อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 117 พระชายาหยิงแท้งลูกแล้ว
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 117 พระชายาหยิงแท้งลูกแล้ว
ฉินซื่อเสวียถูกลงโทษที่หน้าประตูห้องทรงพระอักษร
เมื่อได้ยินเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกของข้ารับใช้ในวังที่อยู่ข้างนอก โม่จงหรานก็ถามอย่างไม่พอใจว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“ฝ่าบาท ฮองเฮา เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้วเพคะ!”
แม่นมที่ทำหน้าที่ลงทัณฑ์โบยพุ่งเข้ามา ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
มือของนางเต็มไปด้วยเลือด สีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด “พระชายาหยิง! พระชายาหยิงแท้งลูกไปแล้วเพคะ!”
“อะไรนะ?!”
ฮองเฮาจ้าวรีบผุดลุกยืนขึ้นก่อน
เพราะผุดลุกขึ้นยืนเร็วเกินไป ดวงตาจึงพลันมืดดำไปวูบหนึ่ง หวุดหวิดจะล้มลงไปกับพื้น ยังดีที่แม่นมจางตาดีมือไวสามารถประคองนางไว้ได้ทัน “ฮองเฮา ท่านไม่เป็นไรนะเพคะ?”
“ข้าจะไปดูหน่อย”
ฮองเฮาจ้าวไม่มีเวลาไปสนใจอาการเวียนหัวตาลายอะไรแล้ว รีบสาวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
โม่จงหรานวางเรื่องที่เขากำลังทำอยู่ลงทันที รีบเดินออกมาตรวจสอบเหตุการณ์
ฝ่ายฉินซื่อเสวียเป็นลมหมดสติไปแล้ว
ลำตัวช่วงล่างของนางมีเลือดไหลออกมา เลือดสด ๆ ไหลอาบลงมาจากแผ่นกระดานที่ใช้ลงทัณฑ์ มาบรรจบกันที่พื้นกลายเป็นแม่น้ำสีเลือดที่คดเคี้ยวสายหนึ่ง
เมื่อเห็นดังนั้น สีหน้าของฮองเฮาจ้าวก็เปลี่ยนไปทันที นางตะโกนสั่งอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “พวกเจ้าแต่ละคน ๆ ไม่มีตาหรือไร?! ยังไม่รีบไปเรียกหมอหลวงมาอีก? มัวยืนเซ่ออะไรกันอยู่ได้?!”
แม่นมรีบวางไม้กระดานที่ใช้ตี แล้วรีบวิ่งไปเชิญหมอหลวง
ข้ารับใช้ในวังต่างรีบมะรุมมะตุ้มกันเข้าไปพยุงฉินซื่อเสวียขึ้นมา ภายใต้คำสั่งการของโม่จงหราน ทุกคนก็ช่วยกันพยุงนางเข้าไปในห้องข้าง ซึ่งอยู่ถัดจากห้องทรงพระอักษร
ฮองเฮาจ้าวเดินตามเข้าไปในสภาพริมฝีปากสั่นระริก
นางมีหลานสาวเพียงสามคนเท่านั้น
ตอนนี้ในราชวงศ์ยังไม่มีหลานชายคนโตเลย โม่จงหรานก็เคยพูดหลายครั้งแล้วว่าอยากมีหลานชายคนโตสักที … แต่จนใจที่ลูกสะใภ้พวกนี้จะคนไหน ๆ ก็ไม่มีใครแย่งชิงวาสนานั้นมาได้เลยสักคน
ไม่มีใครที่สามารถให้กำเนิดหลานชายคนโตให้กับราชวงศ์ได้!
ในฐานะฮองเฮา แน่นอนว่าฮองเฮาจ้าวย่อมต้องร้อนใจเป็นที่สุด
เพียงไม่นานหมอหลวงก็มาถึง
หลังจากตรวจชีพจรแล้ว หมอหลวงก็ส่ายหน้าพลางถอนหายใจเฮือก บอกว่ามันสายเกินไปแล้ว พระชายาหยิงได้แท้งลูกไปแล้ว
“แล้วชีพจรนี้ที่จับได้นี้ เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง?”
ฮองเฮาจ้าวถามอย่างระมัดระวัง
หมอหลวงส่ายหน้า “ฝ่าบาท เด็กแท้งไปแล้ว ดูไม่ออกจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะว่าเป็นชายหรือหญิง! นอกจากนี้อายุครรภ์ของพระชายาหยิงก็ยังนับว่าน้อยมาก เพิ่งมีอายุเพียงหนึ่งเดือนหรือมากกว่านั้นเล็กน้อย”
ในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ ใครจะตรวจสอบได้ล่ะว่าเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง?
“ราวหนึ่งเดือนกว่า?”
ฮองเฮาจ้าวพึมพำกับตัวเอง
เมื่อคำนวณดูแล้ว โม่หุยเฟิงก็ไปจากเมืองหลวงได้ราว ๆ หนึ่งเดือนแล้วเช่นกัน
ดังนั้น ฉินซื่อเสวียที่ตั้งครรภ์ได้ราวหนึ่งเดือน ก็นับว่าเป็นระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกัน
“ฝ่าบาท สามเดือนแรกของการตั้งครรภ์นี้ เดิมทีก็เป็นช่วงเวลาที่เกิดการแท้งได้ง่ายที่สุดอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น พระชายาหยิงยังตั้งครรภ์ได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น จำเป็นต้องระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษพ่ะย่ะค่ะ”
ความประมาทเลินเล่อแค่เพียงเล็กน้อย ก็สามารถแท้งได้อย่างง่ายดายแล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่า ฉินซื่อเสวียถูกลงโทษโบยตีด้วยไม้กระดาน
อีกทั้งโทษโบยครั้งนี้ ยังเป็นฮองเฮาจ้าวที่ออกคำสั่งด้วยตัวเองอีกด้วย!
ถ้านางไม่เป็นฝ่ายเอ่ยถึงการลงโทษตีด้วยไม้กระดานขึ้นมา ก็ไม่แน่ว่าเด็กในท้องของพระชายาหยิงก็คงจะรักษาเอาไว้ได้
แล้วถ้าเกิดว่า เป็นเด็กผู้ชายล่ะ…..
ยิ่งฮองเฮาจ้าวคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกผิดหงุดหงิดใจมากขึ้นเท่านั้น
“ฮองเฮา เดิมทีพระชายาหยิงก็เป็นคนที่มีร่างกายซึ่งง่ายต่อการตั้งครรภ์อยู่แล้ว ขอพระองค์อย่าได้ทรงโศกเศร้าเกินไป ไม่แน่ว่าหลังจากที่พระชายาหยิงได้ดูแลบำรุงร่างกายจนแข็งแรงดีแล้ว จากนี้อีกไม่นานก็อาจจะตั้งครรภ์ได้ใหม่พ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงพูดปลอบใจ
ถึงหมอหลวงจะพูดอย่างนั้น แต่ฮองเฮาจ้าวกลับรู้สึกทรมานใจอย่างถึงที่สุด
นางโบกมือเป็นสัญญาณให้หมอหลวงออกไป
ในห้องทรงพระอักษร โม่จงหรานขมวดคิ้วมุ่น ” หว่านหนิง เจ้ารู้เรื่องที่เมียเจ้าสามกำลังท้องอยู่หรือไม่? ”
เรื่องนี้นางไม่รู้จริง ๆ!
หยุนหว่านหนิงส่ายหน้าอย่างจริงใจ “เสด็จพ่อ ถ้าข้ารู้ว่านางตั้งครรภ์ ต่อให้เป็นเรื่องที่เลวร้ายถึงขนาดสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ข้าก็จะไม่มีวันเอะอะอาละวาด จนเรื่องมาถึงเสด็จพ่อแน่นอนเพคะ”
แม้ว่านางกับฉินซื่อเสวีย จะเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้
แต่เด็กเป็นผู้บริสุทธิ์ ถึงอย่างไรก็เป็นชีวิตเล็ก ๆ ชีวิตหนึ่ง
อีกทั้งตัวนางเองก็เป็นแม่คนแล้วเหมือนกัน หยุนหว่านหนิงไม่มีทางเอาชีวิตของเด็กมาเป็นเครื่องมือต่อสู้กับฉินซื่อเสวียเด็ดขาด
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โม่จงหรานก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิด
สำหรับคำพูดของนางเขายังนับว่าเชื่อถืออยู่พอสมควร
“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ!”
หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้ไปมา โม่จงหรานก็เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ทั้งฮองเฮาและเมียเจ้าสาม คงจะจดจำความแค้นไปลงไว้ที่เจ้าแน่ ๆ ช่วงนี้ก็อย่าเพิ่งเข้าวังเลยจะดีกว่า อยู่ที่จวนอย่างสงบเสงี่ยมไปก่อน ”
ความหมายคือ เขากลัวว่านางจะถูกฮองเฮาจ้าวกับฉินซื่อเสวียหาเรื่องแก้แค้น
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่เป็นห่วงเพคะ”
หยุนหว่านหนิงรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง
ช่วงหลายวันมานี้ นางทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ พยายามบำรุงดูแลร่างกายของโม่จงหรานอย่างสุดความสามารถ ทั้งหมดที่ทำมาไม่เสียเปล่าแล้ว!
หยุนหว่านหนิงไม่ได้รอโม่เยว่ นางออกจากวังไปก่อนแล้วตรงกลับจวนทันที
ข่าวการแท้งของฉินซื่อเสวีย แพร่กระจายออกไปทั่ววังอย่างรวดเร็ว
ในตำหนักหย่งโซ่ว เต๋อเฟยมีสีหน้าตกตะลึงอย่างยิ่ง “เจ้าว่าอะไรนะ? ซื่อเสวียแท้งลูกแล้ว? ทั้งยังเป็นคำสั่งจากฮองเฮา ที่ให้เฆี่ยนตีนางถึงสามสิบไม้กระดานด้วย?!”
“เพคะ พระสนม”
แม่นมหลี่รีบมารายงานข่าวนี้ที่ไปสืบเสาะมาได้ให้นางรู้ “ตอนนี้ พระชายาหยิงยังอยู่ในห้องโถงเรือนข้างที่อยู่ถัดจากห้องทรงพระอักษร สลบไสลไม่ได้สติยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลยเพคะ”
ร่องรอยของความกังวลสายหนึ่ง ปรากฏวาบขึ้นในดวงตาของเต๋อเฟย
“ทำไมซื่อเสวียถึงท้องอีกแล้วล่ะ? นางท้องได้เหมือนเรื่องเล่น ๆ เลยนะ บอกว่าให้ท้องก็ท้องทันที”
จากนั้นนางก็พูดพึมพำกับตัวเองว่า “นังลูกสะใภ้หน้าโง่ของข้าคนนั้น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะท้องสักที”
“สะใภ้หน้าโง่” ที่ว่านั้นหมายถึงหยุนหว่านหนิงนั่นเอง
อาจเป็นเพราะเรื่องอาการป่วย กับหลังเกิดเรื่องวุ่นวายโกลาหลครั้งใหญ่ในโรงหมอหลวง
ระหว่างที่นางไม่รู้ตัว ท่าทีที่เต๋อเฟยมีต่อหยุนหว่านหนิง จึงเปลี่ยนเป็นใกล้ชิดสนิทสนมขึ้นมาก
แม้ว่านางจะเป็นห่วงฉินซื่อเสวีย แต่ตาชั่งในใจก็ได้เอนเอียงไปทางหยุนหว่านหนิงอย่างเงียบ ๆ แล้ว ติดที่ว่าเต๋อเฟยยังไม่รู้ตัวก็เท่านั้น
“แต่เพราะอะไรฮองเฮาถึงได้ลงโทษซื่อเสวียล่ะ?”
เต๋อเฟยเอนหลังพิงกับเตียง “ครั้งนี้ลงมือโหดเหี้ยมเกินไปแล้วจริง ๆ!”
ในเวลานี้เองโม่เฟยเฟยก็มาถึง แล้วพูดเกี่ยวกับเรื่องที่ฉินซื่อเสวียแท้ง……
นางบอกว่าเรื่องนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับหยุนหว่านหนิง
เต๋อเฟยถึงกับระเบิดอารมณ์ขึ้นมาทันที “ทำไมมันถึงมีนางเข้าไปเกี่ยวข้องอีกแล้ว?! ข้าถูกนางทำให้โกรธจนล้มป่วย ฮองเฮาก็ถูกนางทำให้โกรธจนล้มป่วย มาตอนนี้แม้แต่ซื่อเสวียก็ถูกนางทำให้โกรธจนแท้งลูก? !”
“นังเด็กน่ารังเกียจนี่มันเป็นตั๊กแตนหรือไร?! ถึงกระโดดไปก่อเรื่องถึงไหนต่อไหนได้ทุกที่?!”
“วังหลวงทั้งวัง ถูกนางก่อกวนจนอยู่กันไม่เป็นสุขไปหมดแล้ว!”
เต๋อเฟยโกรธจัด
“ท่านแม่โปรดระงับโทสะก่อน เรื่องนี้จะโทษพี่สะใภ้เจ็ดก็ไม่ถูกนะเจ้าคะ”
โม่เฟยเฟยรีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า ” เมื่อครู่นี้ลูกยังพูดไม่ทันจบ ท่านแม่ก็โกรธเสียแล้ว! หากท่านแม่รู้ว่าทำไมฉินซื่อเสวียถึงได้ถูกสั่งลงโทษโบยล่ะก็ ท่านจะรู้เลยว่าที่นางต้องมาแท้งลูก ล้วนเป็นเพราะนางหาเรื่องใส่ตัวเอง”
เมื่อได้ยินดังนั้น เต๋อเฟยก็ขมวดคิ้วมุ่น “เฟยเฟย นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ยังไม่ทันที่โม่เฟยเฟยจะได้ตอบกลับ นางก็กล่าวตำหนิด้วยเสียงแผ่วต่ำขึ้นมาอีกครั้งว่า “ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนนะ หลังจากนี้เจ้าอย่าได้ไปเดินใกล้ ๆ หยุนหว่านหนิงให้มากจนเกินไปนัก!”
“นังเด็กน่ารังเกียจนี่ มันไม่ใช่ของดีอะไรหรอก! เจ้าลองดูซิว่านางเคยกลัวใครเสียที่ไหน?”
“ถ้าเจ้าเข้าใกล้นางมากเกินไป จะต้องได้รับผลกระทบไม่ดีจากนางแน่ ๆ!”
อันที่จริงในใจของเต๋อเฟย นึกระแวงสงสัยไปแล้วว่าโม่เฟยเฟยถูกหยุนหว่านหนิงทำให้นิสัยเสียแน่นอนแล้ว
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นฉินซื่อเสวียที่ทำ หรือเป็นหยุนหว่านหนิงที่ทำ
อคติที่เต๋อเฟยมีต่อนาง ก็ได้ฝังรากลึกอยู่ภายในใจไปเรียบร้อยแล้ว
พอลองจับตาดูโม่เฟยเฟยช่วงนี้ นางมักจะช่วยพูดแก้ตัวแทนหยุนหว่านหนิงอยู่เสมอ….. นางจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า เป็นเพราะหยุนหว่านหนิงพูดจายุยงโม่เฟยเฟย เพื่อให้แตกหักกับฉินซื่อเสวีย
“แต่ไหนแต่ไรมา เจ้าก็สนิทสนมกับซื่อเสวียมาก เรียกว่ารักกันเสมือนดั่งพี่น้องเลยนี่”
เต๋อเฟยเอ่ยปากตำหนินางด้วยถ้อยคำที่ตรงไปตรงมา ไม่มีอ้อมค้อมแม้แต่น้อยว่า “ถ้ายังคอยไปอยู่ใกล้ ๆ ผู้หญิงน่ารังเกียจคนนั้นอีกล่ะก็”
“ไม่แน่ว่าอาจถูกนางพูดจายุยง ให้แตกหักความสัมพันธ์กับแม่ของเจ้าคนนี้ไปด้วยอีกคนหรอกรึ?!”
โม่เฟยเฟยอดกลอกตามองบนใส่ไม่ได้ “ท่านแม่ ท่านกำลังพูดอะไรเจ้าคะ?!”
นางไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ แล้วนะ!
จะได้รับผลกระทบจนถูกชักจูงง่าย ๆ ขนาดนั้นได้อย่างไรล่ะ?
เหตุผลที่นางแตกหักความสัมพันธ์กับฉินซื่อเสวีย นอกเหนือไปจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีที่แล้ว มาตอนนี้นางยังค้นพบด้วยว่า แท้ที่จริงฉินซื่อเสวียเป็นคนประเภทหน้าซื่อใจคด ถนัดซ่อนมีดไว้ในรอยยิ้ม พร้อมจะหยิบมาแทงข้างหลังใคร ๆ ได้ตลอดเวลา
อีกทั้งหยุนหว่านหนิงก็เป็นคนที่ตรงไปตรงมากว่ามาก แถมยังทำอาหารได้อร่อยด้วย….
ดังนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่โม่เฟยเฟยสนิทชิดใกล้กับหยุนหว่านหนิงมากขึ้น
แต่เต๋อเฟยไม่เชื่อ
นางเชื่ออย่างสุดใจว่า โม่เฟยเฟยถูกหยุนหว่านหนิงชักนำให้เสียคน
เมื่อเทียบกับเรื่องที่ฉินซื่อเสวียแท้งลูก กับเรื่องที่โม่เฟยเฟยถูกทำให้เสียคน แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมสำคัญกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เต๋อเฟยโกรธจนตบหน้าขาตัวเองดังฉาด ตะโกนสั่งอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “เซี่ยอิ่ว เซี่ยอิ่ว! รีบไปเรียกเยว่เอ๋อร์มาพบข้าเดี๋ยวนี้ วันนี้ข้าต้องถามให้ละเอียดให้ได้ ว่าปกติแล้วเขาอบรมสั่งสอนผู้หญิงของตัวเองอย่างไรกันแน่!”
เพียงไม่นาน โม่เยว่ก็เข้ามาในตำหนักหย่งโซ่ว……