อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 122 สงสารโม่เยว่
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 122 สงสารโม่เยว่
โม่เยว่เพิ่งกลับถึงจวนอ๋องก็เห็นหยุนหว่านหนิงรีบๆ ร้อนๆ เดินออกมา
พอเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของนาง เขาก็ยื่นมือออกไปขวางไว้ “ตะลีตะลานเช่นนี้ มีผีตามหลังเจ้างั้นหรือ”
“ผีน่ะไม่มี”
หยุนหว่านหนิงรีบอธิบาย “แต่ได้ยินว่าอ๋องโจวจะไม่ไหวแล้ว!”
อ๋องโจวก็คือองค์ชายสี่โม่เหว่ย
เจ็บออดๆ แอดๆ ตั้งแต่ยังเล็ก รักษาอาการป่วยอยู่ในจวนอ๋องหลายปี ปกติมักเก็บตัว แม้แต่งานเลี้ยงในวังก็ไม่เคยเข้าร่วม ผู้คนมากมายแทบจะลืมไปแล้ว ว่าในราชวงศ์ยังมีท่านอ๋องท่านนี้อยู่อีกคน
“เจ้าว่าอะไรนะ”
สีหน้าโม่เยว่พลันเปลี่ยน “ใครบอกเจ้า”
“ข้าเพิ่งได้ยินมาจากคนรับใช้ในจวน ก็เลยคิดจะไปดูที่จวนอ๋องโจวสักหน่อย เจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่”
คนรับใช้ในจวนเอ่ย?
โม่เยว่ขมวดคิ้วมุ่น “ห้ามไป”
“หา?”
หยุนหว่านหนิงยังนึกว่าตนหูฝาด “ทำไมถึงไม่ให้ข้าไปล่ะ นั่นชีวิตคนทั้งชีวิตเลยนะ! อีกอย่าง เขาเป็นพี่สี่ของเจ้านะ!”
“พี่สี่แล้วอย่างไร ข้าบอกห้ามไปก็คือห้ามไป”
ครั้นโม่เยว่ใช้อำนาจขึ้นมา ผู้ใดก็มิอาจต่อต้าน
เขาฉุดมือนางแล้วลากเข้าจวนอ๋อง
“โม่เยว่! เจ้าจะทำอะไร!”
เขาออกแรงมาก
เหตุเพราะหยุนหว่านหนิงสตรีผู้นี้หาใช่แม่นางธรรมดาไม่ เรี่ยวแรงของนาง…หากเขาไม่ออกแรงหน่อย จะลากนางเข้ามาจากประตูไม่ได้จริงๆ!
“เจ้าบีบข้อมือข้าเจ็บแล้ว!”
หยุนหว่านหนิงผลักเขา ทำหน้ากล่าวโทษ “เจ้าเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก”
“ห้ามยุ่งเรื่องชาวบ้าน”
โม่เยว่ไม่ได้อธิบาย เพียงแต่มองนางด้วยความเย็นชา สายตานั้นทำให้คนรู้สึกหนาวเหน็บอย่างไม่มีสาเหตุ
เป็นครั้งแรกที่หยุนหว่านหนิงเห็นสีหน้าเช่นนี้จากใบหน้าของเขา
ไม่ โม่เยว่ไม่ได้ทำหน้าแบบนี้เป็นครั้งแรก
แต่เป็นครั้งแรกที่เย็นเยือกเช่นนี้ต่อหน้านาง!
“เจ้ารู้หรือไม่ ตอนนี้เจ้าคือพระชายาหมิง เป็นผู้หญิงของข้า! ทุกการพูดการกระทำของเจ้า ก็คือตัวแทนของจวนอ๋องหมิงและตัวแทนของข้า!”
โม่เยว่ตะคอกเสียงเย็น “ถ้าไม่มีการเห็นชอบจากข้า เจ้าก็ห้ามไปไหน!”
เมื่อเห็นเขาอารมณ์ร้อนขึ้นมากะทันหัน หยุนหว่านหนิงก็ตะลึงงัน
จากนั้นนางก็อดสูดลมหายใจด้วยความน้อยอกน้อยใจเล็กน้อยไม่ได้
แล้วนางทำเพื่อใครเล่า!
“โม่เยว่ สมองเจ้ามีปัญหาหรือ”
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้วเป็นปม เอ่ยด้วยความไม่พอใจ “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอ๋องโจวเป็นพี่น้องแท้ๆ ของเจ้า แต่ข้าเป็นหมอคนหนึ่ง จะเห็นคนป่วยตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้”
ความรู้สึกอย่างนั้น ทรมานยิ่งนัก
โดยเฉพาะเวลาที่จนหนทาง ก็ยิ่งไร้กำลังมากขึ้น
แต่ยามนี้นางมีลางสังหรณ์ ว่าต้องช่วยอ๋องโจวได้แน่นอน ทำไมโม่เยว่ต้องขวางนางด้วย!
“โม่เยว่ ถึงอ๋องโจวจะป่วยนอนติดเตียง เป็นคนไร้ประโยชน์ในสายตาของเจ้า”
นางสะบัดมือของโม่เยว่ออก มองเขาด้วยท่าทางขึงขัง “แต่เจ้าก็อย่าลืม ว่าข้างหลังเขายังมีตระกูลเฉินอยู่!”
ตระกูลเฉิน คือตระกูลชนชั้นสูงร้อยปีของเมืองหลวงที่แท้จริง
โม่เหว่ยคือบุตรชายของเฉินกุ้ยเฟย
ปีนั้นขณะที่เฉินกุ้ยเฟยให้กำเนิดโม่เหว่ยก็เสียชีวิตไปด้วยเพราะคลอดยาก
ดังนั้นโม่เหว่ยจึงร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เล็ก ไม่ได้รับความรักจากโม่จงหราน ทุกคนต่างบอกว่าเขาทำให้เฉินกุ้ยเฟยเสียชีวิต
ตระกูลเฉินในปีนั้นเฉกเช่นเดียวกับตระกูลกู้ เป็นตระกูลอันดับต้นๆ ของราชสำนัก
แม้แต่ราชวงศ์ก็ยังหวาดพวกเขาประมาณหนึ่ง
กู้หมิงสุขภาพไม่ดี กู้ป๋อจ้งจึงถอนตัวออกจากราชสำนักเวทีใหญ่นี้เอง
เช่นเดียวกัน สืบเนื่องจากการเสียชีวิตของเฉินกุ้ยเฟย…โม่เหว่ยอ่อนแอแต่เล็ก ดังนั้นตระกูลเฉินจึงถอนตัวออกจากราชสำนักโดยสมบูรณ์ด้วยความท้อแท้หมดหวัง
แต่หลายปีมานี้ ตระกูลเฉินก็ไม่ได้ตัดขาดการติดต่อกับโม่เหว่ย
พวกเขาเชิญหมอเทวดามารักษาให้โม่เหว่ยจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เห็นผล
“ถึงตระกูลเฉินจะไม่มีคนรับราชการ แต่ก็มีฐานะลำดับต้นๆ ของเมืองหลวง ไม่ใช่พูดกันว่าตระกูลเฉินกระทืบหนหนึ่ง เมืองหลวงสะเทือนสามคราหรือ”
หยุนหว่านหนิงจ้องโม่เยว่เขม็ง “ถ้าไม่มีการคุ้มครองจากตระกูลเฉิน เจ้าคิดว่าอ๋องโจวจะอยู่รอดมาถึงตอนนี้หรือ”
“โม่หุยเหยียนกับโม่หุยเฟิงเป็นพี่น้องแม่เดียวกัน เบื้องหลังพวกเขามีตงจวิ้น มีจวนเซี่ยง อ๋องฮั่นแม้อยู่ตัวคนเดียว แต่ที่ยืนอยู่เบื้องหลังคือตระกูลโจวทั้งหมด”
“มีแต่เจ้า!”
หยุนหว่านหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง เอ่ยเสียงหนัก “ตระกูลของเสด็จแม่อยู่ห่างไกล แล้วข้ากับจวนยิ่งกั๋วกงก็ไม่สนิทกัน”
แต่ถึงจะสนิทสนมกับจวนยิ่งกั๋วกง…
หยุนเจิ้นซงไม่เอาไหน แล้วจะมีประโยชน์อะไร!
อีกอย่าง หยุนเจิ้นซงรักหยุนติงหลานมากกว่า ฉะนั้นเขาจึงอยู่ฝั่งเดียวกับโม่หุยเฟิง
เบื้องหลังโม่เยว่ว่างเปล่า
“เจ้าตัวคนเดียว ก็คือสู้รบตามลำพัง ถ้าข้าไม่ดึงพรรคพวกมาให้เจ้า ถึงตอนนั้นแตกหักกันแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร!”
โม่เยว่อย่างไรก็คิดไม่ถึง ว่าหยุนหว่านหนิงจะไปรักษาโม่เหว่ยเพื่อเขา
และเขาก็คิดไม่ถึง ว่านางจะกล่าววาจาเช่นนี้ออกมา
เขาเพียงคิด ว่าอย่างมากนางก็แค่ฝีปากเก่งนิดหน่อย หูตามากนิดหน่อย ไหวพริบดีนิดหน่อยเท่านั้น
แต่คิดไม่ถึงว่านางจะคิดลึกถึงชั้นนี้!
“เจ้า กำลังเป็นห่วงข้า?”
โม่เยว่ย่นยู่คิ้วเป็นย่นยู่เป็นขีดๆ น้ำเสียงไม่มั่นใจ
“เจ้าอย่าคิดเองเออเอง”
หยุนหว่านหนิงยิ้มเย็น “ข้าก็แค่ทำเพื่อตัวเอง เพื่อหยวนเป่า เจ้าไม่ได้บอกให้หยวนเป่ารับเจ้าเป็นพ่อหรือ ตอนนี้พวกเราสองแม่ลูกก็ได้แต่พึ่งพาเจ้าแล้ว ”
“ถ้าเจ้าล้ม พวกเราสองแม่ลูกก็จะลำบาก”
“ฉะนั้นข้าก็แค่เอาตัวรอดเท่านั้น”
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่โม่เยว่ก็ยังรู้สึกได้ ว่าโดยแท้แล้วหยุนหว่านหนิงทำเพื่อเขา!
ไม่เพื่ออื่นใด นางบอกว่านางกับหยวนเป่าไม่มีคนให้พึ่งพา…
ตระกูลกู้ คือต้นไม้ใหญ่เทียมฟ้า!
“เจ้าอย่าปากแข็งเลย เจ้าเป็นห่วงข้านั่นแหละ”
โม่เยว่พลันหัวเราะ น้ำเสียงอ่อนโยนลงบางส่วน “เจ้ารู้หรือไม่ เหตุใดเมื่อครู่ข้าจึงไม่ให้เจ้าไปจวนอ๋องโจว”
“เพราะอะไร”
หยุนหว่านหนิงถามตามจิตใต้สำนึก
เพิ่งกล่าวจบ นางก็หึเย็นอย่างไม่พอใจ “เจ้ายิ้มแย้มกับข้าให้น้อยหน่อยเถอะ! เมื่อกี้เจ้าไม่เพียงแต่ดุข้า ยังบีบจนข้าเจ็บข้อมืออีกต่างหาก”
“พวกเรากำลังทะเลาะกันอยู่นะ! ทำหน้าทะเล้นให้น้อยๆ หน่อย”
นี่ยังเป็นครั้นแรกที่ทั้งสอง ‘ทะเลาะ’ กันอย่าง ‘จริงจัง’
“บีบเจ้าเจ็บหรือ”
โม่เยว่ยื่นมือออกไปดึงมือนางมาดู ข้อมือแดงเป็นปื้นแล้ว
เขาเป่าลมเบาๆ “เป็นข้าที่ไม่ดีเอง”
“ไหนเลยจะกล้าโทษท่านอ๋อง”
หยุนหว่านหนิงเบือนหน้า
เดิมนางไม่ใช่สตรีผู้อ่อนแอจึงจะถูก
หลายปีมานี้ไม่ว่าจะได้รับความไม่เป็นธรรมอะไร นางก็อดทนบากบั่นเพียงคนเดียว แล้วทำไมตอนนี้พอโม่เยว่เสียงอ่อนโยนลงหน่อย ช่วยนางเป่าลมที่มือ นางก็เปรี้ยวจมูกจะร้องไห้เสียได้
ดวงตาคล้ายกับแห้งเล็กน้อย น้ำตาเล็ดออกมาข้างนอก
หยุนหว่านหนิงรีบแหงนหน้าขึ้น บังคับให้น้ำตาไหลกลับไป
เม็ดทรายต้องเข้าตานางแน่ๆ!
เมื่อเห็นนางเบือนหน้าไม่มองเขา โม่เยว่ก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย
เขาถอนหายใจเบา “ปีนั้นที่สนิทกับข้าที่สุดก็คือพี่หก”
“ตอนนั้นข้าเด็กที่สุด พี่น้องคนอื่นๆ ชอบรังแกข้า พี่หกปกป้องข้าเสมอ! แต่วันหนึ่งพอข้าตื่นมา ก็ได้ยินข่าวที่พี่หกตกสระดอกบัว”
“ตอนนั้น เป็นช่วงอากาศเย็นยะเยือกพื้นหิมะ…พี่หกเสียแล้ว”
น้ำเสียงของโม่เยว่เพิ่มความหดหู่ประมาณหนึ่ง “นับจากนั้นข้าก็รู้ ว่าใครสนิทกับข้าที่สุด ก็จะกลายเป็นหนามยอกอกของคนที่เหลือ”
“ดังนั้นตั้งแต่นั้นมา ข้าจึงเคยชินกับการอยู่คนเดียว”
แม้จะเป็นโม่เฟยเฟย น้องสาวแท้ๆ ของเขา โม่เยว่ก็เข้าหานางน้อยนัก
เขากลัวว่าจะพลั้งพลาด และกลัวว่าจะทำให้คนอื่นพลอยลำบาก
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หยุนหว่านหนิงก็รู้สึกปวดใจ
ที่แท้โม่เยว่ก็ไม่ได้เย็นชามาตั้งแต่เกิด
ที่เขากลายเป็นเช่นนี้ก็เพราะถูกพวกเขาบีบบังคับทั้งนั้น!
หยุนหว่านหนิงหันหน้ามา พูดทีละคำ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ยิ่งต้องร่วมมือกันคนอื่น ส่งคนที่เคยทำร้ายเจ้าลงนรกไปให้หมด!”