อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 135 มีไพ่ดีอยู่ในมือก็เล่นซะจนเละเทะ
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 135 มีไพ่ดีอยู่ในมือก็เล่นซะจนเละเทะ
บนใบหน้าของโม่ฮั่นอี่ว์เป็นความยินดีที่เห็นคนอื่นเดือดร้อนอย่างเห็นได้ชัดเจน ราวกับกลัวว่าโม่หุยเฟิงจะมองไม่เห็นเช่นนั้น
เขายังจงใจโน้มตัวเข้าไปใกล้ และนั่งยองลงไปตรงหน้าของเขาอีกด้วย “วันนี้ก็ไม่ได้ร้อนนี่นา! ทำไมเจ้าเหงื่อพลั่กเต็มหัวเลยล่ะ? คิดว่าคงเป็นเพราะรีบร้อนกลับมาจากชายแดนมากเกินไป เร่งรีบมาตลอดทางจึงได้เหงื่อแตกสินะ?”
เขาเช็ดเหงื่อบนใบหน้าของโม่หุยเฟิงด้วยความ “ใส่ใจ”
ในตอนนี้หากไม่ใช่เพราะโม่หุยเฟิงเจ็บปวดจนด่าไม่ออก ก็คงจะถ่มน้ำลายใส่หน้าของโม่ฮั่นอี่ว์ไปแรงๆทีหนึ่งเป็นแน่ ให้เขาไสหัวไปได้ไกลเท่าไหร่ก็ไปให้ไกลเท่านั้น!
โม่หุยเหยียนเป็นพี่ใหญ่
ในวันปกติ ก็มีมาดเป็นพี่ใหญ่มาก
เห็นโม่หุยเฟิงเจ็บจนพูดไม่ออก จึงขมวดคิ้วแล้วรีบกล่าวต่อทหารองครักษ์ “เบามือหน่อย”
“เสด็จพ่ออยู่ด้านในก็มองไม่เห็น”
โม่เยว่ไม่ได้พูดจา
ฉินซื่อเสวียเอาแต่ร้องไห้เพียงอย่างเดียว โจวหยิงหยิงกอดอกเดินไปอยู่ข้างกายโม่ฮั่นอี่ว์ “ท่านก็อย่าได้ทีขี่แพะไล่เลย! ท่านดูสิอ๋องหยิงเจ็บจนหน้าผากมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาแล้ว”
นางกลับไม่ได้ช่วยพูดให้โม่หุยเฟิง
เพียงแต่ตอนนี้พี่น้องทั้งหลายล้วนอยู่กันหมด มีเพียงโม่ฮั่นอี่ว์เท่านั้นที่มีความสุขอย่างเห็นได้ชัด แสดงออกว่ายั่วยุให้โกรธได้อย่างชัดเจน
โม่เยว่เพียงแค่เหลือบมองไปที่ประตูห้องทรงพระอักษรที่เปิดอยู่ ยกเท้าและเดินเข้าไป
ทันทีที่เขาเข้าประตู ก็เห็นหยุนหว่านหนิงกำลังพูดคุยกับโม่จงหราน ทั้งสองคนก็หัวเราะกันอย่างมีความสุข
อืม เขารู้แล้วว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงหยุนหว่านหนิงผู้หญิงคนนี้เท่านั้น ที่จะสามารถ “เกลี้ยกล่อม” เสด็จพ่อได้
“เสด็จพ่อ”
เขาเดินเข้าไปใกล้แล้วน้อมทักทาย โม่จงหรานยิ้มให้เขา “เจ้าเจ็ด เจ้าเห็นสถานการณ์ด้านนอกแล้วใช่หรือไม่? ตอนนี้เจ้าสามสลบไปแล้วหรือยังมีสติอยู่?”
“มีสติอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
โม่เยว่ตอบตามความเป็นจริง
“นั่นเป็นเพราะตีไม่ถึงขั้น”
โม่จงหรานสั่งเสียงดังขึ้น ตะโกนออกไปด้านนอก “ออกแรงตีให้ข้า! แต่ละคนไม่ได้กินข้าวรึไงกัน? !”
ทหารองครักษ์มองดูโม่หุยเหยียนด้วยความลำบากใจ รีบออกแรงโบย
โบยลงไปไม่กี่ไม้ โม่หุยเฟิงก็สลบไปแล้ว
โม่หุยเหยียนเข้ามาด้วยความรีบร้อน “เสด็จพ่อ เสด็จพ่อได้โปรดเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ! น้องสามเป็นลมสลบไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“หากเจ้าขอความเมตตา ข้าก็จะโบยเจ้าไปด้วย”
คราวนี้ โม่หุยเหยียนก็ไม่กล้าพูดมากแล้วเช่นกัน
ความสัมพันธ์ลึกซึ้งของพี่น้องเป็นเรื่องหนึ่ง โดนไม้โบยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน ห้าสิบไม่ก็โบยเสร็จสิ้นแล้ว ก้นของโม่หุยเฟิงเลอะเลือนไปด้วยเลือดเนื้อ เขาฟุบอยู่บนเก้าอี้ มือทั้งคู่ร่วงตรงลงไปที่พื้น เหมือนคนตายเช่นนั้น
หยุนหว่านหนิงมอบยาจินชวงขวดหนึ่งให้แก่ฉินซื่อเสวียด้วยความหวังดี
แต่นางกำลังอยู่ในความโกรธ ถึงจะอยู่ต่อหน้าโม่จงหราน ก็โยนยาจินชวงขวดนั้นลงพื้นไปแล้ว
“เจ้าไม่จำเป็นต้องมาเสแสร้ง!”
ฉินซื่อเสวียก็ไม่สามารถเสแสร้งได้อีกต่อไป ตะคอกใส่หยุนหว่านหนิงอย่างดุดัน
ดวงตาทั้งสองข้างของนางร้องไห้จนแดงบวม มองดูซีดเซียวเล็กน้อย
“พระชายาหยิง นี่เป็นความหวังดีของข้า”
หยุนหว่านหนิงรู้สึกน้อยใจนิดหน่อย
สีหน้าของโม่จงหรานไม่น่าดูถึงขีดสุด “ในเมื่อพวกเจ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ ดีมาก! สั่งการออกไป ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามทำการรักษาให้เจ้าสาม เป็นตายตามแต่โชคชะตา ปล่อยเขาไปตามยถากรรม!”
“เสด็จพ่อ!”
ฉินซื่อเสวียอึ้งตาค้างไปแล้ว
กำลังจะร้องขอความเมตตา ก็ถูกโม่จงหรานออกคำสั่ง ไล่พวกเขาสามีภรรยาออกไป
ความจริงมีแค่ฉินซื่อเสวียเท่านั้นที่ถูกไล่ออกไป โม่หุยเฟิงถูกหามกลับไปที่จวนอ๋องหยิงแล้ว
นอกจากการถูกไล่ออกไปแล้ว โม่หุยเฟิงยังต้องถูกกักบริเวณอีกหลายเดือน และมอบค่ายห้ากองพลในมือคืนให้แก่โม่จงหราน
แม้จะบอกว่าเรื่องของค่ายห้ากองพลในตอนนี้ เป็นรับผิดชอบร่วมกันของโม่หุยเหยียนและโม่เยว่
แต่โม่เยว่เสนอขึ้นเองว่า เขายังต้องรับผิดชอบเรื่องของค่ายเสินจีอยู่ ดังนั้นจึงไม่อยากรับมือกับค่ายห้ากองพลอีก โม่จงหรานจึงได้มอบป้ายประกาศิตของค่ายห้ากองพลให้โม่ฮั่นอี่ว์
โม่หุยเหยียนและโม่ฮั่นอี่ว์ สองพี่น้องร่วมกันดูแลจัดการค่ายห้ากองพล
แต่ผู้ที่ดูแลป้ายประกาศิต คือโม่ฮั่นอี่ว์
วันนี้นับว่าเขาได้รับผลประโยชน์ครั้งใหญ่ ก่อนหน้านี้ที่ได้สับเปลี่ยนหนังสือยอมรับผิด ก็ไม่ได้ทำไปโดยเปล่าประโยชน์……
เรื่องนี้แพร่ไปถึงหูของฮองเฮาจ้าว นางถูกทำให้โมโหจนวุ่นวายสับสนไปหมด!
“ฉินซื่อเสวียนังโง่คนนี้! ไม่มีปัญญาทำการให้สำเร็จแต่มีแรงทำเรื่องล้มเหลวอยู่เหลือเฟือ! นางมีความเปรียบดีๆที่มีอยู่เต็มมือเล่นซะจนเละเทะขนาดนี้ได้ยังไงกันแน่? !”
ภายใต้ความโกรธ ฮองเฮาจ้าวก็เขวี้ยงข้าวของแตกไปอีกไม่น้อย
หลังจากนั้น ก็โกรธจนป่วยไปอีกครั้ง
ตำหนักหย่งโซ่ว
หยุนหว่านหนิงและโม่เยว่ออกมาจากห้องทรงพระอักษร ก็ไปเยี่ยมเต๋อเฟย
โจวหยิงหยิงอ้างว่า “ไม่ได้พบเต๋อเฟยนานแล้ว” บังคับลากโม่ฮั่นอี่ว์ ตามพวกเขาไปที่ตำหนักหย่งโซ่วพร้อมกัน
เรื่องที่ห้องทรงพระอักษรในวันนี้ แพร่สะพัดไปทั่วทั้งพระราชวังอย่างรวดเร็ว
เต๋อเฟยเห็นโจวหยิงหยิงกับหยุนหว่านหนิงเดินคล้องแขนกันเข้ามาด้วยความสนิทสนมอย่างไม่คาดคิด งงงันเล็กน้อย แต่ไม่ช้า นางก็เก็บความงงงันไว้แล้วให้นางกำนัลนำน้ำชามาต้อนรับ
“เสด็จแม่หมู่นี้ดีขึ้นบ้างหรือไม่เพคะ?”
โจวหยิงหยิงพูดจาน่าเอ็นดู “เดิมทีอยากจะมาเยี่ยมนานแล้ว แต่ทำอะไรไม่ได้ช่วงนี้มีเรื่องมากมายเพคะ”
“วันนี้มีเวลาว่างพอดี จึงมาเยี่ยมเยียนเสด็จแม่”
“ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดี รีบนั่งลงเถอะ”
ใบหน้าของเต๋อเฟยแฝงไปด้วยรอยยิ้ม แววตาที่มองไปทางหยุนหว่านหนิงก็มีความรักความเมตตาเล็กน้อย “หนิงเอ๋อร์ก็นั่งลงด้วยสิ”
ร่างกายของหยุนหว่านหนิงแข็งทื่อทันที
อะไร? !
เมื่อครู่เต๋อเฟยเรียกนางว่าอะไร? !
หนิงเอ๋อร์? !
นางฟังผิดไป หรือว่าเต๋อเฟยเรียกจริงๆ? !
นางมองไปทางโม่เยว่ด้วยสัญชาตญาณ เห็นเขาพยักหน้าเพียงเล็กน้อย นี่ความหมายเป็นเต๋อเฟยที่เรียกนางว่าหนิงเอ๋อร์จริงๆ……หยุนหว่านหนิงเหมือนดั่งถูกฟ้าผ่ากลางกระหม่อมเช่นนั้น ผ่านไปเป็นเวลานานกว่าจะดึงสติกลับมาได้
หลังจากนั่งลงแล้ว ก็รู้สึกสั่นสะท้านขึ้นอย่างอดไม่ได้ ขนลุกขนพองไปทั้งตัว
ในปกติแล้วที่เต๋อเฟยเรียกนางหากไม่ใช่ “นังผู้หญิงเลว” ก็เป็น “ผู้หญิงคนนั้น” หรือว่า “นังเด็กบ้า”หรือ?
ตอนนี้กลับเรียกว่าหนิงเอ๋อร์?
อี๋ น่าขยะแขยง!
ใบหน้าเล็กๆของหยุนหว่านหนิงขมวดจนกลายเป็นก้อนเดียวกัน
เต๋อเฟยไม่ได้สังเกตเห็นถึงความไม่เป็นธรรมชาติของนาง แล้วถามถึงเรื่องที่ห้องทรงพระอักษร และทอดถอนใจเฮือกหนึ่งอย่างอดไม่ได้ “นังหนูเสวียนั่น ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น?”
“ก่อนหน้านี้ข้าเห็นว่าเป็นคนปราดเปรียวอยู่มากทีเดียว ทำไมตอนนี้ถึงได้โง่เขลาขนาดนี้?”
“ก่อนหน้านี้นางเพียงแค่แสร้งทำเป็นดีมากเกินไปเพคะ!”
โจวหยิงหยิงบุ้ยปาก กล่าวอย่างไม่เกรงใจ “เสด็จแม่ไม่รู้ ในวันปกติแล้วนางอ่อนโยนมากเชียวล่ะเพคะ แต่วันนี้ กล้าทำให้หนิงเอ๋อร์ลำบากใจต่อหน้าเสด็จพ่อ”
“หม่อมฉันเห็นว่านางหาเรื่องเองเพคะ!”
ไม่รู้ว่าเต๋อเฟยกำลังคิดอะไรอยู่ พยักหน้าอย่างครุ่นคิด
โม่ฮั่นอี่ว์วางถ้วยชาลง หัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง “ก็แค่คนที่ไม่มีปัญญาทำการให้สำเร็จแต่มีแรงทำเรื่องล้มเหลวอยู่เหลือเฟือ รอน้องสามฟื้นขึ้นมา เกรงว่านางก็คงจะไม่ได้อยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ!”
“เรื่องของลูกผู้หญิงท่านไม่ต้องพูดแทรกเพคะ”
เจอสายตาอันดุดันของโจวหยิงหยิงเข้าไป โม่ฮั่นอี่ว์ก็ปิดปากไปด้วยความซื่อ แค่ยกแก้วชาแล้วดื่มชาเท่านั้น
เต๋อเฟยมองดูทั้งสองคน หัวเราะด้วยความเมตตาเอ็นดู “โดยปกติแล้วเจ้าสองพูดจากะล่อนปลิ้นปล้อน ก็ควรจะต้องมีภรรยาเช่นนี้มาดูแลเจ้า!”
ใบหน้าของโม่ฮั่นอี่ว์เต็มไปด้วยความคับข้องใจ ทั้งสามสี่คนล้วนหัวเราะขึ้นมาแล้ว
เต๋อเฟยมองด้วยหยุนหว่านหนิงอย่างสับสนแวบหนึ่งอีกครั้ง
ยัยเด็กคนนี้ ระยะนี้ช่างทำให้นางมองด้วยแววตาที่ชื่นชมจริงๆ
เพียงแต่นางก็ยังคงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย……ในเมื่อโม่หุยเฟิงมอบค่ายห้ากองพลออกมาแล้ว ทำไมถึงไม่มอบให้โม่เยว่จัดการดูแล?
ตอนนี้ยัยเด็กนี่ก็สามารถพูดจาต่อหน้าฮ่องเต้ได้แล้ว ทำไมไม่ช่วยโม่เยว่ช่วงชิงมา? !
เห็นท่าทางการขมวดคิ้วของเต๋อเฟย หยุนหว่านหนิงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านางกำลังคิดอะไรอยู่?
ต่อสู้กับนางมาครึ่งปีกว่า ทันทีที่นางขมวดคิ้ว หยุนหว่านหนิงก็รู้แล้วว่านางกำลังคิดอะไรในใจ!
นางหัวเราะเยาะอยู่ในใจ นิ่งเงียบไม่เปล่งเสียง
บังเอิญเวลานี้ โม่ฮั่นอี่ว์ก็หยิบป้ายประกาศิตค่ายห้ากองพลออกมาอวดอีก……เมื่อเห็นว่าท่าทางการแสดงออกของเต๋อเฟยไม่ค่อยน่าดูนัก หยุนหว่านหนิงจึงได้ลุกขึ้นแล้วเตรียมทูลลา
จะรู้ได้อย่างไรว่า ซูปิ่งซ่านจะเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน “พระชายาหมิง ฝ่าบาทเชิญให้ท่านไปที่ห้องทรงพระอักษรเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
เห็นสีหน้าอันร้อนใจของเขา ดูเหมือนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้ว……
บทที่ 134 ทำโทษด้วยการโบยห้าสิบครั้ง