นหนา เผยให้เห็นเพียงใบหน้า พร้อมพูดขึ้นว่า “เสด็จแม่รู้ไหม จวนอ๋องหมิงมีเด็กคนหนึ่ง?”
เด็กคนหนึ่ง?
เต๋อเฟยหวนคิดถึงเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่นางไปยังจวนอ๋องหมิง ก็ได้เจอกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่โม่เยว่พากลับมา
ได้ยินว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของหยุนหว่านหนิงกับคนใช้ในบ้าน
ถึงเต๋อเฟยจะโกรธโมโห อยากที่จะฆ่าหยุนหว่านหนิง นังสารเลวที่หลายใจคนนี้
ที่ผ่านมาก็เคยคิดที่จะกำจัดเด็กคนนั้น โม่เยว่จะได้ไม่ต้องอับอาย
ตราบใดที่ยังมีเด็กคนนั้นอยู่ สีเขียวบนหัวโม่เยว่ ก็จะไม่จางหายไป
คนอื่นก็จะรู้ว่า หยุนหว่านหนิงสวมเขาให้กับอ๋องหมิงแต่แรกแล้ว
แต่ลูกชายของตนเองไม่พูดอะไร ยังพูดโน้มน้าวเต๋อเฟยว่า นั่นชีวิตน้อยที่บริสุทธิ์ และก็เห็นว่าโม่เยว่รักใคร่เด็กคนนั้นมาก เต๋อเฟยจึงตามใจเขา
ขอเพียงเด็กคนนั้นปรากฏอยู่ตรงหน้าคนอื่น ใครก็ไม่รู้ว่าจวนอ๋องหมิงยังมีลูกนอกคอกคนหนึ่ง
เต๋อเฟยพยักหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “เด็กคนนั้นข้าก็รู้”
“งั้นเสด็จแม่เคยเห็นไหม เด็กคนนั้นรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง?”
โม่เฟยเฟยถามขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
เห็นสีหน้าของนางตื่นเต้น เต๋อเฟยสงสัย แต่ก็ส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้ายังไม่เคยเห็น เคยสั่งให้หรูยี่มารายงานข้า แต่นังคนนั้นตอนนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้ว”
“จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มารายงานข้า”
“เฟยเฟย อยู่ดีๆทำไมเจ้าถึงถามเรื่องนี้?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เต๋อเฟยก็ขุ่นเคืองใจ อดไม่ได้ที่จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา
แฟนลูกสาวสุดที่รักเป็นคนพูดขึ้นมา เต๋อเฟยจำต้องระงับความขุ่นเคืองใจไว้ พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าได้ยินมาว่า เมื่อวานเจ้าไปจวนอ๋องหมิง หยุนหว่านหนิงนังสารเลวคนนั้นรังแกเจ้าหรือเปล่า?”
เมื่อก่อนได้ยินเต๋อเฟยเรียกหยุนหว่านหนิงว่า นังสารเลว โม่เฟยเฟยก็ไม่รู้สึกอะไร
กระทั่งแม้แต่ตัวนางเองก็เรียกว่า นังสารเลว
แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินเต๋อเฟยเรียกหยุนหว่านหนิงแบบนี้ ในใจโม่เฟยเฟยรู้สึกไม่ดี
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมพูดขึ้นว่า “เสด็จแม่ ยังไงหยุนหว่านหนิงก็เป็นพี่สะใภ้ของข้า เป็นลูกสะใภ้ของท่าน ต่อไปเสด็จแม่ไม่ต้องด่านางแบบนี้ดีไหม? คนอื่นได้ยินจะไม่ดี?”
ปิ้งย่างเนื้อมื้อนั้น ได้ใจโม่เฟยเฟยไปแล้ว
เห็นนางพูดเข้าข้างหยุนหว่านหนิง…..
เต๋อเฟยอึ้ง อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือ ไปแตะหน้าผากของนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “เฟยเฟย เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม? ตัวก็ไม่ร้อนนี่ ทำไมถึงพูดจาไปเรื่อย?”
“นังสารเลวคนนั้นข่มขู่เจ้าหรือ? ทำให้เจ้าหวาดกลัวหรือ? ทำไมเจ้าถึงพูดเข้าข้างนาง?”
หลายเดือนมานี้ โม่เยว่กับนาง ไม่เป็นใจเดียวกันอีกต่อไปแล้ว
แม้แต่โม่เฟยเฟยที่อ่อนโยน ก่อนเริ่มมีความคิด ไม่เป็นใจเดียวกับนางอีกต่อไป
ซึ่งทำให้เต๋อเฟยรู้สึกถึงความอันตราย พร้อมพูดขึ้นว่า “หยุนหว่านหนิง ทำอะไรเจ้ากับพี่เจ็ดของเจ้ากันแน่? ทำไมพวกเจ้าล้วนปกป้องนาง?”
ได้ยินแบบนี้ โม่เฟยเฟยถอนหายใจอย่างจนใจ
“เสด็จแม่ เรื่องเมื่อสี่ปีก่อน มีความเป็นไปได้ที่พวกเราเข้าใจหยุนหว่านหนิงผิดไปแล้ว”
นางไม่ได้พูดตามตรงว่าฉินซื่อเสวียใส่ร้ายนาง หยุนหว่านหนิงเป็นแพะรับบาป
รอหลังจากเสียงของเปี้ยจูหายดีแล้ว ค่อยพานางมาตรงหน้าเต๋อเฟย บอกเล่าความจริงในตอนนั้น
หากพูดออกมาเสียตอนนี้ เต๋อเฟยไม่เชื่อแน่ว่า เรื่องในตอนนั้นเป็นฝีมือของฉินซื่อเสวีย
ฉินซื่อเสวียที่นางชื่นชอบที่สุด
กลัวว่าเต๋อเฟยจะสงสัย โม่เฟยเฟยรีบพูดขึ้นว่า “เสด็จแม่ เมื่อวานลูกได้เจอกับเด็กคนนั้น เสด็จแม่รู้ไหม เด็กคนนั้นรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง?”
ภายในสายตาของนางยับยั้งความตื่นเต้นดีใจไว้ไม่ได้
เห็นนางตื่นเต้นขึ้นมาอย่างกะทันหัน เต๋อเฟยขมวดคิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “เป็นยังไง?”
หักหน้าตาเหมือนบ่าวใช้ที่ตายไปแล้วคนนั้น เต๋อเฟยคงทนไม่ไหวแน่ คงคิดอยากจะฆ่าหยุนหว่านหนิงกับหยวนเป่า……
“เหมือนพี่เจ็ดอย่างมาก”
โม่เฟยเฟยอดทนไม่ไหวอีกต่อไป พูดออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
เต๋อเฟยอึ้ง
ไม่รอให้โม่เฟยเฟยพูดต่อ เต๋อเฟยก็รีบลงจากเตียง หยิบเสื้อคลุมมาสวมแล้วก็รีบออกไป
เมื่อโม่เฟยเฟยได้สติกลับมา เสด็จแม่ของตนเองก็หายลับไปแล้ว
นี่รวดเร็วเกินไปไหม?
นี่เพียงแค่ไม่กี่อึดใจเอง
ปกติ ให้เสด็จแม่ไปเดินอี้ว์ฮวาหยวนสักรอบ นางยังรู้สึกปวดเท้า
“คนล่ะ?”
นางตกตะลึง พร้อมพูดขึ้นว่า “เสด็จแม่ไม่ได้บุกไปจวนอ๋องหมิงแล้วมั้ง?”