อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 129 โม่เยว่ เจ้าจะบอกรักหรือ
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 129 โม่เยว่ เจ้าจะบอกรักหรือ
“นี่คือเครื่องบันทึกเสียง!”
หยุนหว่านหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ไม่เงยหน้า “ไอ้ระบบเฮงซวย! ที่ข้าอยากได้คือปากกาบันทึกเสียง ใครจะรู้ว่าเอาของโบราณคร่ำครึอะไรมาให้!”
เครื่องบันทึกเสียง?
ระบบ?
ปากกาบันทึกเสียง?
“เจ้ากำลังพูดอะไรน่ะ”
โม่เยว่ไม่เข้าสักใจสักประโยค
เมื่อนั้นหยุนหว่านหนิงถึงนึกขึ้นได้แบบความรู้สึกช้า…พระเจ้า เมื่อครู่นางพูดอะไรออกไป!
ดูท่าคืนนี้คงไม่ใช่โม่ฮั่นอี่ว์ที่เมาแล้ว แต่เป็นนาง!
นางรีบวางเครื่องบันทึกเสียงไว้ด้านข้างทันที “ไอ้หยา ข้าเมาแล้ว!”
หยุนหว่านหนิงพาดตัวกับโต๊ะ หลับตาข้างหนึ่ง ลืมตาข้างหนึ่งมองโม่เยว่ พอเห็นเขายังคงขมวดคิ้วมองนางจึงรีบหลับตา ท่าทางเหมือนมีชนักติดหลัง
โม่เยว่ดึงสายตากลับ
เขามองเครื่องบันทึกเสียงทีหนึ่ง แล้วมองไปทางโม่ฮั่นอี่ว์
เรื่องสำคัญในตอนนี้คือหลอกถามโม่ฮั่นอี่ว์
พรุ่งนี้ค่อยจัดการผู้หญิงคนนี้
“นอกจากสลับหนังสือสำนึกผิดของพี่สามแล้ว ท่านยังทำอะไรอีก”
โม่ฮั่นอี่ว์สายตางุนงง “ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น! ข้าอยากโบ๊ยเรื่องนี้ให้เจ้า บอกเป็นนัยต่อหน้าพี่ใหญ่สองรอบแล้ว แต่พี่ใหญ่โง่เกินไป ถึงกับเดาไม่ออกว่าข้าอยากบอกอะไรเขา”
“ข้าก็เลยต้องมาหาเจ้าที่จวนอ๋องหมิงนี่ไง”
“มาหาข้าทำไม”
“บอกเจ้าเป็นนัย ว่าพี่ใหญ่เป็นคนทำเรื่องนี้!”
โม่ฮั่นอี่ว์ท่าทางมั่นใจในเหตุผล
โม่เยว่ “…สมองท่านมีปัญหาอะไรใช่หรือไม่”
การยุแหย่เหมือนเด็กๆ แบบนี้ อย่างกับเด็กน้อยเล่นพ่อแม่ลูกกันแน่ะ!
“สมองเจ้าสิมีปัญหา! หยิงหยิงบอกว่าข้าฉลาดที่สุดในปฐพี!”
โม่ฮั่นอี่ว์ถลึงตาใส่เขาทีหนึ่งแบบโมโหโทโส
โม่เยว่จนใจ “…ได้ๆๆ ท่านฉลาดที่สุด ท่านฉลาดไร้เทียมทาน”
“ถูกต้อง”
โม่ฮั่นอี่ว์ฟังความรังเกียจจากคำพูดของเขาไม่ออก กระหยิ่มยิ้มย่อง “ข้าจะบอกให้นะ ที่จริงพี่ใหญ่ก็ไม่พอใจเจ้าสามเหมือนกัน!”
โม่เยว่เงียบ
แต่เป็นโม่ฮั่นอี่ว์ที่พอดื่มเมาแล้ว ก็เปิดกล่องคำพูด พูดออกมาเป็นพรวนไม่หยุด
พูดตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กจนถึงตอนนี้
โม่เยว่พยักหน้า กำลังลังเลว่าจะเฉาะให้เขาสลบไปเลย แล้วสั่งให้หรูอวี้ส่งกลับไปจวนอ๋องฮั่นดีหรือไม่
ก็เห็นหยุนหว่านหนิงไม่รู้ไปเอาพู่กันกับกระดาษมาจากไหนอีก เขียนตัวอักษรสองสามแถว
เขาเขยิบเข้าไปดู เห็นในนั้นเขียนว่า ‘ใบรับรอง’
ความหมายโดยคร่าวก็คือ รับรองว่าโม่ฮั่นอี่ว์สับเปลี่ยนหนังสือสำนึกผิดของโม่หุยเฟิงเอง เขายืนยันเองจากปาก ลงลายมือประทับตรา แล้วใช้สิ่งนี้รับรองว่าตนจะไม่กลับคำ
หยุนหว่านหนิงลากมือของโม่ฮั่นอี่ว์มาเขียนชื่อของเขา ทั้งยั้งดึงไปกดดินสีแดงมาประทับรอยนิ้วมือ
“เรียบร้อย”
นางยื่น ‘ใบรับรอง’ ให้โม่เยว่ “เก็บให้ดีล่ะ”
โม่เยว่รับมาแบบใบหน้าปราศจากอารมณ์ “ไหนเจ้าว่าเมาแล้วอย่างไร”
“แหะๆๆ ตอนนี้หายเมาแล้ว”
หยุนหว่านหนิงยิ้มแห้ง รีบเก็บเครื่องบันทึกเสียง
“ของสิ่งนี้ใช้อย่างไร เจ้าเอามาจากไหน”
โม่เยว่ชิงเครื่องบันทึกเสียงมาแบบมือเร็วตาไว
เขามั่นใจ คืนนี้ตอนที่หยุนหว่านหนิงอยู่ในห้องโถง ไม่ได้ถือของสิ่งใดอยู่ในมือ!
นางแต่งเข้าจวนอ๋องหมิงมาสี่ปี ไม่เคยเห็นมาก่อนว่าข้างตัวนางมีของเหล่านี้ แต่สองสามเดือนนี้ นางกลายเป็นแปลกประหลาดยังไม่พอ ข้างตัวยังมีของเพิ่มมาอีก ล้วนพิลึกกึกกือนานา และโม่เยว่ก็ไม่เคยพบเจอมาก่อนด้วย
วาจาที่กล่าวออกมาล้วนเป็นคำศัพท์แปลกใหม่
ผีหลอกแล้ว!
“ข้าเก็บมาจากถนน”
หยุนหว่านหนิงมองทางอื่นอย่างมีความผิด
“ไฉนข้าจึงไม่เคยเก็บได้เล่า”
จะโกหกก็ไม่เตรียมบทไว้ก่อน!
โม่เยว่เปิดโปงคำโกหกของนางอย่างไม่ลังเล “ของพรรค์นี้ คงเก็บง่ายขนาดนั้นไม่ได้กระมัง บอกมาตามตรงว่ามันคืออะไรกันแน่”
พอเห็นท่าที ‘สารภาพจะผ่อนผัน ต่อต้านจะลงโทษสถานหนัก’ ของเขาแล้ว หยุนหว่านหนิงก็หดลำคอแบบหงอๆ นิดๆ
เมื่อครู่นางมัวแต่จะบันทึกเสียงของโม่ฮั่นอี่ว์ แต่ลืมไปเสียสนิทว่าจะอธิบายอย่างไร!
“เจ้าฟัง!”
หยุนหว่านหนิงกดปุ่ม ข้างในมีเสียงของโม่ฮั่นอี่ว์เมื่อกี้ดังออกมา “อ้อ! ตอนกลางวันข้าเข้าวัง แอบฟังเจ้ากับพี่ใหญ่พูดกัน ว่าอะไรนะ ว่าหนังสือสำนึกผิดของน้องสามถูกคนสับเปลี่ยน”
“เอิ๊ก…”
“คิดไม่ถึงละสิ พวกเจ้าคิดไม่ถึงใช่หรือไม่!”
โม่เยว่ตะลึง!
แม้แต่หรูอวี้ที่อยู่ด้านข้างก็ทึ่งจนอ้าปากค้าง!
สายตาที่มองเครื่องบันทึกเสียงในมือหยุนหว่านหนิง ราวกับเห็นสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น
“พระชายา นี่ นี่คืออะไรหรือขอรับ จะแปลกพิสดารไปแล้ว!”
เมื่อเห็นสองนายบ่าวถูกเครื่องบันทึกเสียงดึงดูดสายตา หยุนหว่านหนิงก็ยิ้มอย่างได้ใจ “ข้าชอบท่าทางไม่เคยเห็นโลกกว้างของพวกเจ้าแบบนี้นี่แหละ!”
“นี่เรียกว่าเครื่องบันทึกเสียง! เป็นอย่างไร ไม่เคยเห็นละสิ”
“ไหนเลยจะแค่ไม่เคยเห็น ข้าน้อยไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ!”
หรูอวี้ค่อยๆ ลูบเครื่องบันทึกเสียงอย่างทะนุถนอม อ้าปากกว้างจนยัดไข่ไก่เข้าไปได้แล้ว
คืนนี้โม่เยว่ขมวดคิ้วมุ่นตลอดเวลา ไม่เคยได้คลายออก
เขาเก็บสายตากลับ ฉุดหยุนหว่านหนิงเดิน “เจ้ามากับข้า”
“เดี๋ยวๆ!”
หยุนหว่านหนิงคว้าเครื่องบันทึกเสียงแล้วฉวยโอกาสตอนที่โม่เยว่ไม่ทันสังเกตยัดกลับช่องว่า “เจ้าจะทำอะไรน่ะ มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจา ลงมือลงไม้อะไร”
โม่เยว่ลากนางเข้าสวนด้านหลัง
แสงจันทร์นวลผ่อง สาดส่องสว่างไสว
ท่ามกลางสีสันแห่งรัตติกาล ดอกท้อโรยราจากยอดกิ่ง ปู ‘พรมบุปผา’ เป็นชั้นบางๆ อยู่บนพื้น
“โม่เยว่เจ้าจะทำอะไรกันแน่ หน้าดอกไม้ใต้พระจันทร์ เจ้าจะบอกรักข้าหรือ”
นางนวดข้อมือที่ถูกเขาบีบจนเจ็บ
ย่ามันเถอะ!
วันนี้ถูกนางบีบข้อมือสองครั้งแล้ว!
เสือไม่เบ่งบารมี เห็นนางเป็นแมวป่วยรังแกง่ายอย่างนั้นหรือ!
“เจ้าเป็นใครกันแน่ มาจากที่ไหน”
โม่เยว่จ้องนางเขม็ง
ตายละหว่า!
ช่วงนี้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวต่อหน้าเขาเกินไปแล้ว ถูกเขาสงสัยเข้าจนได้…หยุนหว่านหนิงคิดคำนวณในใจอย่างรวดเร็ว คิดว่าจะตอบอย่างไรดี
นางแย้มยิ้ม “ข้าก็คือหยุนหว่านหนิงไง หรือยังจะเป็นคนอื่นได้อีก”
“เจ้าก็เคยเห็นปานบนตัวข้าแล้วนี่ ยังจะสงสัยอะไรอีก”
ตามหลัก ปานไม่สามารถทำปลอมได้
โม่เยว่แทบจะมั่นใจ ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าก็คือหยุนหว่านหนิง
แต่หากเทียบสี่ปีก่อนกับตอนนี้ นางเปลี่ยนแปลงมากเกินไปจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นอุปนิสัยหรืออย่างอื่น
หากไม่ใช่ว่ามีใบหน้าหยุนหว่านหนิง โม่เยว่ต้องคิดว่าหยุนหว่านหนิงในตอนนี้คืออีกคนหนึ่ง!
“เจ้าไม่ใช่นาง”
น้ำเสียงโม่เยว่หนักแน่น “หยุนหว่านหนิงโง่งมราวกับสุกร แต่เจ้าไวเป็นกรดราวกับวานร สิบนิ้วนางไม่แตะงานบ้าน แต่เจ้าเข้าห้องครัวออกทำงาน”
“นางทำอะไรไม่เป็นทั้งนั้น แต่เจ้าเป็นทุกอย่าง”
“นางอารมณ์ร้าย แต่เจ้าโอนอ่อนไหวตามสถานการณ์”
“นางรู้แต่ทำให้ข้าโมโห แต่เจ้ากลับกันรู้จักดับไฟโกรธข้า…”
โม่เยว่เดินประชิด จ้องสองมือนางเขม็ง
ทันใดนั้น เขาก็เอื้อมมือมาหยิกคางของนาง ถามทีละคำ “เจ้าเป็นใครกันแน่!”
นี่…ยังไม่นับเป็นการบอกรักหรือ
ดูท่าหยุนหว่านหนิงในสี่ปีก่อนจะทำให้โม่เยว่เกลียดจนคันเขี้ยวจริงๆ
หยุนหว่านหนิงถูกหยิกคางจนเจ็บ ขมวดคิ้ว พลันปรากฏแผนหนึ่งในใจ นางใช้ท่าไม้ตาย “โม่เยว่ เจ้าหลงรักข้าแล้วใช่หรือไม่”