อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 105 เต๋อเฟยล้มป่วย
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 105 เต๋อเฟยล้มป่วย
“เสด็จแม่ ท่านเห็นผิดคนหรือเปล่า?”
โม่เฟยเฟยขมวดคิ้วแน่น พร้อมพูดขึ้นว่า “หยวนเป่าเหมือนพี่เจ็ดอย่างมาก ปากหวานว่าง่าย ลูกเห็นแล้วก็ชื่นชอบอย่างมาก”
เมื่อวานนางได้เจอหยวนเป่า ไม่เพียงหน้าตาเหมือนโม่เยว่ ลักษณะนิสัยก็เหมือนตอนที่โม่เยว่ยังเป็นเด็ก
ดูลักษณะนั้นแล้ว ก็รู้เลยว่าเป็นเชื้อสายราชวงศ์
อาจเป็นเพราะสายเลือดเดียวกัน เมื่อโม่เฟยเฟยเห็นหยวนเป่า ก็ชื่นชอบเป็นอย่างมาก
ทำไมม่ถึงปากเต๋อเฟย ถึงกลายเป็นรูปร่างหน้าตาเหมือนขโมย ยังขี้ขลาดหวาดกลัว?
“ข้าจะดูผิดได้ยังไง? หยุนหว่านหนิงเรียกเขาว่าหยวนเป่า ยังโอบกอดกล่อมนอน”
ยิ่งคิดถึงเรื่องคืนนี้ เต๋อเฟยก็ยิ่งขุ่นเคืองใจ ยิ่งโกรธโมโหอย่างมาก
ไม่นาน เหงือกก็มีอาการร้อนใน เจ็บปวดจนนางพูดจาลำบาก
หัวก็เริ่มวิงเวียน ขมับเหมือนจะระเบิด
เต๋อเฟยรู้ว่าวันนี้นางเจอลมหนาว จึงรีบขึ้นเตียง ล้มตัวลงนอน แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เช้าวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวออกมาว่า เต๋อเฟยล้มป่วย
เมื่อรู้เรื่องนี้ หยุนหว่านหนิงกำลังทานข้าวอยู่กับโก่วตั้น
โม่เยว่เข้าวังไปว่าราชการเช้าแล้ว
เมื่อวานโม่จงหรานบอกนางว่า วันนี้เขางานยุ่งจึงไม่ต้องเข้าวังไปตรวจชีพจร ดังนั้นนางจึงนอนตื่นสาย
โก่วตั้นหน้าตาเหมือนจางหมัวมัว จึงค่อนข้างเหมือนขโมยจริง ตั้งแต่เล็กเติบโตมาในสภาพแววดล้อมแบบนั้น ไม่เคยเจอผู้หลักผู้ใหญ่ เมื่อวานมาถึงจวนอ๋องได้เจอหยุนหว่านหนิงแล้วก็คุกเข่าลง
เมื่อคืนเห็นเต๋อเฟยแบบนั้น ทำให้เด็กตกใจได้ง่ายจริงๆ
เวลานี้โก่วตั้นก็ยังหวาดกลัว สายตาที่มองดูหยุนหว่านหนิงก็แฝงไปด้วยความเกรงกลัว
รู้ว่าเขาตกใจ หยุนหว่านหนิงยิ้มหัวเราะ ล้วงเอาลูกอมออกมาจากในช่องว่างยื่นให้นาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องกลัว อีกไม่กี่วันเจ้าก็กลับไปกับย่าได้เลย”
โก่วตั้นรับลูกอมมาอย่างไม่พูดไม่จา
“พระชายา ได้ยินว่าเต๋อเฟยไม่สบาย”
จางหมัวมัวยืนอยู่ด้านข้าง บ่งบอกให้โก่วตั้นรีบเก็บลูกอมไว้ พร้อมพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวเหนียงเหนียงจะมาหาเรื่องพระชายา….”
ครั้งนี้ ต่อให้หยุนหว่านหนิงพูดยังไงก็คงไม่เป็นผลดีแล้ว
“เกี่ยวอะไรกับข้า?”
หยุนหว่านหนิงไม่สนใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าไม่ได้ใช้ให้นางมาจวนอ๋องในยามกลางดึก”
จางหมัวมัว “……”
คำพูดแบบนี้ มีเพียงพระชายาคนเดียวที่กล้าพูด
“หากฮ่องเต้กับท่านอ๋องโกรธพระชายา จะไม่ดี”
ด้วยอำนาจเงินของหยุนหว่านหนิง จางหมัวมัวจึงถูกซื้อใจแต่แรกแล้ว ตอนนี้รู้จักคิดเผื่อนางอย่างเดียว
ติดตามเจ้านายที่ร่ำรวยคนหนึ่ง จะต้องกลัวต่อไปไม่ได้กินอิ่มไม่ได้นอนอุ่นหรือ?
ตราบที่พระชายายังอยู่ นางก็จะได้อยู่ดีกินดีไปด้วย
ดังนั้น ความปลอดภัยของหยุนหว่านหนิง จางหมัวมัวให้ความสำคัญยิ่งกว่าความปลอดภัยของตนเองเสียอีก
“ทำไมพวกเขาจะต้องโกรธข้า? ข้ายังจะไปเอาเรื่องโม่เยว่ด้วยซ้ำ ดึกดึนค่ำคืนเสด็จแม่มาเดือดร้อนถึงในจวน ทำให้ข้าต้องนอนฝันร้ายทั้งคืน วันนี้ปวดเอวปวดหลัง….”
หยุนหว่านหนิงหาวขึ้นมา
เห็นพระชายาของตนไม่ใส่ใจ จึงหวนคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา ท่านอ๋องเชื่อฟังพระชายาอย่างมากจริงๆ
ดังนั้น จางหมัวมัวจึงก็ไม่พูดอะไรมาก
……
แต่ข่าวที่เมื่อคืนเต๋อเฟยรีบร้อนออกจากวัง ยังคงรู้ไปถึงหูฮองเฮาจ้าว
“ห๋า?”
รู้ว่าเต๋อเฟยไม่สบาย เพราะเมื่อคืนออกจากวังไปกลางดึก ฮองเฮาจ้าวมองดูหมอหลวงตรงหน้าด้วยสีหน้าสงสัย พร้อมพูดขึ้นว่า “กลางดึกแบบนั้น เต๋อเฟยออกจากวังไปทำอะไร?”
หมอหลวงคนนี้เพิ่งไปตรวจที่ตำหนักหย่งโซ่วมา ออกมาจากตำหนักหย่งโซ่วก็ถูกนางกำนัลตำหนักคุนหนิงเชิญมาที่นี่
บอกว่าฮองเฮาก็ไม่สบาย
หลังจากตรวจดูแล้ว ค่อยพบว่าฮองเฮาจ้าวไม่ได้เป็นอะไร….
จึงเข้าใจขึ้นมาทันที นี่คือต้องการรู้ข่าวของตำหนักหย่งโซ่ว
ดังนั้นจึงเล่าอาการของเต๋อเฟยออกมาให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง
“ใช่หรือ? เพื่อเด็กนอกคอกคนหนึ่ง?”
ฮองเฮาจ้าวกลอกตามองบน พร้อมพูดขึ้นว่า “เห็นที เต๋อเฟยคงร้อนใจแล้ว ที่จริงก็ถูก หยุนหว่านหนิงแต่งงานเข้ามาในจวนอ๋องหมิงสี่ปีแล้ว ก็ไม่เห็นแม้เพียงขนไก่”
“ข้ามีหลานสาวถึงสามคนแล้ว เต๋อเฟยคงฮึดสู้อย่างสุดชีวิตเพราะไม่มีทางเลือก”
นางเม้นริมฝีปาก พร้อมพูดขึ้นด้วยสีหน้าเยาะเย้ยว่า “คิดอยากที่จะเอาลูกนอกคอกของบ่าวใช้มาเป็รหลาน แต่สายเลือดราชวงศ์จะเอามาแทนที่กันง่ายๆได้อย่างไร?”
ฮองเฮาจ้าวกับเต๋อเฟยแข่งขันกันมากว่ายี่สิบปีแล้ว
คนหนึ่งที่ไม่เป็นที่รัก แต่เป็นฮองเฮาที่สูงศักดิ์ที่สุดในวังหลัง
คนหนึ่งเป็นที่โปรดปรานที่สุดในวังหลัง แต่สถานะด้อยกว่าฮองเฮา
ดังนั้นความไม่ลงรอยกันของทั้งสองคน สำหรับหมอหลวงถือเป็น เทพเทวดาต่อสู้กัน
ฟังคำพูดของฮองเฮาจ้าวแล้ว เขาแทบไม่กล้าหายใจ ไม่กล้าตอบไปเรื่อย
“ในเมื่อเต๋อเฟยล้มป่วยแล้ว ในฐานะที่ข้าเป็นฮองเฮา ควรที่จะไปเยี่ยมดูบ้าง”
ฮองเฮาจ้าวลุกขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “ยวนยัง นำโสมอายุร้อยปีมาสองอัน ข้าจะไปตำหนักหย่งโซ่ว”
ในฐานะที่นางเป็นฮองเฮา ของดีอะไรที่นางไม่มี?
แต่เพียงให้ยวนยังเอาโสมร้อยปีมาสองอัน….โสมร้อยปี ไม่ใช่โสมพันปี แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าที่นางไปตำหนักหย่งโซ่ว เป็นการกระทำในสิ่งที่แตกต่างจากที่เห็นโดยสิ้นเชิง
พูดว่าไปเยี่ยมเต๋อเฟย ที่จริงพูดว่าไปเยาะเย้ยเต๋อเฟยดีกว่า
ตอนนี้ เต๋อเฟยกำลังนอนทรมานอยู่บนเตียง
เพราะเหงือกร้อนใน ใบหน้าครึ่งหนึ่งของนางจึงบวม
บนหน้าผากมีผ้าประคบไว้ มือข้างหนึ่งเท้าคาง ปากร้องโอดอวย
เซี่ยอี่วยกยามา กำลังนั่งขอบเตียงป้อนยาให้นาง
เห็นฮองเฮาจ้าวมา เต๋อเฟยคิดในใจว่าแย่แล้ว….แต่ยังจะลุกขึ้นมาถวายความเคารพ พร้อมพูดขึ้นว่า “หม่อมฉันถวายบังคมฮองเฮา”
“เจ้านอนลงเถอะ เจ้าป่วยอยู่ ไม่ต้องมากพิธี”
ฮองเฮาจ้าวยิ้มแย้มพร้อมไปประคองนาง ให้นางนอนลงใหม่ พร้อมพูดขึ้นว่า “ได้ยินว่าเจ้าป่วย ข้าจึงมาเยี่ยม เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง?”
ยวนยังเอาโสมยื่นให้กับหลี่หมัวมัว
“หม่อมฉันยังดี ขอบพระทัยที่ฮองเฮาเป็นห่วง”
เต๋อเฟยพูดตอบอย่างขอไปที
แบบนี้เรียกว่ายังดี?
เห็นนางย่ำแย่ขนาดนี้ ฮองเฮาจ้าวแอบดีใจ สีหน้ากลับพูดขึ้นมาอย่างเสียใจว่า “เรื่องเมื่อคืน ข้ารู้เรื่องแล้ว เจ้าไม่ต้องใส่ใจ”
“เรื่องลูกหลาน ล้วนแล้วแต่สวรรค์”
“หว่านหนิงกับเยว่เอ๋อร์ต่างยังหนุ่ม เรื่องมีลูกไม่ช้าก็เร็ว ไม่ต้องเร่งรีบ”
ฟังดูเหมือนปลอบโยนเต๋อเฟย…..
แต่เต๋อเฟยจะฟังไม่ออกหรือว่า นางกำลังยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่น
“เพคะ ขอบพระทัยฮองเฮาที่แนะนำ หม่อมฉันร้อนใจไปแล้ว”
เต๋อเฟยพูดขึ้นมาอย่างเศร้าสร้อย
“ตอนนี้ข้ามีหลานสาวสุดที่รักสามคนแล้ว เรื่องหลานชายจะร้อนใจไปไมได้ พวกนี้ล้วนเป็นวาสนา บังคับไม่ได้”
นางเริ่มโอ้อวดหลานสาวสุดที่รักทั้งสามคนของนางอีกแล้ว
เต๋อเฟยกัดฟันอย่างขุ่นเคือง
แต่เมื่อกัดฟัน นางก็จะปวดฟัน จนอดไม่ได้ที่จะร้องคร่ำครวญ
“ฮองเฮาพูดถูก”
แล้วเวลานี้หลี่หมัวมัวก็มารายงานว่า พระชายาหมิงมาเยี่ยมเต๋อเฟย
ตอนนี้ เมื่อเต๋อเฟยได้ยินชื่อหยุนหว่านหนิง ก็โกรธจัดขึ้นมาทันที
นางไม่สนใจว่าฮองเฮาจ้าวยังอยู่ที่นี่ หันไปพูดสั่งหลี่หมัวมัวอย่างดุดันว่า “ขับไล่นังสารเลวที่ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาออกจากวังไป”
นางโกรธโมโหจนยกกำปั้นทุบเตียง
ที่ไหนได้ เพิ่งพูดออกไป ก็ได้ยินเสียงหยุนหว่านหนิงดังอยู่ตรงหน้าประตูแล้วว่า “เสด็จแม่อย่าเพิ่งรีบไล่ข้าไป”
“มีคนอยากพบท่าน”