อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 120 รับข้าเป็นพ่อเถอะ
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 120 รับข้าเป็นพ่อเถอะ
“เจ้าอยากจะขอบคุณข้าจริง ๆ น่ะรึ?”
หยุนหว่านหนิงเลิกคิ้วขึ้นสูงพลางจ้องมองเขา
“อื้ม”
“ให้ข้ารับหยวนเป่าเป็นลูกชายดีหรือไม่?”
“ฝันไปเถอะ!”
หยุนหว่านหนิงปฏิเสธเขาอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย!
โม่เยว่: “…..”
ใจเย็น ๆ อดทนไว้!
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง “เจ้าคือพระชายาหมิง ถ้าหยวนเป่าไม่ใช่ลูกชายของข้า แล้วเรื่องนี้เกิดรู้ถึงหูของเสด็จพ่อเสด็จแม่ขึ้นมา จะต้องจับเจ้าไปขังไว้ในคอกหมูแน่”
“อาจร้ายแรงจนถึงขั้นที่ว่า พลอยลากเอาจวนยิ่งกั๋วกงให้โดนขุดรากถอนโคนไปด้วย!”
“แล้วมันจะทำไมล่ะ?”
หยุนหว่านหนิงแค่นยิ้มเย้ยหยัน ” ความเป็นความตายของคนในจวนยิ่งกั๋วกงพวกนั้น มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้านี่”
นางเกลียดจวนยิ่งกั๋วกง โม่เยว่เองก็รู้ดี
“แล้วชื่อเสียงของตัวเจ้าเองล่ะ?”
เขายังคงพูด “ตะล่อม” ต่อไม่หยุด “ยังมีชื่อเสียงของหยวนเป่าอีกล่ะ?”
“หรือเจ้าอยากให้เขาโตขึ้นมาท่ามกลางคำครหาว่าเป็น ‘ลูกไม่มีพ่อ’ จริง ๆ หรือเจ้าอยากให้เขาถูกผู้คนชี้หน้าด่าทอ โดนผู้คนดูถูกเหยียดหยามจริง ๆ?”
เรื่องนี้ หยุนหว่านหนิงยังไม่เคยคิดอย่างละเอียดถ้วนถี่มาก่อนเลย
เมื่อได้ยินถ้อยคำโม่เยว่พูดในตอนนี้ มันกลับฟังดูสมเหตุสมผลไม่น้อย
ตัวนางไม่กลัวที่จะถูกผู้คนก่นด่าเย้ยหยัน แต่ถึงอย่างไร นางก็จะไม่มีวันปล่อยให้ลูกชายของตัวเองโดนผู้คนดูถูกเหยียดหยามเป็นอันขาด!
หลังจากคิดไปคิดมา นางก็กัดฟันกรอด “ข้าจะรอดูว่าใครมันกล้า!”
ที่นางมี ก็คือเงินนี่แหล่ะ
ต่อให้นางต้องควักเงินออกมาขว้างหัวคนพวกนั้นจนตาย ก็จะไม่มีวันยอมให้หยวนเป่าต้องได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจเด็ดขาด!
“เฮอะ! เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? หากเจ้าไม่มีข้า ไม่มีฐานันดรของพระชายาหมิงคุ้มกาย เจ้าก็ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น!”
โม่เยว่ยังคงสาดน้ำเย็นใส่นางต่ออย่างไม่ลังเล “ที่นี่คือเมืองหลวง เป็นสถานที่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของฮ่องเต้ เจ้าเป็นสะใภ้ของราชวงศ์ แต่กลับไปมีเรื่องบัดสีกับคนรับใช้จนคลอด ‘ลูกไม่มีพ่อ’ ออกมา ไม่ใช่แค่ตัวเจ้าที่จะเอาชีวิตไม่รอด แม้แต่หยวนเป่าก็จะพลอยติดร่างแหจนต้องลำบากไปด้วย!”
“ตอนนี้หยวนเป่ายังเด็ก เจ้ายังพอจะซ่อนเร้นอำพรางเอาไว้ได้! แต่จะอย่างไรกระดาษมันก็ไม่อาจห่อไฟ ไม่ช้าก็เร็วในวันใดวันหนึ่ง จะต้องมีคนที่รู้เรื่องนี้เข้าจนได้!”
น้อยครั้งนักที่เขาจะพูดมากขนาดนี้ในลมหายใจเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกถ้อยคำยังตอกย้ำลงที่กลางหัวใจได้อย่างแม่นยำ!
หยุนหว่านหนิงเงียบสนิท
นางฉีกกระชากหน้ากากออกมาฉะกับฉินซื่อเสวียตรง ๆ แล้ว แสดงจุดยืนว่าอยู่คนละฝั่งกับจวนยิ่งกั๋วกง ครั้งนี้ก็ยังทำให้ฮองเฮาจ้าวขุ่นเคืองใจโดยตรงอีก
ยังมีพวกขุมกำลังที่คอยหนุนอยู่เบื้องหลังพวกนางอีกล่ะ…..
เรียกได้ว่าในเมืองหลวงนี้ นางไปทำให้คนใหญ่คนโตขุ่นเคืองใจได้เกือบครึ่งเมืองแล้วล่ะมั้ง?
เรื่องที่ฉินซื่อเสวียแท้งลูก ฮองเฮาจ้าวต้องไม่ยอมปล่อยนางไปง่าย ๆ แน่
และถ้านางตั้งใจที่จะกำจัดตน นางจะต้องสืบเสาะจนรู้ชาติกำเนิดของหยวนเป่าแน่นอน!
เมื่อถึงเวลานั้น น่ากลัวว่าหยวนเป่าก็อาจตกอยู่ในอันตราย ….. นางตัวคนเดียวคงไม่อาจปกป้องเขาได้ จำเป็นต้องให้โม่เยว่เป็นคนปกป้องถึงจะวางใจได้
แต่จะให้ยอมรับคำขอบคุณ “ด้วยใจปรารถนาอันแสนยินดี” แบบนี้ของโม่เยว่มาง่าย ๆ ในใจของนางก็ยังรู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจอยู่บ้าง
“เจ้าทำตัวย่ำแย่เลวร้ายกับข้าถึงขนาดนี้ กระทั่งหยวนเป่าตลอดสองสามปีที่ผ่านมาก็ยังได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างเหลือแสน มาตอนนี้จู่ ๆ จะให้หยวนเป่ายอมรับเจ้าเป็นพ่อ นั่นไม่เท่ากับให้เขายอมรับโจรทรามเป็นพ่อหรอกรึ?”
นางแค่นเสียงเย็นชาขึ้นมาเสียงหนึ่ง
ยอมรับโจรทรามเป็นพ่อ? !
แม่ผู้หญิงปากตระไกรคนนี้ มีคำสัปดนอะไรอีกบ้างที่นางไม่กล้าพูดออกจากปาก? !
โม่เยว่โกรธจัด “นี่พวกเราจะคุยกันดี ๆ ไม่ได้เลยใช่หรือไม่?!”
“ได้ ๆ ๆ ”
หยุนหว่านหนิงยิ้มเผล่ “แต่เรื่องนี้ข้าตัดสินใจเองไม่ได้”
“เจ้าเองก็รู้ว่า ถึงแม้หยวนเป่าจะยังเด็ก แต่เขาก็เป็นเด็กที่มีความคิดเป็นของตัวเองกล้าแสดงออกอย่างมาก ถ้าเจ้าอยากเป็นพ่อของเขา ไม่สู้รอให้เขาเลิกเรียนกลับมาก่อน แล้วค่อยลองถามเขาด้วยตัวเองดูล่ะ?”
เมื่อได้ยินความคิดเห็นนี้ ก็นับได้ว่าทัศนคติของหยุนหว่านหนิงยืดหยุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว
ขอแค่ไม่ดื้อแพ่งแล้วก็พอ!
เขาไม่เชื่อเด็ดขาด ว่าเขาจะไม่สามารถรับมือลูกชายของตัวเองได้!
เมื่อคิดดังนั้น โม่เยว่จึงพยักหน้าตอบรับ “เช่นนั้นก็ดี”
“เพราะฉะนั้นเรื่องในวันนี้ ก็เท่ากับว่าหายกันแต่เพียงเท่านี้นะ”
เขาหันหลังกลับแล้วเดินออกไปทันที
หยุนหว่านหนิงลองคิดคำนวณบัญชีโดยละเอียดอีกที “ไม่ถูกนะ! เท่ากับว่าหายกันซะที่ไหน?! เดิมทีหยวนเป่าก็เป็นลูกชายของเขาอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ยังเดิมพันกันอยู่เลยว่าฉินซื่อเสวียจะขโมยป้ายคำสั่งมาได้หรือเปล่า”
“ทำไมคิดไปคิดมา กลายเป็นว่าข้าขาดทุนทุกประตูเลยละเนี่ย?”
นางรีบผุดลุกขึ้นในลักษณะที่เพิ่งมานึกได้เอาภายหลัง แล้ววิ่งไล่ตามเขาออกไป แต่กลับไม่เห็นโม่เยว่แม้แต่เงาแล้ว
พ่อที่กำลังตื่นเต้นยินดีสุดขีด ในเวลานี้ กำลังสาละวนอยู่กับการเตรียมขนมที่หยวนเป่าชอบกิน กับบรรดาของเล่นที่หยวนเป่าชอบเล่นอย่างบ้าคลั่ง
เขาจะต้องทำให้หยวนเป่ามีความสุข แล้วยอมรับเขาเป็นพ่อด้วยความเต็มอกเต็มใจให้ได้!
…………….
หลังจากฉินซื่อเสวียแท้งลูก ในบ่ายวันนั้นนางค่อยถูกส่งกลับไปที่จวนอ๋องหยิง
ฮองเฮาจ้าววางใจไม่ลง จึงไปที่จวนอ๋องหยิงด้วยตัวเอง เมื่อจัดการทุกอย่างจนเข้าที่เข้าทางดีแล้วถึงค่อยกลับวัง
เมื่อรู้ว่าโม่จงหรานได้มีคำสั่งให้โม่หุยเฟิงรีบกลับมายังเมืองหลวงทันที….. ฮองเฮาจ้าวก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ น่ากลัวว่าคงไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ง่าย ๆ แน่แล้ว
แต่จนใจที่ฉินซื่อเสวียยังคงสลบไสลไม่ได้สติอยู่
ดังนั้นจึงไม่ทันได้ส่งข่าวซึ่งก็เป็นความจริงที่ว่า นางขโมยป้ายคำสั่งค่ายห้ากองพล ไปให้โม่หุยเฟิงได้รับรู้
จดหมายคำสั่งของโม่จงหราน ก็ถูกส่งออกไปไกลนับแปดร้อยลี้อย่างรวดเร็ว
เพียงไม่นานโม่หุยเฟิงก็ได้รับจดหมาย
ในจดหมาย โม่จงหรานด่ากราดเขาอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
ต่อให้พวกเขาสองพ่อลูกจะอยู่ห่างไกลกัน แต่เขาก็คล้ายว่าจะจินตนาการถึงสีหน้าท่าทางที่กำลังโมโหโกรธาสุดขีดของโม่จงหรานได้เลยทีเดียว ท่วงท่ากระทืบเท้าพลางชี้หน้าด่ากราดเขาแบบไม่ปราณีนั่น ทำเอาโม่หุยเฟิงหนาวเยือกจนตัวสั่นระริก
กระดาษจดหมายในมือของเขา ถูกเขาออกแรงขยำจนยับย่นเป็นก้อนกลม
ทหารองครักษ์ประจำตัวของเขาชุยเจ๋อ เห็นว่าสีหน้าของเขาย่ำแย่อย่างหนัก จึงรีบถามว่า “ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?”
“หรือจะเกิดเรื่องขึ้นในเมืองหลวงแล้ว?”
“โม่เยว่ เจ้ามันไอ้ชาติชั่ว!”
โม่หุยเฟิงไม่ได้ตอบคำถามตรง ๆ แค่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางก่นด่าว่า “ข้าอยู่ห่างไกลถึงชายแดน เขาถึงกับลอบแทงข้างหลังข้าอย่างโหดเหี้ยมแบบนี้!”
เขาออกแรงขว้างกระดาษที่ถูกขยำจนเป็นก้อนกลมในมือ ทิ้งลงไปบนพื้นอย่างแรง
ชุยเจ๋อรีบเข้าไปเก็บมันขึ้นมา แล้วคลี่ออกอ่านอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที “ท่านอ๋อง เรื่องร้ายแรงเช่นนี้ไม่ดีเลยนะขอรับ!”
“ข้ารู้แล้วว่าเรื่องนี้มันร้ายแรง! ถ้าไม่ใช่เพราะเสด็จพ่อโกรธกริ้วจนสะท้านฟ้าสะเทือนดินแบบนี้ ก็คงไม่มีทางรับสั่งให้ข้ากลับเมืองหลวงทันทีหรอก!”
โม่หุยเฟิงด่ากราดอย่างโหดเหี้ยมไร้ความปราณี “ฉินซื่อเสวีย นังผู้หญิงหน้าโง่เอ๊ย!”
“ข้าให้นางช่วยข้าทำงาน ไม่ได้สั่งให้นางไปทำเรื่องเสียหาย! ข้าเอาชีวิตมาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ในชายแดนแท้ ๆ นางแค่อยู่บ้านเฉย ๆ ก็ยังก่อเรื่องเดือดร้อน สร้างปัญหาให้ข้าจนมันลุกลามบานปลาย กระทั่งลูกข้าในท้องก็ยังรักษาไว้ไม่ได้แล้วตอนนี้!”
“ถ้าข้าถูกยึดอำนาจการควบคุมค่ายห้ากองพลไป ข้าจะปลิดชีวิตนางซะ!”
ที่ชายแดน หลังจากได้มาขลุกอยู่กับพวกคนหยาบกระด้างไปนาน ๆ เข้า คำพูดคำจาของโม่หุยเฟิงก็รุนแรงหยาบคายขึ้นมาไม่น้อย
ชุยเจ๋อลอบกลืนน้ำลายเงียบ ๆ “ท่านอ๋อง เรื่องนี้…”
“หุบปาก!”
ตอนนี้โม่หุยเฟิงรู้สึกหงุดหงิดอย่างยิ่ง โกรธจัดจนปอดแทบจะระเบิดให้ได้แล้ว จึงไม่อยากฟังใครพูดอะไรทั้งนั้น
เขากุมหัวอย่างงุ่นง่านกระสับกระส่าย เดินย่ำเท้าวนเวียนไปมาอยู่กับที่
ผ่านไปครู่ใหญ่ ๆ ถึงค่อยเค้นสมองคิดวิธีแก้ปัญหาขึ้นมาได้วิธีหนึ่ง “ข้าจะรีบเขียนจดหมายแสดงความเสียใจฉบับหนึ่งส่งกลับไปเดี๋ยวนี้เลย”
“เจ้าส่งคนเร่งเดินทางไกลแปดร้อยลี้ส่งกลับไปเมืองหลวง! เมื่อได้เห็นจดหมายแสดงความจริงใจของข้าแล้ว คงพอจะทำให้เสด็จพ่อพระทัยเย็นลงได้บ้าง รอจนข้าเร่งเดินทางกลับถึงเมืองหลวง โทษทัณฑ์ก็คงจะเบาลงไปได้บ้างแล้ว”
ทันทีที่ชุยเจ๋อได้ยิน ก็รู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ดี จึงรีบพยักหน้าแล้วรีบไปเตรียมพู่กันกับหมึก
“นังตัวโง่งมเอ๊ย!”
โม่หุยเฟิงยังคงด่าต่อไม่หยุด “ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ทำให้ข้าต้องประสบหายนะ กระทั่งลูกในท้องก็ยังรักษาเอาไว้ไม่ได้ ข้าเก็บนางไว้มันมีประโยชน์อะไรกัน?”
“เก็บไว้ทำให้ข้าโกรธจนอายุสั้นอย่างนั้นรึ?!”
ชุยเจ๋อรู้ดี ว่าคนที่เขายังด่าต่อไม่เลิกก็คือฉินซื่อเสวีย……
เขาได้แต่ก้มหน้างุด ไม่กล้าต่อบทสนทนา
หลังจากก่นด่าอยู่เป็นนานสองนาน โม่หุยเฟิงก็ค่อยฝืนคลายโทสะลงไปได้บ้าง ก่อนจะยื่นจดหมายสำนึกผิดที่บรรยายด้วยถ้อยคำยาวเหยียด ลื่นไหล เต็มไปด้วยคารมคมคายไปให้ชุยเจ๋อ “รีบส่งกลับไปที่เมืองหลวงทันที นี่เป็นจดหมายที่ข้าเขียนแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งและจริงใจ เรียกได้ว่าจริงใจจนไม่รู้ว่าจะจริงใจไปกว่านี้ได้อย่างไรแล้ว”
ชุยเจ๋อรับมากวาดตาอ่านผ่าน ๆ แวบหนึ่ง รีบเก็บให้เรียบร้อยแล้วพุ่งตัวออกไปทันที
ไม่ถึงห้าวัน โม่จงหรานก็ได้รับ “จดหมายสำนึกผิด” ที่เนื้อหาในนั้นอัดแน่นไปด้วยความ “ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับบ้านเมือง” จากโม่หุยเฟิงมาฉบับหนึ่ง
เขาเปิดจดหมายออกดูด้วยสีหน้าเย็นชา
ใครจะรู้ว่าหลังจากได้อ่าน “จดหมายสำนึกผิด” ฉบับนั้นจบ โม่จงหรานก็โกรธจัดจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำไปเลย!
สองมือของเขาสั่นเทา ฉีกทึ้ง “จดหมายสำนึกผิด” จนแหลกเป็นชิ้น ๆ ด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนจะตวาดด่าด้วยไฟโทสะที่ลุกท่วม “ไอ้ลูกสารเลว! นี่มันคิดจะเขียนจดหมายสำนึกผิด หรือมันคิดจะเขียนจดหมายยั่วยุกันแน่?!”